“หึ…ไอ้ ‘บ้าน’ ในเขตตัวเมืองชั้นในนี่มันดูหรูกว่าบ้านข้างนอกนั่นตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง”

 

ในขณะที่รถกระบะที่เอริซาเบธเป็นผู้ขับกำลังแล่นเอื่อยๆ ไปตามถนนเส้นหนึ่งภายในเขตตัวเมืองชั้นในอยู่นั้น อยู่ดีๆ อลิซก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาลอยๆ เมื่อเธอทอดสายตาไปตามคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งเรียงรายกันไปและพบว่ามันมีหน้าตาที่ดูดีกว่าบ้านเรือนของเขตตัวเมืองชั้นนอกลิบลับ

 

ซึ่งคำพูดของอลิซก็ได้ทำให้นากาเลิกคิ้วมองดูคฤหาสน์ขนาดใหญ่โตหรูหราที่ได้รับการดูแลอย่างดีอีกทั้งยังมีสวนดอกไม้หรือไม่ก็สวนที่ถูกตกแต่งให้เป็นเขาวงกตขนาดใหญ่ล้อมรอบอยู่อีกด้วยในขณะที่บ้านเรือนในเขตตัวเมืองชั้นนอกนั้นกลับมีสภาพเหมือนกับตึกแถวที่ตั้งเรียงรายกันไป

 

และนั่นก็ทำให้นากาที่สังเกตเห็นแบบนั้นได้หันไปมองทางด้านอารอนด้วยสายตาเคลือบแคลงจนทำให้อารอนได้แต่ต้องพูดยอมรับออกมาแต่โดยดี

 

“เฮ้อ… พวกเขาก็ยังแบ่งชนชั้นกันอยู่ตามที่นายคิดเอาไว้นั่นล่ะ… แต่ว่าเรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกัน… ตอนนี้พวกเราใกล้จะถึงกันแล้ว… พวกเธอเตรียมตัวให้พร้อมกันก่อนเถอะ…”

 

“ค่า~~”

 

“อ–อือ! ก็พร้อมเท่าที่จะพร้อมได้แล้วล่ะนะ!”

 

ในขณะที่พรีมูล่าได้ขานตอบรับอารอนกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนกับว่าเธอไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าคำว่าเตรียมตัวของอารอนนั้นหมายถึงให้เตรียมตัวอะไร ทางด้านนากานั้นกลับแทบจะสะดุ้งสุดตัวและพูดตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจนัก ส่วนทางด้านอลิซเองนั้นก็กลับทำเพียงแค่เหลือบตากลับมามองอารอนเล็กน้อยแล้วจึงหันกลับไปมองชมวิวเช่นเดิม

 

และหลังจากนั้นไม่นานรถกระบะที่ทุกคนโดยสารมาก็ค่อยๆ ลดความเร็วและหยุดลงอยู่ที่หน้าประตูรั้วของบ้านสองชั้นหน้าตาธรรมดาๆ หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดกับกำแพงเมืองชั้นในและถูกรายล้อมเอาไว้ด้วยคฤหาสน์หลังโตจนดูไม่เข้ากับสถานที่เลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งถึงแม้ว่าขนาดของตัวบ้านมันจะใหญ่โตพอๆ กับคลินิกของอารอนที่หมู่บ้านโมริโกะที่เรียกได้ว่ากว้างขวางพอตัว แต่ว่าเมื่อมันมาตั้งอยู่ท่ามกลางคฤหาสน์หลังใหญ่แล้วมันก็ดูเล็กลงไปถนัดตาจนทำให้นากาได้แต่ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนที่เขาจะได้พบว่าที่จริงตัวอาณาเขตของที่ดินของบ้านหลังนี้มันไม่ได้เล็กไปกว่าคฤหาสน์รอบๆ ไปสักเท่าไหร่และมีเพียงแค่ตัวบ้านเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกสร้างให้ดูหรูหราใหญ่โตเหมือนกับคฤหาสน์หลังรอบๆ

 

“เอาล่ะ ถึงแล้วค่า~~ เชิญกระโดดลงกันได้เลย~”

 

