ในค่ำคืนอันมืดมิด ได้มีเสียงฝีเท้าของม้าดังเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อได้ลองฟังจากเสียงแล้วคาดว่ามีอัศวินราว ๆ สอง สามร้อยคน
เลห์แมนอยู่นอกปราสาทแล้ว เหล่าอัศวินได้จุดคบเพลิงเพื่อให้แสงสว่างไปไกลหลายร้อยเมตรแต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถเห็นกองอัศวินที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาได้
“ตั้งแถว เตรียมตั้งรับ!!”
เลห์แมนสั่งการพร้อมกับกระโดดขึ้นหลังม้าศึกสีดำ เขาจ้องมองเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ หากเขาสามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาเป็นพวกศาสนจักรได้เมื่อไหร่ เขาจะออกไปฟาดฟันโดยไม่ลังเลทันที
ในไม่ช้าเสียงของกองอัศวินก็มาหยุดอยู่ตรงด้านนอกของปราสาท พวกเขาได้หยุดเคลื่อนไหว ทำให้บรรยากาศตึงเครียดมากขึ้นไปอีก
เมอร์ลินที่อยู่ด้านนอก เขากระชับเสื้อคลุมเพื่อต่อสู้กับลมหนาว เขาได้ใช้พลังจิตตรวจสอบแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่อยู่เบื้องหน้า
“ฮ่า ๆ เฮ้! วิลสันนี่ฉันเองเพอร์แมน”
จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากที่ไกล ๆ เลห์แมนที่เคร่งเครียดได้คลายกังวลทันทีที่ได้ยินเสียงนี้
“โธ่! บารอนเพอร์แมน ข้าก็คิดว่าพวกท่านเป็นพวกศาสนจักร ว่าแต่ทำไมท่านถึงมาที่ดินแดนของข้า”
เมื่อพวกอัศวินได้เคลื่อนที่เข้ามา เลห์แมนก็มองเห็นบารอนเพอร์แมนซึ่งเป็นเพื่อนรักของเขา
บารอนเพอร์แมนสวมชุดเกราะสีดำและถือดาบไว้ในมือ เขาดูเหนื่อยล้ามาก ดูเหมือนเขาจะผ่านเดินทางที่ยาวนาน
“วิลสัน ข้าเกรงว่าอิทธิพลของศาสนจักรจะมากเกินไป อาณาจักรแห่งแสงคงไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกมันและข้าก็ไม่อย่างรับใช้พวกมันด้วย ดังนั้นข้าเลยมาที่นี่เพื่อมาปรึกษากับท่าน จริงสิ ข้าได้พาสมาชิกครอบครัวของข้ามาด้วย ข้าต้องการหาที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา แน่นอนว่านายไม่สามารถปฏิเสธได้”
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของบารอนเพอร์แมน ก็จะเห็นรถม้าจำนวนมากที่มีหญิงสาวของตระกูลจำนวนมากในขบวนรถม้า
“เข้ามาที่ปราสาทของข้าก่อนสิ เดี๋ยวค่อยคุยเรื่องนั้นทีหลัง”
เลห์แมนได้มองไปที่อัศวินของบารอนเพอร์แมนที่มีอย่างน้อย ๆ 700นาย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าอัศวินเกราะเหล็กของเขาแต่ก็เป็นกำลังรบที่ไม่อาจมองข้ามได้
จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้ามาข้างในปราสาท บารอนเพอร์แมนได้เห็นเมอร์ลิน เขาก็จำได้ทันที เขามองเมอร์ลินขึ้นลงและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เมอร์ลิน เข้ามาทักทายบารอนเพอร์แมนสิ” เลห์แมนกล่าวกับเมอร์ลิน
