ตอนที่ 2 หนีงานแต่ง เจอศัตรูที่ไม่อยากเห็นหน้าบนถนนแคบๆ
ไม่รอให้จั๋วซีพูดจบ สาวน้อยก็ใช้เท้าเตะไปที่จั๋วซีสองสามทีให้ออกไปจากประตูรถ แล้วก็ใช้ปลายเท้าเล็กๆที่ขาวเนียนดึงทันที ประตูรถด้านหลังก็ถูกปิดลงทันที!
เธอหันกลับมามองไปที่ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ แล้วก็พูดอย่างอ้อนๆว่า “คุณเป็นเจ้านายเขาใช่ไหม ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่คนที่ขาดเรื่องเงิน แต่ว่าโบราณเขาว่า การช่วยชีวิตคนคนหนึ่งนั้นดีกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นซะอีก ฉันให้คุณสองพัน แล้วคุณก็ให้คนขับรถรีบขับไป พอถึงนอกเมืองฉันก็ลงจากรถแล้ว ไม่ว่าเป็นหรือตายฉันจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อนเด็ดขาด!”
ดวงตาโตที่เหมือนเม็ดองุ่นสีดำ ริมฝีปากเล็กสีแดงที่เหมือนกับเชอร์รี่ และยังจะใบหน้าที่ดูอ่อนวัยขาวราวกับหิมะที่เต็มไปด้วยคอลลาเจน
หลิงเล่มองเธออย่างพิจารณา แล้วก็มองไปที่จั๋วซีที่โดนเตะออกไปแล้วก็เปิดประตูรถอีกครั้ง ด้วยสายตาที่ไม่ได้ตำหนิ
ที่จริงจั๋วซีอยากจะพูดอะไรหน่อย แต่กลับต้องปิดปากอย่างรู้กัน แล้วก็กลับไปนั่งที่นั่งข้างคนขับแต่โดยดี
จั๋วหรันก็เริ่มขับรถไปยังถนนสายหลักอีกครั้งอย่างรู้งาน
หลิงเล่เอาผ้าขนหนูมาจากไหนไม่รู้ แล้วส่งให้เธอ
เธอพูดขอบคุณ แล้วรับไป แล้วก็เช็ดอย่างไม่ได้เกรงใจสักนิด หลิงเล่ก็ไม่ได้สนใจเธออีก แล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนคำคำหนึ่งอย่าคล่องแคล่ว แล้วส่งให้ข้างหน้า “ช้า”
ความเร็วของรถก็เปลี่ยนเป็นช้าลงทันที แล้วภายในรถก็เงียบทันที
ไม่มีใครเห็นว่า มุมปากของหลิงเล่เหมือนจะยกโค้งขึ้นมาอีกครั้ง
“ไอ่บ้าเอ้ย!” อยู่จั๋วหรันก็ตะโกนออกมา แล้วมองกลุ่มรถที่วิ่งผ่านไป พูดอย่างประหลาดใจว่า “ถึงแม้ว่าขับรถที่เหมือนกันหลายคัน จำเป็นต้องขับกันเป็นกลุ่มด้วยเหรอ”
จั๋วซีจ้องเขม็งทันที “รถของตระกูลมู่นี่! ฉันจำป้ายทะเบียนรถบางคันได้!”
ร่างของสาวน้อยที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ก้มขดตัวลง รู้สึกประหลาดใจกับสายตาอันแหลมคมทั้งสองข้างที่มองมาที่ตัวเอง โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นว่านี่คือการทดสอบของหลิงเล่ และดูเหมือนว่าเธอจะกลัว แต่ก็เก็บอาการของตัวเองเอาไว้ “คุณ คุณไม่ต้องมามองฉันแบบนี้เลยนะ คือฉัน คือฉันหนีการแต่งงานมา ครอบครัวบังคับให้ฉันแต่งงานกับคนอื่น ฉันไม่อยากแต่ง”
เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มผู้น่าสงสารชัดๆ หลิงเล่ดูไม่ค่อยจะเชื่อเธอเท่าไหร่นัก
เขาเปิดข้อมูลที่อยู่ในมือเขาอีกครั้ง แล้วก็แอบมองเธออีกครั้ง มู่เทียนซิง อายุสิบแปดปี
ดูจากสถานะของตระกูลมู่ในตอนนี้แล้ว ก็เป็นธรรมดาที่ตระกูลอื่นอยากได้เป็นลูกสะใภ้ แล้วทำไมถึงให้ลูกสาวแต่งงานกับคนอื่นตอนที่อายุยังน้อยขนาดนี้ล่ะ
ยังไงเธอก็เป็นลูกสาวคนเดียว ปกติคงถูกตามใจตั้งแต่เล็กซะจนเคยตัว บังคับให้เธอแต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่ยอมแต่ง ความเป็นไปได้ก็ยิ่งน้อยสิ
“ฉันไม่ชอบผู้หญิงโกหก!”
หลิงเล่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วมองเธอด้วยแววตาที่เย็นชาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าความหมายก็คืออยากจะเอาเธอโยนออกไปนอกรถ
เสียงระฆังภายในใจของมู่เทียนซิงก็เตือนขึ้นมา ให้ตายเธอก็จะปกป้องประตูเอาไว้ ใบหน้าแสนสวยอ่อนโยนเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “จริงๆนะ! ฉันไม่ได้โกหกคุณ! พ่อแม่ฉันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ก็เลยบังคับให้ฉันแต่งงานกับคุณชายสี่แห่งตระกูลหลิงจริงๆ!”
หลิงเล่ “….”
มู่เทียนซิง “ฉันเพิ่งจะอายุสิบแปดอ่ะ แต่ว่าคุณชายสี่คนนั้นอายุยี่สิบหกแล้วนะ แก่ขนาดนั้น ยังจะเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนอีก!”
หลิงเล่ “….”
มู่เทียนซิง “คุณต้องเคยได้ยินมาแน่ๆ ว่าคุณชายสี่เป็นคนที่แปลกประหลาดมากๆ อารมณ์แปรปรวน ตระกูลก็รวยขนาดนั้น อายุยี่สิบหกแล้วยังไม่แต่งงานเลย บางทีเขาอาจจะมีปัญหาด้านจิตใจอย่างรุนแรงก็ได้! ไม่แน่ เขาอาจจะมีปัญหาด้านร่างกายด้วยก็ได้ งั้นถ้าฉันแต่งงานไป ก็ต้องมารองรับอารมณ์อย่างอกสั่นขวัญแขวนเพราะว่าเขาไม่พูดทุกวัน แล้วยังต้องใช้ชีวิตอยู่เหงาๆคนเดียวอีกด้วย!”
หลิงเล่ “….”
มู่เทียนซิง “ให้ตายฉันก็ไม่อยากแต่งงานกับคนแบบนั้นหรอก!”
หลิงเล่ “….”
จั๋วหรันมองสีหน้าขอหลิงเล่งอย่างระมัดระวังผ่านกระจกมองหลัง เพียงแค่มองแวบเดียว ก็มีความรู้สึกว่า “ไกลๆแต่เย็นยะเยือก”
เขาก็รีบหลบสายตาทันที แล้วก็เพิ่มแรงลมอุ่นของฮีตเตอร์ให้แรงขึ้นเล็กน้อยอย่างทนไม่ไหว
จั๋วซีดึงแขนเสื้อมาเช็ดเหงื่ออย่างเงียบๆ คุณหนูมู่คนนี้ไม่น่าใช่คนที่สวรรค์ส่งมาจัดการคุณชายสี่ของเขาเป็นพิเศษหรอกมั้ง
คนที่ช่วยชีวิตของคุณชายสี่ที่เมืองชิงเฉิงก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็เอาคุณชายสี่มาว่าแบบนี้
สรุปเธอรู้หรือเปล่า จำได้หรือเปล่าว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าที่จริงแล้วคือใคร
อยู่ๆเขาก็นึกออกว่าวันนี้ที่คุณปู่หลิงกำชับนักหนา ว่าอย่าให้คุณชายสี่กลับไปที่บ้านใหญ่ตระกูลหลิง แล้วยังพูดอีกว่ามีธุระสำคัญ เป็นไปได้ว่า ธุระสำคัญที่ว่าก็คือเรื่องจับให้คุณชายสี่แต่งงานกับคุณหนูมู่งั้นเหรอ
“คุณ….” จั๋วซีกำลังจะอ้าปากพูด กลับถูกสายตาของหลิงเล่หยุดเอาไว้
สิ่งที่เขาอยากจะพูด หลิงเล่เดาออกอยู่แล้ว
ดวงตาที่ลึกจนมองไม่เห็นถึงข้างในกำลังมองมู่เทียนซิงอยู่ไกลๆ หลิงเล่พูด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “มีอยู่อย่างที่เธออาจจะไม่รู้ คุณชายสี่แห่งตระกูลหลิงน่ะ เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนอายุสิบเจ็ด ก็เลยทำให้ขาทั้งสองข้างสูญเสียความสามารถในการยืนไป”
มู่เทียนซิงมองเขาอย่างงงๆ แล้วถามอย่างซื่อๆว่า “นี่คุณกำลังอธิบายเหตุผลที่เขายังโสดอยู่ทุกวันนี้กับฉันงั้นเหรอ”
คุณชายสี่แห่งตระกูลหลินขาเป็นอัมพาตทั้งสองข้าง แล้วก็ยังเป็นใบ้ นี่มันเป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้กันไปทั่ว
ในเจียงตงทั้งหมดมีเพียงตระกูลหลิงที่ยิ่งใหญ่เพียงผู้เดียว คุณปู่หลิงป้องกันเป็นพิเศษอีก มีคนบางพวกก็ยังอยากที่จะเข้าไปในเจียงตง ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามที่ห้ามพูดว่าคุณชายสี่แห่งตระกูลหลิงเป็นคนพิการ
ในที่สุดการพูดปากต่อปากอย่างเสียๆหายๆ จิตใจที่โหดร้ายของคน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การปากพล่อย บางที่อาจจะมีคนที่ไม่หวังดีคอยพูดตีไข่ใส่สีอยู่ในนั้น เพียงเพื่อจะนำเอาความโกรธเกลียดและหายนะที่ไม่อาจคาดเดาได้มาสู่ตระกูลหลิงก็เท่านั้น
แต่ว่าข้างหน้าของชายหนุ่มคนนี้ เดาว่าเธอคือลูกสาวของตระกูลมู่ แล้วการที่กล้าพูดตรงๆในเรื่องที่เป็นเรื่องต้องห้ามของตระกูลหลิงเช่นนี้ ไม่สามารถทำให้มู่เทียนซิงตกใจได้เลย
หลิงเล่มองไปที่ตาของเธออีกครั้งอยู่สักพัก แล้วก็พูดเสริมว่า “แล้วเขาก็ยังเป็นคนใบ้ด้วย”
มู่เทียนซิง “คุณกล้านี่กล้ามากจริงๆ!”
