ตอนที่ 6 บุกรุกจวน

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 6 บุกรุกจวน

เถ้าแก่ในโรงเตี๊ยมเห็นนางแล้วก็รีบวิ่งเข้ามากล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้ม “นายหญิง ต้องขอโทษด้วย วันนี้โรงเตี๊ยมของเรา…”

“ลูกชายของข้าล่ะ?” ยังไม่รอให้เขาพูดจบ อวี้ชิงลั่วก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อของเขา และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยแรงสังหารพร้อมกับสีหน้าอันเย็นชา

เถ้าแก่ถึงกับชะงัก สายตาเย็นชาเช่นนี้ทำให้เขาตกใจจนเนื้อตัวสั่น “นายหญิง มีอะไรก็พูดจากันดี ๆ เถิด”

สีหน้าของอวี้ชิงลั่วดูย่ำแย่ลงอีกครั้ง ทว่านางทราบดีว่าตนกำลังโกรธผู้บริสุทธิ์ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงปล่อยมือและถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอีกครั้ง “เถ้าแก่ ท่านเห็นเด็กผู้ชายตัวขนาดนี้แต่งตัวค่อนข้าง…ค่อนข้างไม่เหมือนใคร อายุประมาณสี่ห้าขวบหรือไม่”

เถ้าแก่เห็นว่านางปล่อยมือจึงลอบถอนหายใจ แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางยังดูย่ำแย่มาก เขาก็รีบถอยออกไปสองก้าว ครุ่นคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของนางอย่างละเอียด

แต่หลังจากคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่แน่ใจ

แต่เมื่อลูกจ้างที่กำลังทำงานอยู่ด้านหลังเขาได้ยินการเคลื่อนไหวทางฝั่งนี้ ก็พลันวิ่งเข้ามาสามสี่ก้าวและกระซิบว่า “แต่ข้าเคยเห็นเด็กคนนั้นนะขอรับ”

สายตาของอวี้ชิงลั่วเลื่อนไปยังลูกจ้างคนนั้นอย่างรวดเร็ว

ลูกจ้างรู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้ดูท่าทางบอบบางและอ่อนโยน ทว่ากลับแผ่รังสีเย็นชาออกมาจนคนรอบข้างรู้สึกหนาวสะท้าน ทำให้เขาอดคร่ำครวญในใจไม่ได้ จึงรีบก้มหน้าตอบไปว่า “คุณชายน้อยคนนั้นไม่ทราบว่าขึ้นไปอยู่บนคานของโรงเตี๊ยมตั้งแต่เมื่อใด แต่หลังจากนั้นก็ถูกบุรุษชุดขาวคนนั้นอุ้มออกจากโรงเตี๊ยมไปขอรับ”

“บุรุษชุดขาว?” อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว “คนที่สู้กับอีกคนกลางห้องโถงก่อนหน้านี้น่ะหรือ”

“ขอรับ” ลูกจ้างรีบพยักหน้า จากนั้นก็บอกทุกอย่างที่เขาเห็นกับนาง รวมไปถึงเรื่องที่หลังจากบุรุษชุดขาวนั้นออกไป บุรุษอีกคนที่สู้กันก่อนหน้านี้ก็พากลุ่มคนไล่ตามไปด้วย

อวี้ชิงลั่วหน้าดำอึมครึมลง ภายในใจก็เริ่มคาดเดาถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร

มีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่บุตรชายอันเป็นที่รักของนางจะวางพิษใส่บุรุษชุดขาวจริง ๆ จึงทำให้เกิดปัญหา เจ้าเด็กบ้าคนนี้ กลับไปถ้าเจอตัวแล้วนางจะถลกหนังทิ้งเสีย

นางแค่นเสียงเบา ๆ ครั้นขอบคุณเถ้าแก่แล้ว ก็หมุนกายเดินออกจากประตูโรงเตี๊ยมไป

ท้องฟ้ามืดครึ้มลงแล้ว อาทิตย์อัสดงที่อยู่ห่างไกลออกไปฉายแสงสีแดงชาดราวเปลวเพลิงส่องกระทบลงบนถนนที่อยู่ตรงหน้าจนย้อมเป็นสีจาง ๆ หนึ่งชั้นอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

อวี้ชิงลั่วล้วงมือเข้าไปหยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีดำออกมาจากแขนเสื้อ นางเปิดฝาและปล่อยแมงป่องตัวยาวเท่านิ้วมือหนึ่งตัวลงบนพื้น กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ไปเถอะ”

