ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 9 พินิจเหมันต์

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 9 พินิจเหมันต์

“ทั้งโลกหล้าคิดจะฆ่าเจ้าสวีจั้ง เจ้ารู้บ้างหรือไม่”

เชือกแดงเส้นหนึ่งมัดเส้นผมยาวสีขาวหิมะ ทั่วทั้งตัวไม่ปนเปื้อนควันไฟ

สง่าเหมือนเซียน

นี่เป็นความรู้สึกแรกของหนิงอี้

นามของโจวโหยวดังไปทั่วโลกหล้านานแล้ว ในเทือกเขาประจิมไม่มีใครไม่รู้จัก พูดให้ถูกคือทั้งโลกหล้าต่างรู้จักอัจฉริยะที่สุดของโลกที่ยากจะพานพบได้ในร้อยปีแห่งสำนักเต๋าคนนี้

ตำหนักนภาม่วงแห่งสำนักเต๋ามีเจ้าตำหนักที่เยาว์วัยที่สุดในประวัติศาสตร์

หากบอกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความชื่นชอบและทรัพยากรจากเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นคือความหวังในภายภาคหน้าของเขาศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนหวังอยากให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ของตนกลายเป็นบุคคลอย่าง ‘โจวโหยว’

โจวโหยวคือขีดจำกัดสูงสุดของผู้บำเพ็ญรุ่นเยาว์เมื่อสิบปีก่อน

โจวโหยวไม่มีสหาย

สวีจั้งก็ไม่มีสหายเช่นกัน

จนถึงตอนนี้หนิงอี้ถึงได้รู้ว่าพวกเขาสองคนเป็นสหายกัน

โจวโหยวหมุนตัวกลับมา ข้างหลังเขาแบกสัมภาระเรียวยาว มัดไว้แน่นหนา นักพรตหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ปลดเชือกยาวตรงปลายสองด้านของสัมภาระออก นำของเรียวยาวนั้นมาตั้งไว้บนพื้นและเริ่มปลดผ้าออก

“รู้ แน่นอนว่ารู้”

สวีจั้งยิ้มอย่างอ่อนแรง “จวนขานฟ้า เขาวิญญาณ จวนปฐพี ตำหนักฟ้า…เขาศักดิ์สิทธิ์มากกว่าครึ่งของต้าสุย คิดจะฆ่าข้ากันทั้งนั้น”

บุรุษที่มีนามว่าโจวโหยวหลุบตาลง จัดการกับผ้าที่ห่อสัมภาระ หนิงอี้แปลกใจเล็กน้อย ในนี้ซ่อนอะไรไว้กันแน่ ถึงทำให้นักพรตเต๋าที่ไล่เขาศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ไปได้ด้วยคำพูดเดียว ห่อไว้อย่างไม่รู้สึกรำคาญเช่นนี้

“สำนักเต๋าก็คิดจะฆ่าเจ้าเหมือนกัน”

สวีจั้งเงียบ

หลังพูดประโยคนี้จบ โจวโหยวเงยหน้าขึ้น แกะสัมภาระเรียวยาวนั้นออกมาแล้ว

นั่นคือกระบี่ยาวเรียว มีความอึมครึมเจ็ดส่วน มีความแปลกประหลาดสามส่วน…พูดให้ถูกคือเป็นฝักกระบี่ยาว

หนิงอี้อดหนาวสั่นขึ้นมาไม่ได้ ลักษณะฝักกระบี่นั้นเด่นตามาก ต่อให้โจวโหยวไม่ชักกระบี่นั้นออกจากฝักกระบี่ เขาก็รู้สึกได้ว่าในฝักกระบี่เต็มไปด้วยปราณกระบี่ที่สั่งสมมาหลายปีและจิตสังหารน่าเกรงขาม

“แต่ข้าไม่ฆ่าเจ้า” โจวโหยวถือฝักกระบี่เรียวยาวสีขาวหิมะเรียวยาวนั้นขึ้น มือกำตรงกลางฝักกระบี่ อีกมือยื่นออกไปช้าๆ ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางลูบผ่านตัวฝักกระบี่เก่าแก่ ลวดลายพร้อยขึ้นลงทั่วทั้งฝัก นิ้วผ่านไปที่ใดจะเกิดน้ำใสกระเซ็นขึ้น

โจวโหยวใช้คำพูดแปลกมาก

‘ข้าไม่ฆ่าเจ้า’

ไม่ฆ่า แต่ไม่ใช่ไม่อยาก

สวีจั้งยิ้ม ไม่ตอบ

โจวโหยวโยนกระบี่ยาวสีขาวหิมะนั้นออกไปเบาๆ ตัวกระบี่วาดเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ สวีจั้งคว้าไว้ พลิกข้อมือ สั่นตัวกระบี่ ไล่เศษปราณกระบี่ที่เกาะฝักกระบี่เหมือนน้ำค้างออกไป

โจวโหยวมองสวีจั้งพลางพูดอย่างจริงจัง “เจ้าบอกความจริงข้ามา หลังจากนางตายไปแล้ว…เจ้าวางพินิจเหมันต์ไว้ที่ข้า สิบปีมานี้ วิ่งหนีไม่หยุด ตกต่ำลงเรื่อยๆ เป็นเพราะกลัว ไม่กล้าสู้ศึกสุดท้ายกับข้าใช่หรือไม่”

สวีจั้งเพ่งพินิจฝักกระบี่ยาวที่มีนามว่า ‘พินิจเหมันต์’ พูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ สิบปีก่อนคนพวกนั้นที่ฝึกบำเพ็ญที่เขาศักดิ์สิทธิ์ มาจนถึงตอนนี้มีใครสู้เจ้าได้บ้างโจวโหยว”

โจวโหยวเงียบ

คนอย่างสวีจั้ง…ดูเหมือนทำตัวตามใจ ยอมตกต่ำ แต่ความจริงซ่อนเปลวเพลิงและปราณกระบี่ในทรวงอกดุเดือดกว่าใคร ปากพูดเย้ยเยาะตนเองต่างๆ แต่ก้นบึ้งหัวใจก็ยังมีสิงโตโอหังอยู่

สิบปีมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ บุรุษผู้โอหังคนนี้ลุ่มๆ ดอนๆ มาสิบปี ในที่สุดก็ยอมแพ้แล้วรึ

โจวโหยวผิดหวังเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววหดหู่ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะส่งพวกเจ้าออกจากเทือกเขาประจิมไปชายแดนต้าสุย คนสำนักเต๋าตามมาไม่ทันแล้ว เส้นทางหลังจากนี้ต้องพึ่งตัวพวกเจ้าเอง”

“เจ้าคิดอะไรอยู่” สวีจั้งรู้สึกขำนิดๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “ใครใช้ให้เจ้าไปส่งกัน”

โจวโหยวเงียบอีกครั้ง

“เจ้าคิดว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้รึ” สวีจั้งเก็บผ้าดำขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ห่อพินิจเหมันต์ไว้ทีละชั้น ก่อนจะมองค้อน “เจ้าเอาข้าไปรวมกับคนพวกนั้นที่ฝึกบำเพ็ญที่เขาศักดิ์สิทธิ์เมื่อสิบปีก่อนรึ นักพรตวิหคอย่างเจ้าลองนึกดูดีๆ สิ ข้าเคยฝึกที่เขาศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เมื่อไร”

โจวโหยวยิ้ม กัดฟันพูด “เอาละ ถ้าแน่จริงเจ้าก็คลานออกจากเทือกเขาประจิมเองเลย ถึงตอนนั้นข้าจะไม่สอดมืออีก เขาศักดิ์สิทธิ์แห่งต้าสุยพวกนั้นติดอยู่ที่กฎ ผู้แข็งแกร่งที่ทะลวงขอบเขตที่สิบพวกนั้นไม่ออกหน้า แต่ด้วยพลังบำเพ็ญเจ้าตอนนี้ จะไปถึงต้าสุยได้อย่างปลอดภัยหรือ”