เมอร์ลินก้าวไปก้าวหน้าพร้อมกับทำความเคารพตามธรมเนียมของขุนนาง จากนั้นเขาก็ถอยหลังกลับไป
ในระหว่างนั้น บารอนเพอร์แมนลอบสังเกตเมอร์ลินและพูดว่า
“การต่อสู้ในวันนี้เธอทำให้ดีมาก มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนได้พบกับนักเวทย์จากอาณาจักรแบล็กมูนครั้งแรกเลย ท่านก็คิดเหมือนข้ามั้ยวิลสัน”
บารอนเพอร์แมนก็เคยเข้าร่วมสงครามเช่นเดียวกับเลห์แมนแต่เขาอยู่พักหนึ่งก็ต้องกลับเมืองแบล็กวอเตอร์เพื่อกลับมารับตำแหน่งบารอน
แม้เขาจะใช้เวลาเพียงสั้น ๆ แต่เขาก็ได้พบกับเหล่านักเวทย์ที่ทรงพลังจากอาณาจักรแบล็กมูน พวกเขาสามารถทำลายป้อมปราการที่แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดายเพียงแค่โบกมือ
พลังที่สุดยอดนี้ได้ทำให้บารอนเพอร์แมนประทับใจมิรู้ลืม
สำหรับผู้ที่เข้าร่วมสงครามนั้นจะไม่เรียกพวกนักเวทย์ว่า ‘พวกนอกรีต’ ตามที่ศาสนจักรกรอกหูโฆษณาชวนเชื่อใส่ประชาชนทั่วไปให้คิดอย่างนั้น
สำหรับมุมมองของเขานั้น สิ่งที่เรียกกันว่า ‘พวกนอกรีต’ นั้นเป็นเพียงคนที่พิเศษและมีพลังเหนือกว่าคนทั่วไป จริง ๆ ในอาณาจักรแห่งแสงก็มีนักเวทย์หลายคนแต่พวกเขาถูกจับกุมโดยศาสนจักรแทบทุกคน
จากนั้นบารอนเพอร์แมนก็หันกลับมาพูดคุยกับเลห์แมนด้วยท่าทีที่จริงจัง
“วิลสัน แผนของท่านตอนนี้คืออะไร?”
เลห์แมนเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หันไปมองเมอร์ลินและพูดเบา ๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากับเมอร์ลินได้พูดคุยกัน พวกเราได้ตัดสินใจในขั้นต้นว่าจะเดินทางไปยังตะวันออกเพื่อมุ่งสู่อาณาจักรแบล็กมูน”
เมื่อบารอนเพอร์แมนได้ยินอย่างนั้น เขาก็แสดงสีหน้าที่พึงพอใจ
“เยี่ยมเลย วิลสัน ข้าก็คิดเช่นเดียวกับท่าน ข้าก็กำลังเดินทางไปทางตะวันออกเช่นเดียวกัน…ที่ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากท่าน ด้วยอัศวินเกราะเหล็กที่แข็งแกร่งของท่าน ข้ามั่นใจว่าอัศวินของท่านจะทำให้ตระกูลของข้ารอดจากพวกโจรและไปถึงอาณาจักรแบล็กมูนได้แน่นอน”
เลห์แมนพยักหน้ายอมรัมการเข้าร่วมของบารอนเพอร์แมนอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความเร็วในการเดินทางจะช้าลงเนื่องจากมีกองกำลังพลกว่าพันนายแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
จากนั้นเลห์แมนก็ตัดสินใจใช้กับข้อเสนอเมอร์ลิน เขาจะเดินทางไปตะวันออกมุ่งสู่อาณาจักรแบล็กมูน
เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ลงมืออย่างรวดเร็ว นี่เป็นการย้ายถิ่นฐานดังนั้นต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวแต่ด้วยการสั่งการของเลห์แมน ทำให้ทุกอย่างเสร็จอย่างรวดเร็ว
“ไง เมอร์ลิน เป็นยังไงบ้าง” บารอนเพอร์แมนทักทายเมอร์ลินด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่เดินทางมาอย่างยาวนานทำให้บารอนเพอร์แมนดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อเขามาถึงดินแดนของเลห์แมน เขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