ในขณะที่นากากำลังรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับตัวบ้านหลังเล็กอยู่นั้นเองเอริซาเบธก็ได้ชะโงกหัวออกมาจากห้องโดยสารและร้องบอกทุกคนขึ้นมาจนทำให้พวกเขาทั้งสี่คนค่อยๆ ปีนลงมาจากกระบะหลังรถและเดินตามหลังอารอนไปหยุดอยู่ที่ประตูรั้วเหล็กหน้าบ้าน

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวพอฉันเอารถไปคืนเสร็จแล้วฉันจะไปหาเดรคเขาที่คลินิกเลยก็แล้วกันนะคะคุณอารอน”

 

“อ่า… เหนื่อยหน่อยนะ…”

 

“ไว้เจอกันน๊าพี่เอริ~~”

 

ในขณะที่พรีมูล่ากำลังโบกมือลาเอริซาเบธอย่างร่าเริงอยู่นั้น ทางด้านอารอนก็ได้เดินตรงเข้าไปที่ริมประตูรั้วก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นไปกดที่ปุ่มอะไรบางอย่างที่ติดอยู่ที่ด้านข้างของประตูจนทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมา

 

แอ๊ดดดดดด—

 

“……..”

 

“…ไม่เห็นจะมีใครออกมาเลยอ่ะพี่อารอน”

 

หลังจากที่สิ้นเสียงกริ่งหน้าประตูไปได้สักพักหนึ่งแล้วพรีมูล่าก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยสงสัยเพราะว่ามันไม่มีเสียงตอบรับหรือว่ามีวี่แววว่าจะมีใครเปิดประตูออกมาทักทายพวกเธอเลยแม้แต่น้อยจนทำให้อารอนได้แต่ต้องยื่นมือไปกดกริ่งซ้ำอีกสองสามที

 

แอ๊ดดดดดด—แอ๊ดดดดดด—แอ๊ดดดดดด—

 

“แปลกจังแฮะ…”

 

“เขาไม่อยู่บ้านหรือเปล่าน่ะ เพราะเอาจริงๆ แล้วนายควรจะกลับมาถึงเมืองในวันพรุ่งนี้ไม่ใช่หรอ—”

 

โคร๊ม!! เพล้ง!

 

ในขณะที่นากากำลังเอ่ยปากพูดออกมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงโครมครามดังลั่นออกมาจากภายในตัวบ้านจนทำให้ทุกคนต้องหันไปดูก่อนที่อลิซจะเอ่ยปากถามขึ้นมาเบาๆ

 

“เสียงนั่นมันดังออกมาจากข้างในตัวบ้านไม่ใช่หรือไง?”

 

“เฮ้อ… ก็คงจะซุ่มซ่ามเดินเตะข้าวของพังไปทั่วเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ… เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

 

“ฉันไม่ได้เป็นห่วงสักหน่อย!!”

 

“พี่อลิซนี่ปากแข็งจังเลยน๊า~~”

 

เสียงโวยวายของอลิซนั้นได้ทำให้พรีมูล่าเผยรอยยิ้มกว้างและเอ่ยปากล้อเลียนออกมาจนทำให้อลิซที่ได้ยินแบบนั้นตอบรับด้วยการยื่นมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บของเธอไปดึงแก้มของพรีมูล่าอย่างแรง

 

“เด็กอย่างเธอน่ะเงียบไปเลย!!”

 

“โอ๊ยๆ ผู้ใหญ่ตัวกระจิ๋วอย่างพี่อลิซจังก็ทำตัวไม่เห็นจะต่างจากเด็กเลยอ่ะ!!”

 

ในขณะที่เด็กสาวทั้งสองคนที่คนหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะตัวเตี้ยกว่าอายุจริงและอีกคนหนึ่งก็โตเกินวัยกำลังรังแกกันเองอยู่นั้นทางด้านนากาก็ได้พยายามจัดแจงเสื้อผ้าและทรงผมของตัวเองให้ดูเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อยู่

 

แต่ทว่าหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ แล้วประตูของตัวบ้านก็ยังไม่ถูกเปิดออกมาจนทำให้นากาได้แต่เอ่ยปากถามอารอนขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

 

“เอ่อ… นายแน่ใจหรอว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงน่ะ…?”

 

“นั่นสิ มีเสียงดังขนาดนั้นแล้วเงียบไปเลยแบบนี้นี่ไม่ใช่ว่าโดนของหล่นลงมาทับจนขยับตัวไม่ได้ไปแล้วหรอกหรอน่ะ?”

 

ทันใดนั้นเองอลิซที่กำลังดึงแก้มของพรีมูล่าเล่นอยู่ก็ได้เดินเข้ามาร่วมวงพูดคุยด้วยโดยที่ไม่ได้ปล่อยมือของเธอออกจากแก้มนิ่มๆ ของพรีมูล่าจนทำให้เด็กสาวผมสีชมพูต้องร้องโวยวายออกมา

 

“พี่อลิซจะไปคุยกับคนอื่นก็หยุดดึงแก้มกันก่อนสิ~~!!”

 

“อืม…”

 

ถึงแม้ว่าจะมีเสียงร้องโวยวายของพรีมูล่าดังลั่นรบกวนสมาธิอยู่ก็ตามแต่ว่าทางด้านอารอนก็ได้ขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปจับที่ประตูรั้วเพื่อผลักมันเข้าไปดูด้านใน

 

แกร๊ก…

 

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณมีธุระอะไรกับบ้านหลังนี้หรือเปล่าครับ?”

 

ในชั่วขณะที่อารอนกำลังจะออกแรงดันประตูรั้วให้เปิดออกนั้นเองอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ฟังดูสุภาพดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของทุกคนจนทำให้อารอนต้องหยุดมือของเขาและหันกลับไปมองดูก่อน

 

และนั่นก็ทำให้ทุกคนได้พบเข้ากับชายหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลที่มีนัยน์ตาสีฟ้าภายในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่ประดับตกแต่งเอาไว้ด้วยลวดลายสีทองกับบั้งไหล่สีทองที่ดูหรูหราและมีผ้าสีแดงคาดทับเสื้อนอกของเขาเอาไว้ที่กำลังขมวดคิ้วมองดูพวกเขาอยู่ด้วยท่าทีสงสัย

 

“โหวววว~~~~ / เอ่อ…”

 

ในขณะที่พรีมูล่าที่เพิ่งจะเคยเห็นคนแต่งตัวด้วยชุดเครื่องแบบเต็มยศเป็นครั้งแรกกำลังหลุดเสียงร้องออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้นอยู่นั้น ทางด้านนากาก็กลับเลิกคิ้วมองดูชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายเข้ามาพูดถามพวกเขาทำไมกัน

 

แต่ถึงแม้ว่าสองพี่น้องจะมีท่าทีที่แตกต่างกันไปทางด้านอลิซและอารอนนั้นกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วจึงหันไปพูดปรึกษากันเองเบาๆ

 

“ชุดแบบนั้นมัน…”

 

“อืม… เดี๋ยวฉันจัดการเอง… ฝากเธอคุมพรีมูล่ากับนากาเอาไว้ให้หน่อยสิ… อย่าเพิ่งให้สองคนนั้นพูดอะไรที่ไม่จำเป็นออกมาล่ะ…”

 

“ไม่คิดจะตอบคำถามของผมสักหน่อยหรอครับ?”

 

ในระหว่างที่อารอนกำลังพูดสั่งอลิซออกมาอยู่นั้นทางด้านชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเขาได้พบว่ากลุ่มคนเบื้องหน้าได้มองดูการแต่งตัวของเขาอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงหันไปพูดคุยกันเองด้วยท่าทีน่าสงสัยจนทำให้อารอนที่ได้ยินแบบนั้นต้องรีบเดินไปขวางหน้าพรีมูล่ากับนากาที่อยู่ใกล้กับอีกฝ่ายมากกว่าเอาไว้และค้อมหัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษก่อนจะพูดอธิบายออกมาให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว

 

“ขอโทษด้วยครับ… พอดีว่าพวกเด็กๆ เขาเพิ่งจะเคยเข้าเมืองกันเป็นครั้งแรกผมก็เลยต้องเตือนพวกเขาเอาไว้ก่อนว่าอย่าทำอะไรให้เป็นการเสียมารยาทน่ะครับ…”

 

“อ๋อ… ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผมเองก็ผิดที่ใจร้อนไปหน่อยด้วย… ว่าแต่แล้วนี่สรุปว่าพวกคุณมีธุระอะไรกับบ้านหลังนี้หรือเปล่าครับ?”

 

“คือว่าผมเป็นเพื่อนกับเจ้าของบ้านหลังนี้น่ะครับ… แต่ว่านี่ก็กดกริ่งเรียกไปได้สักพักนึงแล้วเขาก็ยังไม่ออกมาต้อนรับสักทีก็เลยต้องมายืนรอกันอยู่นี่… อ๋อ… แล้วก็ผมชื่อว่าอารอนครับ…”

 

“คุณเป็นเพื่อนกับคุณเอริกะงั้นหรอครับ? ถ้างั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อว่าเวก้า… บารอน เวก้า รีวิซ… ถ้าเกิดว่าพวกคุณเป็นเพื่อนกับคุณเอริกะล่ะก็จะเรียกผมว่าเวก้าเฉยๆ เลยก็ได้นะครับผมไม่ถือหรอก”

 

“เอ๋~~~ ไหงมีตั้งสามชื่ออ่—”

 

“คำว่าบารอนมันคือชื่อตำแหน่งของขุนนางต่างหากเล่ายัยบ๊องนี่!”

 

ในทันทีที่พรีมูล่าได้ยินชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเอ่ยปากพูดแนะนำตัวออกมาเธอก็ได้ร้องออกมาเสียงดังด้วยความแปลกใจจนทำให้นากาต้องรีบพุ่งมือไปอุดปากของเธอเอาไว้และร้องดุว่าเธอออกมา ส่วนทางด้านเวก้านั้นก็ได้แต่กะพริบตามองเด็กสาวผมสีชมพูด้วยความมึนงงเพราะไม่คิดว่าจะมีใครที่ไม่รู้จักชื่อตำแหน่งขุนนางระดับล่างๆ อย่างตำแหน่งบารอนอยู่ด้วย

 

ซึ่งในขณะที่เขากำลังมึนงงอยู่นั้นเองสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอลิซที่กำลังขมวดคิ้วจ้องมองตรงมาทางเขาด้วยแววตาดุร้ายจนทำให้เขาถึงกับผงะไปเล็กน้อยก่อนที่ทันใดนั้นเองอารอนจะเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาดึงความสนใจของเขาไป

 

“บารอนงั้นหรอ… คุณเป็นขุนนางของที่นี่หรอครับ…?”

 

“ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายค้นคว้าและวิจัยศาสตร์โบราณครับ… เอ่อ… คือว่าคุณหนูผมขาวคนนั้นเขาไม่พอใจอะไรอยู่หรือเปล่าน่ะครับ… เธอจ้องผมตาไม่กะพริบมาสักพักนึงแล้วนะครับนั่น…”

 

คำพูดของเวก้าได้ทำให้อารอนชะงักไปเล็กน้อยและเหลือบกลับไปมองทางด้านอลิซก่อนจะพบว่าเด็กสาวผมสีขาวที่เขาส่งไปคุมสองพี่น้องแทบจะแยกเขี้ยวใส่เวก้าอยู่แล้วด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างนึงจนทำให้เขาต้องรีบพูดกลบเกลื่อนขึ้นมา

 

“เธอแค่ไม่ถูกกับคนแปลกหน้าเฉยๆ น่ะครับคุณเวก้าไม่ต้องไปสนใจหรอก… ว่าแต่นี่คุณเวก้ามีธุระอะไรกับพวกผมหรือเปล่าน่ะครับ… คือว่าตามปกติแล้วคนเราก็คงจะไม่เอ่ยปากทักคนแปลกหน้าตามถนนไปทั่วหรอกจริงมั้ยล่ะครับ…”

 