สวีจั้งยกกระบี่ในมือขึ้น พูดนิ่งๆ “เจ้ารู้จักนามกระบี่นี้หรือไม่”

โจวโหยวแค่นยิ้มและเย้ยเยาะกลับ “เจ้าคิดว่าเจ้าถือพินิจเหมันต์แล้ว คนพวกนั้นจะยืนให้เจ้าฟันง่ายๆ รึ”

สวีจั้งเงียบ

หนิงอี้เอามือกุมหน้าผาก

เผยฝานมองผู้อาวุโสทั้งสองอย่างพูดไม่ออก

สวีจั้งยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เอามือข้างหนึ่งกดบ่าหนิงอี้ไว้

ชั่วพริบตาเดียว หนิงอี้รู้สึกว่ามีพลังอย่างหนึ่งส่งผ่านหัวไหล่มา ทั้งตัวถูกยกลอยขึ้นให้หมุนรอบหนึ่ง ขณะที่ตาลายอยู่นั้น ใบไม้ขลุ่ยกระดูกในอกเสื้อตนถูกสวีจั้งกระแทกลอยออกไป

‘พินิจเหมันต์’ ที่ห่อด้วยผ้าดำถูกฟันตกลงกลางอากาศเหมือนสายฟ้า

สิ่งที่ฟันคือใบไม้กระดูกสีขาวนั้นที่ลอยมาจากอกเสื้อหนิงอี้

ผ้าดำขาดเป็นเสี่ยงๆ

สายฟ้าสีขาว พินิจเหมันต์ลอยขึ้น

สวีจั้งใช้มือข้างหนึ่งกด ‘พินิจเหมันต์’ กระบี่ออกจากฝักดังชิ้ง พื้นดินเว้าลงไป ใบกระดูกนั้นถูกปลายฝักกระบี่กดไว้ขยับไม่ได้

ใบไม้กระดูกนิ่งดั่งขุนเขา แต่ฝักกระบี่กลับสั่นไหวไม่หยุด

สวีจั้งสีหน้าเรียบนิ่ง

โจวโหยวหรี่ตาลง

หนิงอี้สับสนนิดๆ

เผยฝานเม้มริมฝีปาก จับแขนเสื้อหนิงอี้ ทั้งสองคนมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร

เพราะประสบการณ์พวกเขาไม่มากพอ

หากพวกเขายืนสูงกว่าหน่อย สูงกว่านี้อีก ก็จะพบว่าขลุ่ยกระดูกที่หนิงอี้ใช้เป่าฆ่าเวลาในยามปกติและใช้หั่นผักนั้น ไม่ใช่เครื่องดนตรีที่ดี หรือแค่ใบไม้คมธรรมดาเท่านั้น

เสียงของสวีจั้งมีความตกใจเสี้ยวหนึ่ง แต่กลับไม่คิดอยากได้เลย

“นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก…”

“ลำดับของขลุ่ยกระดูกนี่ สูงกว่าพินิจเหมันต์อีก”

หลังจากพูดจบ หนิงอี้หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

เผยฝานกลับมีสีหน้าต่างออกไป

เพราะนางรู้ว่าพินิจเหมันต์เป็นกระบี่แบบใด

ไม่ใช่แค่เขาสู่ซาน กระทั่งมองไปทั้งต้าสุย หากวัดกันที่ลำดับ ‘พินิจเหมันต์’ อยู่ระดับสูงสุด อาวุธมากมายที่เหนือกว่าระดับนั้น ยากจะแยกแยะระดับสูงต่ำแข็งแกร่งอ่อนแอได้ชัดเจน

โจวโหยวมองหนิงอี้พลางถาม “นี่ของเจ้ารึ”

หนิงอี้ตอบ “มันเป็นของข้ามาตลอด”

โจวโหยวถามต่อ “เจ้าเอามันมาทำอะไร”

หนิงอี้รู้สึกเก้อเขินนิดๆ แต่ด้วยฐานะจึงได้แต่ตอบตามความจริง “เหมือนที่ท่านเห็น นี่คือขลุ่ย…แน่นอนว่าข้าก็ต้องเอามาเป่า บางครั้งมีดบนเขียงทื่อ มันใช้ดีมาก หั่นผักหั่นเนื้อเร็วมาก ข้ายังเคยลองเลื่อยไม้…บางเฉียบมาก แม้จะตัดได้เร็ว แต่ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร”

โจวโหยวมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย ในแววตามีอะไรซับซ้อนมากมาย เหลือเชื่อ ตกใจ เสียดาย แต่ก็บริสุทธิ์มาก รู้สึกไม่มีการแย่งชิงในทางโลก และที่มากกว่านั้นคือ…การปลงอนิจจังต่อชะตาชีวิต

ขลุ่ยกระดูกเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ได้ใช้เป่าหรือหั่นผัก

มันอาจจะไม่ใช่ขลุ่ยเลยด้วยซ้ำ

บางทีเจ้าของที่ยอมรับอาจจะใส่แสงดาราเข้าไปแล้วกลายเป็นอีกสภาพหนึ่ง

บางทีอาจจะเป็นกระบี่ที่คมยิ่งกว่าพินิจเหมันต์

โจวโหยวมั่นใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่มีพลังบำเพ็ญใดๆ แต่ขลุ่ยกระดูกนี่ดันยอมรับเขาเป็นเจ้านาย

เขาเอาขลุ่ยกระดูกมาหั่นผักและเป่าเพลง เพราะเขายังไม่ก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญด้วยซ้ำ

อาวุธเทพระดับนี้จะยอมรับเจ้านายตามใจได้หรือ ดังนั้นเจ้านายที่ขลุ่ยกระดูกนี่เลือกจะต้องมีพรสวรรค์การบำเพ็ญสูงส่ง เป็นอัจฉริยะที่ฝึกบำเพ็ญได้รวดเร็วยิ่ง

สักวัน หากเด็กหนุ่มที่ชื่อว่า ‘หนิงอี้’ เริ่มฝึกบำเพ็ญ อีกทั้งยังใส่แสงดาราเข้าไปในขลุ่ยนี่…

เช่นนั้นทั้งโลกหล้าจะต้องรู้จักนามของเขาแน่

จะโดดเด่นเหนือกว่าใคร

โจวโหยวสูดลมหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง

นักพรตหนุ่มรูปงามคนนี้มองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “มาสำนักเต๋าข้าเถอะ ข้าจะรับรองให้เจ้าเอง ขลุ่ยกระดูกนี่เป็นของเจ้า ใครก็เอาไปไม่ได้ ไม่เกินสิบปี เจ้าจะเป็นข้าคนต่อไป”

หนิงอี้อึ้งไปเล็กน้อย

เผยฝานเบิกตาโต

โจวโหยวพูดนิ่งๆ “หากเจ้ายินยอมมาสำนักเต๋าข้า คารวะเข้าตำหนักนภาม่วงข้า เจ้าจะได้ส่งเด็กตระกูลเผยกลับต้าสุย ไม่ต้องกังวลพวกปลาซิวอย่างจวนขานฟ้า เขาวิญญาณหรือตำหนักฟ้าจวนปฐพีอีก ข้าจะคุ้มกันเจ้าด้วยตัวเอง ทั้งโลกหล้า ไม่ว่าเขาศักดิ์สิทธิ์ใด ไม่มีใครไม่รู้นามของข้าโจวโหยว”

โจวโหยวยิ้ม “คนที่สำนักเต๋าเทือกเขาประจิมข้าต้องปกป้อง อย่าว่าแต่เขาศักดิ์สิทธิ์แห่งต้าสุยไม่กล้าแตะต้องเลย ต่อให้เป็นจักรพรรดิท่านนั้นก็ต้องไว้หน้าสามส่วน”