ราวกับเข้าใจความหมายที่นางพูด แมงป่องตัวนั้นได้มุ่งหน้าไปทางขวามืออย่างรวดเร็ว

อวี้ชิงลั่วมองไปยังทิศทางที่มันวิ่งออกไป คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ทางนั้นเป็นสถานที่อยู่อาศัยของผู้มั่งคั่งในเจียงเฉิงแห่งนี้ บ้านเรือนกระจัดกระจายแต่ก็มีความมั่งคั่งร่ำรวยมาก หรือว่าบุรุษชุดขาวคนนั้นจะเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่ในเจียงเฉิง?

นางเม้มปากและเร่งฝีเท้าเดินตามไป

แมงป่องไต่ไปด้วยความเร็วขั้นสุด หลังจากเลี้ยวตรงถนนอยู่สองสามสายเพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชนที่ตะโกนโหวกเหวก ในที่สุดก็ไต่มาถึงหน้าประตูบานใหญ่ของเรือนแห่งหนึ่งที่แผ่รังสีเย็นชาดูน่าเกรงขาม

อวี้ชิงลั่วชะงักฝีเท้า นางย่อตัวลงในทันทีและเปิดจุกขวดอีกครั้ง

แมงป่องที่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพลันชะงักงัน มันหมุนตัวอยู่สองรอบ ก่อนจะมุดกลับเข้าขวดกระเบื้องเคลือบอีกครั้งอย่างรวดเร็วและชาญฉลาด

อวี้ชิงลั่วเก็บขวดและเงยหน้ามอง ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อยขณะมองดูประตูใหญ่สูงชันของตระกูลใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า

บนร่างกายของหนานหนานมีกลิ่น การนำทางของแมงป่องต้องไม่ผิดแน่ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่หนานหนานจะอยู่ด้านในเรือนแห่งนี้

อวี้ชิงลั่วก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าสองก้าว ใช้นิ้วเคาะเบา ๆ ที่ประตูใหญ่ตรงหน้า

หลังจากเคาะไปสองครั้ง ด้านในนั้นก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ อวี้ชิงลั่วสูดหายใจลึก ค่อย ๆ เพิ่มแรงและเคาะอีกสองครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับใด ๆ

จากเบากลายเป็นหนัก จนอวี้ชิงลั่วแทบจะพังประตูทั้งบานอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีคนเฝ้าประตูออกมาจากด้านในแม้แต่คนเดียว

นางถอยหลังออกไปสองสามก้าว ดวงตาจ้องมองป้าย ‘จวนโม่’ ที่แขวนอยู่เหนือศีรษะ และแค่นเสียงออกมาเบา ๆ ตอนนี้นางไม่เหลือความอดทนอีกแล้ว ก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในจวนทันที

ครั้นประตูใหญ่เปิดออก ด้านในนี้ก็ยังไม่มีใครแม้แต่คนเดียว

“สถานที่แห่งนี้…” อวี้ชิงลั่วชะลอฝีเท้าลง ก้าวเท้าเข้ามาด้านหน้าสองสามก้าวอย่างระมัดระวัง

เมื่อเดินเข้ามาด้านในประตูใหญ่ ตรงหน้าก็เป็นลานขนาดใหญ่หนึ่งลาน มีดอกไม้และต้นไม้ปลูกไว้หลากหลายชนิด ทุกอย่างล้วนเขียวชอุ่มมีชีวิตชีวา เมื่อกวาดสายตาสำรวจอย่างง่าย ๆ ก็พบว่าดอกไม้และต้นไม้ไม่มีพิษ มีไว้เพื่อส่งกลิ่นหอมตามปกติเท่านั้น

อวี้ชิงลั่วเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินความกว้างหนึ่งหมี่ตรงหน้า หลังจากเดินไปได้สิบกว่าก้าว นางก็รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติในทันที ด้วยความตกใจจึงถอยกลับไปทางเดิมในตอนแรกโดยไม่หยุดคิด

แต่สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงก็คือ เดิมทีระยะห่างมีแค่สิบกว่าก้าวเท่านั้น ทว่าตอนนี้เดินมา ยี่สิบสามสิบก้าวแล้วก็ยังออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ราวกับว่าทางเดินหินที่เป็นเส้นตรงเมื่อครู่ได้เปลี่ยนเป็นเส้นทางคดเคี้ยว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนด้านหน้าก็มีพุ่มไม้ขวางอยู่

อวี้ชิงลั่วหยุดการเคลื่อนไหว นางเงยหน้าขึ้นและลูบคางเงียบ ๆ หรือว่าที่นี่จะเป็นค่ายกลห้าธาตุแปดทิศที่คนพูดถึง? ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งจวนแห่งนี้จะไม่มีคนเฝ้าประตูแม้แต่คนเดียว

ดวงตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น นางจ้องมองทางออกตรงหน้าที่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือแต่กลับห่างไกล นางยิ้มพลางเดาะลิ้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เจอสิ่งนี้ ไม่รู้ว่าจะมีความสามารถออกไปได้หรือไม่

อวี้ชิงลั่วเงยหน้ามองด้วยรอยยิ้ม นางใช้แขนเสื้อปัดฝุ่นที่อยู่บนแผ่นหินที่ค่อนข้างแบนข้าง ๆ จากนั้นก็นั่งลงด้วยความสนใจ

เพียงแต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ ที่ชั้นสองของห้องใต้หลังคาอยู่ห่างจากนางออกไปไม่ไกล บัดนี้มีคนผู้หนึ่งค่อย ๆ เบนสายตากลับมาจากหน้าต่างของตนเอง ก่อนจะหมุนกายลงจากอาคารอย่างรวดเร็ว และวิ่งไปยังจวนโม่ที่อยู่ด้านหน้าห้องโถง

“นายท่าน” คนผู้นั้นวิ่งมาถึงด้านนอกประตูห้องโถงด้านหน้า ชะลอความเร็วลงในทันที ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย ยืนก้มหน้าทำความเคารพอยู่ด้านนอกประตู

ประตูที่อยู่ด้านในห้องโถงถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ โม่เสียนยืนอยู่ด้านหลังประตูด้วยใบหน้าซีดเผือด ชุดสีขาวที่อยู่บนร่างกายเปื้อนเปรอะด้วยคราบเลือด ริมฝีปากดำคล้ำเผยอขึ้น “มีอะไร?”

“รายงานท่านโม่ มีคนบุกรุกเข้ามาที่จวนโม่ ตอนนี้ถูกกักอยู่ในค่ายกลร้อยบุษบาขอรับ”

โม่เสียนขมวดคิ้ว ใบหน้าที่ถูกวางยาพิษบัดนี้ช่างดูน่ากลัว ไม่เหลือความเป็นผู้ดีอันแสนอ่อนโยนที่พบเห็นได้ในวันธรรมดาแล้ว เขามองดูผู้พิทักษ์ทมิฬที่ดูนอบน้อมตรงหน้าปราดหนึ่ง กล่าวเสียงขรึม “รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร…”

“โม่เสียน ให้เขาเข้ามา” เสียงของโม่เสียนยังกล่าวมิทันจบประโยค จู่ ๆ ก็มีเสียงขรึมยิ่งกว่าดังขึ้นภายในห้องโถง

โม่เสียนและผู้พิทักษ์ทมิฬที่ยืนอยู่ข้างประตูเกิดความตึงเครียดในทันที น้ำเสียงก็ยิ่งให้เกียรติมากยิ่งขึ้น “ขอรับ นายท่าน”

ผู้พิทักษ์ทมิฬก้าวเท้ามาด้านหน้าสองสามก้าว แม้แต่หน้าก็มิกล้าเงยขึ้น เขาคุกเข่าข้างหนึ่งกลางห้องโถงใหญ่ “ข้าน้อยคารวะนายท่าน”

“อืม” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหน้า บุรุษที่ถูกเรียกว่านายท่านนั่งอยู่ด้านหลังม่านแผ่รังสีอันหนาวเหน็บ ขาทั้งสองข้างวางสบาย ๆ อยู่บนที่วางเท้ารูปทรงสี่เหลี่ยม นิ้วเรียวยาวเคลื่อนไปด้านหน้าและด้านหลังอย่างช้า ๆ ดั่งกำลังลูบอะไรบางอย่างที่นอนอยู่ข้าง ๆ…เสือดำนั่นเอง

…………………………

สารจากผู้แปล

ตามหาลูกแต่เจอค่ายกล หม่าม้าจะฝ่าด่านค่ายกลนี้ไปได้ไหมนะ แล้วนายท่านแห่งจวนนี้เป็นใครกันแน่

ไหหม่า (海馬)