“อ๋อ… พอดีว่าวันนี้ผมมีเรื่องที่อยากจะมาขอคำปรึกษาจากคุณเอริกะเขานิดหน่อยน่ะครับ แต่ว่าพอมาถึงแล้วก็เห็นว่ามีพวกคุณมายืนออกันอยู่ที่หน้าบ้านแถมยังทำท่าเหมือนกับว่าจะเปิดประตูเข้าไปกันเองอีกต่างหากผมก็เลยต้องรีบมาสอบถามดูก่อนน่ะครับ”

 

เวก้าที่ได้ยินคำถามของอารอนได้พูดตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่ว่ากลับแผ่แรงคุกคามอะไรบางอย่างออกมาจนทำให้อารอนต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

แต่ว่าก่อนที่ชายหนุ่มทั้งสองคนจะได้โต้เถียงอะไรกันไปมากกว่านั้นพรีมูล่าที่ได้ยินคำพูดที่เกี่ยวกับประตูก็ได้ร้องออกมาเสียงดัง

 

“อ่ะ— ใช่แล้ว! พี่อารอนๆ เจ้าของบ้านเขายังไม่เปิดประตูออกมาเลยอ้ะ—!”

 

“อย่าไปพูดแทรกตอนคนอื่นเขาคุยอยู่กันแบบนั้นสิพรีมูล่า!”

 

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของพรีมูล่า นากาที่เผลอปล่อยมือที่อุดปากน้องสาวตัวแสบของเขาเอาไว้ออกเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ต้องรีบพุ่งมือไปอุดปากของพรีมูล่าเอาไว้และพูดว่าเธอออกมาอีกครั้งหนึ่งในขณะที่ทางด้านเวก้าก็ได้ชะโงกหน้ามองข้ามประตูรั้วไปดูประตูและหน้าต่างที่ปิดสนิทของตัวบ้านแล้วจึงเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา

 

“พวกคุณแน่ใจหรือครับว่าคุณเอริกะเขาอยู่ข้างในบ้านน่ะ บางทีคุณเอริกะเขาอาจจะแค่วางข้าวของเอาไว้ไม่ดีจนมันหล่นลงมาแตกก็ได้นะครับ เพราะว่าปกติแล้วคุณเอริกะเขาก็ไม่ค่อยจะระวังอะไรสักเท่าไหร่อยู่แล้วซะด้วยสิ”

 

“…….”

 

คำพูดของขุนนางหนุ่มได้ทำให้อลิซที่ยืนขมวดคิ้วจ้องมองเขาอยู่หน้านิ่วคิ้วขมวดไปมากกว่าเดิมก่อนที่เธอจะชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบบอกอารอนเบาๆ

 

“ฉันมั่นใจว่าเมื่อกี้นี้หมอนี่ไม่ได้อยู่ใกล้ขนาดที่จะได้ยินเสียงอะไรสักอย่างแตกนั่นแน่นอน… นายจะเอายังไงล่ะ จะให้ฉันฟาดหมอนี่ให้กระเด็นไปเลยมั้ย?”

 

“อย่าดีกว่า… ถึงดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนรู้จักของเอริกะก็เถอะแต่ว่ายังไงซะเขาก็เป็นขุนนางคนนึง… ถ้าพวกเราผลีผลามทำอะไรลงไปมันจะมีแต่ผลเสียเปล่าๆ …”

 

“แล้วนายจะเอายังไงต่อล่ะ?”

 

“พวกเราก็แค่ไม่ต้องไปสนใจเขาแล้วเข้าไปตรวจดูข้างในกันเองเลยดีกว่า… ถึงจะไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วแต่ฉันก็ไม่คิดว่าเอริกะจะซุ่มซ่ามถึงขนาดวางของไม่ระวังจนมันร่วงลงมาแตกเองได้หรอกนะ…”

 

อารอนพูดตอบอลิซกลับไปก่อนที่เขาจะกวักมือเรียกนากาและพรีมูล่าเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับล้วงมือผ่านประตูรั้วเข้าไปเพื่อสำรวจดูที่ล็อกประตูที่อยู่ด้านในว่าเขาจะปลดล็อกมันได้ยังไง

 

แกร๊ก…

 

แต่ว่าทันใดนั้นเองประตูรั้วเหล็กที่สัมผัสกับมือของอารอนก็กลับถูกเลื่อนเปิดออกอย่างง่ายดายราวกับว่ามันไม่ได้ถูกล็อกกุญแจเอาไว้ซะด้วยซ้ำจนทำให้อารอนได้แต่ต้องพูดพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

“….แปลกแฮะ”

 

“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่พวกคุณคิดจะทำอะไรกันน่ะ!?”

 

ทันใดนั้นเองเวก้าที่สังเกตเห็นว่าอารอนได้ละความสนใจไปจากเขาและเปิดประตูรั้วบ้านออกก็ได้หลุดเสียงร้องออกมาเสียงดังและรีบเดินเข้ามาขวางหน้าพวกเขาเอาไว้ในทันทีจนทำให้อารอนที่เห็นแบบนั้นเริ่มที่จะคิดว่าการกระทำของขุนนางหนุ่มดูน่าสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว

 

“พวกผมก็จะเข้าไปดูข้างในตัวบ้านว่ามันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่ายังไงล่ะครับ…”

 

“จะเข้าไปเฉยๆ โดยไม่รอให้เจ้าของบ้านอนุญาตก่อนแบบนั้นมันเข้าข่ายบุกรุกนะครับ! ถึงพวกคุณจะเป็นเพื่อนของคุณเอริกะก็เถอะแต่ว่าในฐานะขุนนางแล้วผมคงจะปล่อยให้พวกคุณทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะครับ!!”

 

ดูเหมือนว่าคำตอบของอารอนนั้นจะไม่ทำให้เวก้ารู้สึกพอใจสักเท่าไหร่นักและขึ้นเสียงพูดเถียงกลับมา ซึ่งนั่นก็ทำให้อลิซที่ค่อนข้างจะปักใจเชื่อไปแล้วว่าขุนนางหนุ่มทำตัวน่าสงสัยได้ขึ้นเสียงพูดเถียงกลับไปในทันที

 

“อะไรของนายกันหะ!? เล่นมาพูดเหมือนกับว่าพวกฉันจะเข้าไปขโม—”

 

ในขณะที่อลิซกำลังจะชี้หน้าพูดด่าเวก้าขึ้นมานั้นเสียงของเธอก็เงียบหายไปกลางคันเมื่อปากของเธอถูกอุดเอาไว้ด้วยฝ่ามือของพรีมูล่าที่ถูกนากาสะกิดสั่งให้เธอยื่นมือไปอุดปากของอลิซเอาไว้อีกคนหนึ่ง

 

และในขณะเดียวกันทางด้านอารอนที่เห็นว่าเรื่องมันชักจะวุ่นวายมากเกินไปแล้วก็ได้ตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมาตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมแทน

 

“เฮ้อ… ถ้าคุณพูดถึงขนาดนั้นแล้วพวกผมจะรอให้เอริกะออกมาต้อนรับเองก่อนก็ได้… ว่าแต่ทางด้านคุณเองเถอะ… ที่พยายามห้ามพวกผมขนาดนี้นี่มีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า…?”

 

คำถามของอารอนถึงกับทำให้เวก้าชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

 

“คุณอารอนพูดแบบนี้นี่หมายความว่ายังไงกันครับ?”

 

“ก็หมายความตามที่ผมพูดนั่นแหล่ะครับ… เจ้าเสียงที่เหมือนกับว่ามีอะไรตกลงมาแตกนั่นขนาดพวกผมที่อยู่ที่หน้าบ้านก็ยังได้ยินแค่แว่วๆ เองนะครับ… แล้วทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้นคุณเวก้ารู้ได้ยังไงล่ะครับว่ามีอะไรร่วงลงมาแตกในบ้านของเอริกะน่ะ?”

 

“……..”

 

คำพูดของอารอนได้ทำให้เวก้าชะงักนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยท่าทีคุกคาม

 

“นี่พวกคุณเป็นเพื่อนของคุณเอริกะจริงๆ หรือเปล่าเถอะ… หรือว่าที่จริงแล้วพวกคุณเป็นสายลับจากเมืองอื่นที่ลอบเข้ามาแอบจารกรรมผลงานประดิษฐ์ของคุณเอริกะกันน่ะ!?”

 

“หึ… ถ้าคุณเวก้าอยากรู้นักก็ลองเข้าไปถามยัยนั่นที่ข้างในตัวบ้านดูสิครับ… หรือถ้าไม่อย่างงั้นคุณก็ลองใช้อำนาจของตำแหน่งบารอนที่คุณมีนั่นพูดสั่งพวกผมมาดูสิ…”

 

“นี่คุณ!!”

 

คำพูดของอารอนได้ทำให้เวก้าขมวดคิ้วจ้องมองนายแพทย์หนุ่มด้วยสายตาเคร่งเครียดก่อนที่เขาจะล้วงมือเข้าไปในเสื้อสูทสีน้ำเงินของเขาราวกับว่าเขากำลังจะหยิบอาวุธออกมา

 

แต่ถึงแม้ว่าอารอนจะเห็นท่าทางเคร่งเครียดของเวก้าแบบนั้นเข้าไปแล้วเขาก็กลับยังมีท่าทีสบายๆ อยู่จนทำให้พรีมูล่าอดไม่ได้ที่จะเบียดตัวเองเข้าไปหานากาอย่างหวาดๆ

 

“พี่นากา… ปล่อยไว้แบบนี้จะหรอ หนูกลัวอ่ะ…”

 

“พี่เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน… แต่ว่าถ้าอารอนทำอะไรแบบนั้นลงไปเขาก็น่าจะวางแผนอะไรเอาไว้แล้วล่ะมั้ง…”

 

ในขณะที่สองพี่น้องกำลังพูดคุยปรึกษากันเองอยู่นั้นทางด้านอลิซก็ได้สะบัดตัวเองให้หลุดจากอุ้งมือของพรีมูล่าที่อุดปากของเธอเอาไว้และหลบไปยืนอยู่อีกทางหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยอีกคน

 

“ฉันว่าแยกอารอนออกมาก่อนแล้วเดี๋ยวพวกเราค่อยกลับมาที่นี่วันหลังก็ได้ล่ะมั้ง… ไปมีเรื่องกับพวกขุนนางอย่างเจ้าเวก้านั่นคิดยังไงก็มีแต่เสียกับเสียชัดๆ”

 

“เห… ไม่เห็นจะต้องไปหยุดพวกเขาก็ได้นี่ ฉันว่าอารอนเขาก็ยังคุมสถานการณ์ได้อยู่นะ~”

 

“ว๊าย–!?”

 

ในขณะที่อลิซกำลังคิดที่จะเดินเข้าไปห้ามปรามอารอนอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเอาคางลงมาเกยเอาไว้บนไหล่ข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บของเธอและพูดกระซิบขึ้นมาข้างๆ หูจนทำให้อลิซถึงกับสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจและเผลอหลุดเสียงหวีดร้องออกมาเต็มเสียงจนทำให้ทุกคนต้องรีบหันกลับไปดูในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาได้พบเข้ากับหญิงสาววัยรุ่นสวมแว่นผมสีแดงที่มัดผมของเธอเอาไว้เป็นทรงทวินเทลและแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวเอวลอยกับกระโปรงสั้นสีดำสวมทับเอาไว้ด้วยเสื้อกาวน์เก่าๆ สีขาวหม่นที่กำลังกวาดสายตาจ้องมองกลุ่มคนที่มายืนอยู่ด้านหน้าบ้านของเธอด้วยความฉงนใจ

 

“อ้าว ไม่คุยต่อกันแล้วหรอ เอาไว้เดี๋ยวคุณเวก้ากับอารอนคุยกันเสร็จแล้วก็ค่อยหลบทางให้ฉันเข้าบ้านก็ได้นะคะฉันรอได้~”

 

“เฮ้อ… พวกฉันก็กำลังพูดถึงเธอกันอยู่นั่นแหล่ะเอริกะ…”

 

“นี่ตกลงว่าคนคนนี้เขาเป็นเพื่อนของคุณเอริกะจริงๆ หรอครับนั่น!?”