หนิงอี้ลมหายใจกระชั้นขึ้นมา

นี่คือโชควาสนาแรกที่วางบนเส้นทางชีวิตเขา

ตอนนี้สวีจั้งยืนอยู่ข้างกายเขา มองภาพนี้ด้วยความสนอกสนใจ เขาไม่รีบร้อนพูด แต่ชมความสับสนและว้าวุ่นในดวงตาเด็กหนุ่ม

“ขอแค่เจ้าพยักหน้า ข้าจะถ่ายทอดวิชาม่วงเร้นของสำนักเต๋าให้เจ้า” โจวโหยวเอ่ยนิ่งๆ “ขลุ่ยนี่รับเจ้าเป็นนาย ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า มากสุดหนึ่งเดือนก็จะตระหนักรู้ได้ จากนั้นทะลวงสามขอบเขตแรก ส่วนคารวะอาจารย์…เจ้าเลือกเจ้าตำหนักใดในสี่ตำหนักสำนักเต๋าเป็นอาจารย์ก็ได้ เจ้าหอสามวิสุทธิ์จะปกป้องเจ้า ส่วนงานเลี้ยงราชวงศ์ในภายภาคหน้า สำนักเต๋าจะส่งรายชื่อเจ้าเป็นพิเศษ”

โจวโหยวพูดเร็วมาก หนิงอี้ฟังไม่ชัดเจนหลายอย่าง และไม่เข้าใจในอีกหลายอย่าง

สำหรับเด็กหนุ่มธรรมดาที่ไร้ความรู้อย่างเขา ทุกวันต้องขโมยเพื่อประทังชีวิตในเทือกเขาประจิมแล้ว…ทุกอย่างนี้ ห่างไกลเกินกว่าเมื่อวานมาก

หนิงอี้เคยเห็นแสงกระบี่ที่ลากผ่านบนฟ้า เคยเห็นผู้บำเพ็ญขี่ม้าผ่านไปบนพื้น แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตนจะมีโอกาสก้าวสู่โลกนี้

เดิมทีเขาคิดว่าตนจะอาศัยเงินสี่ร้อยตำลึงที่ขายสร้อยแลกมา พาเผยฝานกลับไปต้าสุย

สำหรับเขาลั่วเจีย…และยังมีสิ่งที่เผยฝานร้องขอมาตลอด ถึงตอนนี้เหมือนจะไม่สำคัญอีกแล้ว

เรื่องที่เดิมทีตนต้องทำอย่างสุดความสามารถ บางครั้งก็เป็นเพียงแค่คำพูดของคนใหญ่คนโตบางคนเท่านั้น

เข้าสำนักเต๋า…ชื่อเสียงเลื่องลือในโลกหล้า

หนิงอี้ไม่เคยคิดไปไกลขนาดนั้นจริงๆ

เขาก้มหน้าลงด้วยความสับสนนิดๆ มองเผยฝาน พบว่าตอนนี้เด็กนี่เงยหน้าขึ้น เหม่อมองตน

ความคิดหนิงอี้ว่างเปล่า

เขาริมฝีปากแห้ง ถามอย่างจริงจัง “สำนักเต๋าส่งเด็กนี่กลับไปได้อย่างปลอดภัยจริงๆ หรือ”

โจวโหยวเอ่ย “ได้แน่นอน”

หนิงอี้ถามต่อ “เช่นนั้นข้าไปด้วยได้หรือไม่”

โจวโหยวส่ายศีรษะ เอ่ยว่า “ไม่ได้”

หลังจากเอ่ยคำนี้

หนิงอี้หลับตาลงด้วยความรู้สึกต่อสู้ในใจ

นี่เป็นการตัดสินใจที่ยาก

สักวันโอกาสจะตกมาจากฟ้า ตกลงตรงหน้าเด็กหนุ่มอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้

สวีจั้งที่เก็บผ้าดำห่อกระบี่พินิจเหมันต์อย่างไม่รีบร้อนด้านข้าง ยิ้มมุมปากขึ้นเรื่อยๆ

……………………

—————————————