บารอนเพอร์แมนเดินมาหาเมอร์ลินและพูดว่า “ไม่อยากจะเชื่อเลย แค่เวลาสองสามเดือน เธอจะเปลี่ยนไปมาก ตัวใหญ่ขึ้นมาก…จริงสิ เธอก็ไม่ได้เจอแอวริลมาสักพักแล้วสินะ ตอนนี้เธออยู่บนรถม้าน่ะ เดี๋ยวข้าจะเรียกเธอมานะ คุยกันดี ๆ ล่ะ”
เมอร์ลินชะงักเล็กน้อย เมื่อบารอนเพอร์แมนพูดถึง ‘แอวริล’ ภาพความทรงจำของเขาก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมา
“แอวริล…คู่หมั้นของฉันสินะ” เมอร์ลินพึมพำพร้อมทำสีหน้าปั้นยาก
…
เมืองแห่งแสง
ที่นี่เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของอาณาจัดรแห่งแสง ที่นี่มีพระราชวังอันหรูหราและเป็นที่ตั้งของโบสถ์ใหญ่ของโบสถ์เทพแห่งแสง
อย่างไรก็ตามเมื่องแห่งแสงในตอนนี้เต็มไปด้วยการนองเลือดที่สุดแสนจะมืดมน มีการฆ่าฟันไปทั่วทุกตารางเมตร
“เชอรีส ราชวงศ์ของพวกเราได้จบสิ้นแล้ว…เจ้าจงพาน้องชายหนีไปจากเมืองแห่งแสง ข้าได้เตรียมอัศวินไว้สองพันนายไว้ปกป้องพวกเจ้าในระหว่างเดินทาง เท่านี้เราก็จะสามารถรักษาสายเลือดของราชวงศ์ได้แล้ว”
ในความมืดมิด เฟรดเดอริค เจ้าชายแห่งอาณาจักรแห่งแสงได้พูดกับหนุ่มสาวที่อายุราว ๆ 17ปี อย่างแผ่วเบา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เจ้าหญิงที่มีพระนามว่า เชอรีสได้รีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านลุงเฟรดดอริค ท่านจะไม่มากับพวกเราหรือ?”
เจ้าชายเฟรดเดอริคได้เหม่อมองท้แงฟ้าและส่ายหัว “ลุงทำอย่างนั้นไม่ได้ ลุงมิอาจทิ้งใครไปได้…เจ้าเก็บแหวนวงนี้ไว้และดูมันให้ดี ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ที่ทั้งเจ้าและเบนินไม่มีศักยภาพที่จะเป็นนักเวทย์ได้ ไม่เช่นนั้นลุงจะให้เจ้านำแหวนวงนี้ไปที่ภูมิภาคแบล็กเมจิคในอาณาจักรแบล็กมูนและกลายเป็นนักเวทย์ฝึกหัดที่นั่น…”
ดูเหมือนเฟรดเดอริคจะห่วงแหนแหวนวงนี้อย่างลึกซึ้ง เขายื่นไปให้เชอรีสอย่างไม่เต็มให้นัก
“รีบไปเร็วเข้า!! เชอรีส เจ้าอย่าพึ่งคิดแก้แค้นตอนนี้ ไว้รุ่นลูกของเจ้ามีศักยภาพที่สามารถเป็นนักเวทย์ได้เมื่อไหร่ ให้นำแหวนวงนี้ไปที่ภูมิภาคแบล็กเมจิค เมื่อไปถึงที่นั่น เขาก็จะกลายเป็นนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่…”
หลังจากที่พูดจบเจ้าชายเฟรดเดอริคก็โบกมือสั่งให้อัศวินพาตัวเชอรีสไป
*ตูม!!!*
เมื่อเชอรีสและคนอื่น ๆ ออกจากเมืองแห่งแสงได้สำเร็จ จู่ ๆ ก็มีแสงสีขาวที่น่ากลัวระเบิดขึ้น แสงที่เจิดจ้า มันแทบจะกลืนกินเมืองทั้งหมด
“ท่านลุงเฟรดเดอริค…” เชอรีสพึมพำเบา ๆ เธอบีบมือทั้งสองข้างแน่น เธอได้เช็ดน้ำตาแล้วหันออกมา เธอได้เดินตามผู้ติดตามและหายตัวไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดมิด