บทที่ 8 ทนไม่ไหว

บทที่ 8 ทนไม่ไหว

หลังจากเปิดปากเซี่ยชิงหยวนก็สำลัก ทว่าแทนที่จะโกรธ เธอในตอนนี้กลับรู้สึกผิดมากกว่า

เธอกล่าวต่อไปว่า “พี่รองน่าสงสาร แต่หนูไม่น่าสงสารบ้างเหรอ?”

“ตอนที่หนูจะเข้าเรียนในวิทยาลัย พี่สะใภ้รองก็ตั้งครรภ์ ครอบครัวของเธอตกลงที่จะแต่งงานกับบ้านเรา หากเราให้สินสอดพวกเขาสามร้อยหยวน”

“เพื่อเก็บเงินค่าสินสอด แม่ฉีกใบสมัครเข้าวิทยาลัยของหนูทิ้ง และยังบังคับให้ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ทั้งยังไปหลอกพ่อว่าหนูไม่อยากเรียนต่อ”

“ตอนนั้นหนูได้เงินเดือนแค่ยี่สิบสามหยวน แต่แม่ขอให้หนูส่งเงินกลับมาที่บ้านเดือนละยี่สิบหยวน ทั้งยังบอกว่าถ้าหนูหิวก็ให้ดื่มน้ำมากขึ้นหน่อย”

“หนูเคยบ่นเรื่องพวกนั้นให้แม่ได้ยินสักคำไหม”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ หญิงสาวเริ่มพูดแทบไม่ออก “ตั้งแต่เด็กจนโต หนูไม่เคยปริปากบ่นอะไรเลย เอาแต่อดทนและบอกว่าไม่เป็นไร”

“หรือต่อให้ปฏิเสธ แม่ก็จะบอกว่าหนูเห็นแก่ตัวเอาแต่ใจตัวเอง”

“หนูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงมักจะมองข้ามความรู้สึกของหนูเสมอ แต่พอเป็นความรู้สึกของคนอื่นกลับสำคัญกว่า”

“หนูอยากถามจริง ๆ ว่าหนูใช่ลูกของแม่ไหม”

ประโยคสุดท้าย เธอเกือบจะตะโกนออกมา

‘เพียะ’ เสียงตบลงบนใบหน้าของเซี่ยชิงหยวน

ใบหน้าของหญิงสาวหันไปอีกด้านหนึ่งตามแรงตบ หน้าขาวนวลถูกแทนที่ด้วยรอยฝ่ามือสีแดงสด

เซี่ยชิงหยวนตกใจมาก เธอนำมือปิดใบหน้าและจ้องมองไปที่หวังผิงด้วยสายตาว่างเปล่า สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจและเจ็บปวด

ในขณะเดียวกัน หวังผิงก็รู้สึกกลัวที่จะมองอีกฝ่ายโดยตรง

แต่ความขุ่นเคืองทำให้เธอยังคงชี้ไปที่ลูกสาวด้วยมือที่สั่นเทา “ฉันให้กำเนิดลูกสาวได้ดีจริง ๆ ว่ากันว่าลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วจะจำครอบครัวไม่ได้ แกเป็นอะไร? ฉันขอความช่วยเหลือแค่นี้ ทำไมแกทำไม่ได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่แกควรทำในฐานะสมาชิกของครอบครัวหรือไง?”

“แกยังมีความรู้สึกดีชั่วอยู่ไหม? ฉันบอกแกไว้เลยว่าต้องช่วยพี่สะใภ้รอง ไม่งั้นก็อย่าเรียกฉันว่าแม่!”

เซี่ยชิงหยวนค่อย ๆ ฟื้นจากอาการตกใจที่ถูกผู้เป็นแม่ตบหน้า แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดบนใบหน้าของเธอ ความเจ็บปวดในใจของเธอนั้นลึกยิ่งกว่า ความคับแค้นและความเศร้าใจพุ่งเข้าหาเธอ เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่า ถ้ายังไม่ไปจากตรงนี้ เธอจะหายใจไม่ออก

เธอไม่พูดอะไร แต่มองไปที่หวังผิงอย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังกลับและออกจากครัวไป

ทันทีที่ไปถึงประตู เธอก็ชนเข้ากับจางอวี้เจียว

จางอวี้เจียวไม่ได้ตั้งตัว แต่หลังจากข่มความอับอายเพราะการแอบฟังได้แล้ว เธอก็จ้องหน้าน้องสามีเขม็งและพูดว่า “น้องสาว ฉันไม่ได้…”

เซี่ยชิงหยวนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “ไปให้พ้น!”

ในขณะที่พูด หญิงสาวไม่ได้เดินอ้อมหลบ แต่เดินกระแทกไหล่ของอีกฝ่ายโดยตรงและจากไป

จางอวี้เจียวตกใจกับสายตาที่เฉียบคมของเซี่ยชิงหยวนและเมื่อโดนชนเธอก็เซไป

เธอจ้องมองไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่่าย เอามือกุมไหล่ที่รู้สึกปวด พลางพูดอย่างขมขื่น “บ้าอะไรเนี่ย อยากโดนตบอีกรึไง!”

ทันทีที่พูดจบ หวังผิงก็เดินออกมาจากห้องครัวด้วยใบหน้าเศร้าหมองและดวงตาแดงก่ำ

จางอวี้เจียวตกใจ จากนั้นก็ยืดคอของเธอขึ้นแล้วพูดว่า “แม่เห็นท่าทีของชิงหยวนเมื่อกี้ไหมคะ”

“แม่ต้องจัดการเธอนะ เธอกลับมาคราวนี้ เธอ…”

“พอ!” หวังผิงหยุดเธอ “เธอคิดว่ายังไม่ยุ่งพอเหรอ!?”

อารมณ์ของหวังผิงในขณะนี้สามารถอธิบายได้ว่าแย่มาก

เซี่ยชิงหยวนไม่เชื่อฟังเธอเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา และเธอก็ตีชิงหยวนเป็นครั้งแรก

หลังจากความโกรธดับมอด ผู้เป็นแม่อย่างเธอไม่มีทางไม่รู้สึกแย่

แต่สิ่งที่เธอทำไปนั้นก็เพื่อทำให้ครอบครัวนี้ดีขึ้น เธอทำผิดด้วยหรือ?

เมื่อเห็นว่าหวังผิงไม่ค่อยโกรธเท่าที่ควร จางอวี้เจียวก็เกือบสำลักออกมา

หวังผิงได้เดินจากไปแล้ว

เธอมองไปที่ด้านหลังของแม่สามีและสบถออกมา “บ้าเอ๊ย! ฉันเจ็บตัวเปล่า ๆ เลย!”

เซี่ยชิงหยวนเดินไปยังลานหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว น้ำตาของหญิงสาวไหลไม่หยุด แต่เธอก็ยังเดินต่อไป

ความโศกเศร้า ความคับแค้นใจ และความโกรธพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างของเธอ ราวกับพร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา

แต่เมื่อกำลังจะไปถึงห้องโถงหลัก เธอก็ได้ยินเสียงผู้ชายคุยกันอยู่ข้างใน เธอจึงหยุดฝีเท้าเอาไว้

แล้วเธอก็ได้สติขึ้นมาในทันใด

รอยแดงบนใบหน้าของเธอยังคงอยู่ เธอจึงไม่สามารถเข้าไปทั้งแบบนี้ได้

หายากที่พ่อจะมีความสุขขนาดนี้ เธอจึงไม่ต้องการทำลายบรรยากาศอันชื่นมื่นเพราะเรื่องของตัวเอง

แต่เธอก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป

เธอไม่สามารถระงับความเศร้าและความคับแค้นใจที่มีมาตั้งแต่ในชีวิตที่แล้วได้

“ชิงหยวน” ในขณะนั้นเอง กงเหลียนซินก็ออกมาจากห้องโถงหลัก

แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหายไปทันที เมื่อสังเกตเห็นรอยแดงบนแก้มของหญิงสาว

เธอรีบจับมือของเซี่ยชิงหยวนแล้วพูดเสียงต่ำ “เกิดอะไรขึ้น?”

การที่หวังผิงเข้าไปที่ห้องครัวแบบนั้น เธอรู้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่

แต่เธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถูกทุบตีแบบนี้!

เซี่ยชิงหยวนหันหน้าหนี สูดหายใจเข้าไปก่อนจะเอ่ยตอบ “พี่สะใภ้ใหญ่ ฉันสบายดีค่ะ”

จากนั้นเธอก็พูดว่า “จู่ ๆ ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีอย่างอื่นต้องทำที่บ้าน ฉันขอกลับก่อนแล้วกัน พี่สะใภ้ให้ช่วยบอกลาพ่อกับพี่ชายแทนฉันด้วยนะคะ”

หลังจากพูดจบและกำลังจะจากไปนั้น

กงเหลียนซินอยากรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่เธอไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมน้องสามีคนนี้ยังไงดี

มันคงเป็นเพราะน้องสามีของเธอคนนี้อดทนมาตลอด คราวนี้แม่สามีของเธอคงทำเกินไป เซี่ยชิงหยวนจึงโต้กลับอีกฝ่าย

หลังจากถอนหายใจ กงเหลียนซินก็พูดว่า “ถ้างั้นก็กลับบ้านดี ๆ ล่ะ หาไข่ต้มอุ่น ๆ มาประคบหน้าด้วย ส่วนเรื่องแม่ก็ไม่ต้องห่วงนะ”

เซี่ยชิงหยวนไม่อยากจะฟังอะไรในตอนนี้ เธอเพียงพยักหน้าและจากไป

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงเกือบบ่ายสองแล้ว อากาศทางตะวันตกเฉียงใต้ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมแดดร้อนมาก

หลังจากเซี่ยชิงหยวนเดินไปได้สักพัก เหงื่อก็ผุดขึ้นที่หน้าผากของเธอ

เธอมองดูต้นกล้าที่เพิ่งขึ้นที่สองข้างทาง พวกมันเปราะบางมาก และหัวใจของเธอเหมือนถูกปิดกั้นด้วยบางสิ่ง หญิงสาวจึงไม่อาจระบายมันออกไปได้และก็ไม่สามารถแก้ไขมันได้ด้วยตัวเอง

เธอยกแขนเสื้อขึ้น เช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอีกครั้งอย่างแรง แล้วก้าวไปข้างหน้าให้เร็วขึ้นหน่อย

เวลาที่เธอเดินทางกลับมายังหมู่บ้านซีสุ่ย มักจะร้องไห้คนเดียวประจำตั้งแต่เมื่อก่อน กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป

แต่คนเหล่านี้คือญาติที่มีสายเลือดเดียวกันกับเธอ หญิงสาวจึงไม่อาจปล่อยอีกฝ่ายไปได้ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจแบกรับเรื่องราวแย่ ๆ เหล่านี้ได้เช่นกัน

แต่คราวนี้ ผลลัพธ์จากจุดจบที่น่าเศร้าได้สร้างความมุ่งมั่นที่ชัดเจนขึ้นอย่างช้า ๆ

เธอบอกกับตัวเองว่า ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ เธอก็ควรจะเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ จนกว่าหัวใจของเธอจะด้านชาและแข็งกระด้าง ก็จะไม่มีใครหรือสิ่งใดมาทำลายเธอลงได้

ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปกคลุมเหนือศีรษะ

เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง และสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเธอก็คือร่มผ้าสีดำ แล้วก็คิ้วที่คมชัดของเสิ่นอี้โจว

บางทีอาจเป็นเพราะเขารีบวิ่งมาที่นี่หรือเป็นเพราะไวน์ แก้มทั้งสองข้างของเขาในตอนนี้จึงแดงเรื่อและดวงตาราวกับนกฟีนิกซ์ของเขาก็มีเสน่ห์มากกว่าปกติ

เซี่ยชิงหยวนถามด้วยความงุนงง “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”