หลิงเล่ตอบกลับอย่างไม่ปฏิเสธ “คุณก็กล้าไม่น้อยนะ”
เธอเถียงกลับไป “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องต้องห้ามของตระกูลหลิงเลยนะ!”
“เหอะ เหอะ”
เขายิ้มร้าย เธอไม่ได้พูดถึง แต่เธอเป็นสาวน้อยตัวเล็ก แต่กลับกล้าหนีงานแต่ง กล้าที่จะวิ่งหนีคนเดียวบนทางด่วนทั้งที่ฝนตกกระหน่ำ กล้าที่จะขึ้นรถคนแปลกหน้าอย่างง่ายดาย กล้าที่ว่าร้ายเขาต่อหน้าของเขา!
กล้ามากนะ!
เมื่อรถแล่นมาถึงทางออกใต้ทางด่วน จั๋วหรันก็จอดรถตรงข้างถนน
จั๋วซีก็ส่งร่มสีดำคันใหญ่ให้สาวน้อย หลิงเล่ก็ให้โพสอิทกับเธอ สิ่งที่เขียนไว้ในนั้น ก็คือเบอร์โทรศัพท์ของเขา “คุณเป็นสาวน้อยหนีงานแต่งออกมาข้างนอกคนเดียว ช่างกล้าหาญจริงๆ ค่ารถติดไว้ก่อนก็ได้ จัดการเรียบร้อยค่อยมาคืนผม”
ที่จริงมู่เทียนซิงนับเงินสองพันหยวนแล้ววางไว้เบาะหลังแล้ว เมื่อฟังข้อเสนอของเขา ก็รับร่มมาอย่างลังเล ดวงตาที่สดใสจากที่มองหน้าหลิงเล่ก็เลื่อนมามองที่โพสอิจอีกครั้ง
สุดท้าย เธอก็รับโพสอิทใบนั้นมาจากปลายนิ้วของเขา แล้วก็หยิบเงินกลับไป ลงรถ แล้วเดินจากไป
รถแล่นผ่านข้างตัวเธอไปอย่างรวดเร็ว จนละอองน้ำสาดกระเด็นมาบนกระโปรงพริ้วจนเปียกโชกไปหมด
หลิงเล่นั่งอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งค้ำอยู่ที่หน้าผากครึ่งหนึ่ง มืออีกข้างก็เขียนอะไรบางอย่างบนโพสอิทอย่างเชื่องช้า แล้วส่งไปให้คนข้างหน้า
สืบงั้นเหรอ
เมื่อจั๋วซีเห็นตัวอักษรบนโพสอิท ก็ตกใจนิดหน่อย “คุณชายสี่ คุณสงสัยว่าคุณหนูมู่เข้าใกล้คุณวันนี้มีเจตนาแอบแฝงงั้นเหรอครับ”
จั๋วหรันก็พูดอีกว่า “หรือเป็นเพราะเรื่องนั้นเมื่อครึ่งปีก่อนที่เมืองชิงเฉิง เธอเป็นเหยื่องั้นเหรอ”
หลิงเล่ไม่ได้พูดอะไร
เขาเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา ยิ่งเรื่องความบังเอิญก็ยิ่งไม่เชื่อไปใหญ่
ส่วนสาวน้อยคนนั้นมีเจตนาแอบแฝงจริงไหม เพียงแค่รอดูว่าเธอจะโทรศัพท์หาตัวเองไหม ก็รู้แล้ว
ที่เขาให้จั๋วซีไปสืบ เพียงแค่อยากจะรู้ ถ้าเกิดเธอมีปัญหาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคนที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเธอเป็นใคร