 

ในขณะที่อารอนได้ส่ายหน้าพูดตอบหญิงสาวผมสีแดงที่มีชื่อว่า เอริกะ กลับไปด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ ทางด้านขุนนางหนุ่มเวก้าก็กลับพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความตกใจจนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ต้องพูดตอบคำถามของเขากลับไปด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

 

“ถ้าหมายถึงคุณหมออารอนคนนี้ล่ะก็ใช่แล้วล่ะค่ะ ว่าแต่นี่คุณเวก้าไม่รู้จักเขาหรอคะ… คุณหมออารอนคนที่เปิดคลินิกอยู่ในเขตตัวเมืองชั้นนอกนั่นไง”

 

“หือ…?”

 

เวก้าที่ได้ยินคำว่าคุณหมอนำหน้าชื่อของอารอนได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะมองสำรวจดูอารอนอีกครั้งหนึ่งอย่างละเอียดและพูดพึมพำออกมาเบาๆ

 

“อืม… ผู้ชายตัวเล็กผมสีขาวที่ชอบมัดผมไว้เป็นทรงหางม้ายาวๆ กับดวงตาสีเลือด… ก็ตรงตามกับที่ผมเคยได้ยินมาอยู่เหมือนกันนะครับ”

 

“ไอ้คำว่าตัวเล็กนี่ไม่ต้องพูดก็ได้นะครับ…”

 

“แต่พี่อารอนก็ตัวเล็กจริงๆ อ่ะ”

 

“ถ้าโดนอารอนแกล้งขึ้นมาทีหลังนี่พี่ไม่รู้ด้วยนะพรีมูล่า…”

 

ในทันทีที่พรีมูล่าได้ยินอารอนพูดขึ้นมาเหมือนกับว่าไม่พอใจที่มีคนอื่นมาเรียกว่าเขาตัวเล็กสักเท่าไหร่นักนั้นเธอก็ได้พูดโพล่งขึ้นมาเสียงดังจนทำให้นากาได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆ ในขณะที่ทางด้านเวก้าที่ได้ทราบถึงตัวตนของอารอนแล้วก็ได้เอ่ยปากพูดขอโทษขึ้นมาตรงๆ

 

“ถ้าเกิดว่าคุณเป็นคุณหมอนอกรีตอารอนคนนั้นจริงๆ ล่ะก็ผมก็พอเข้าใจแล้วล่ะครับว่าทำไมคุณถึงทำท่าเหมือนกับว่าระแวงผมเมื่อกี้นี้น่ะ… แต่ว่ายังไงผมเองก็ต้องขอโทษที่เผลอใจร้อนไปด้วยเหมือนกันนะครับ”

 

“หมอนอกรีต…? ไหนนายเคยบอกว่านายแค่เปิดคลินิกรักษาคนอยู่ที่เมืองหลวงเฉยๆ ไม่ใช่หรือไงน่ะอารอน?”

 

คำพูดของเวก้าได้ทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะพูดถามอารอนขึ้นมาด้วยความสงสัยกับที่มาของฉายาของนายแพทย์ที่เขานับว่าเป็นพี่ชายคนนี้ แต่ว่าทางด้านอารอนเองก็ได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามเวก้าขึ้นมา

 

“ฉายานี้ฉันเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินนี่ล่ะ… ถ้ายังไงรบกวนคุณเวก้าช่วยอธิบายให้ฟังสักหน่อยจะได้หรือเปล่าครับ…?”

 

“เอ่อ… คือว่าหลังจากที่คุณอารอนปฏิเสธจดหมายเชิญให้เข้าไปทำงานข้างในวังหลวงโดยไม่ได้อธิบายเหตุผลแล้วมันก็มีข่าวลือกันว่าที่จริงแล้วจดหมายเรียกนั่นองค์ราชาทรงเป็นผู้ส่งไปด้วยตัวเอง… แล้วก็พอรวมกับพวกตัวยาแปลกๆ ที่คุณอารอนใช้ในการรักษาคนไข้ด้วยแล้วพวกเขาก็เลยลือกันให้ทั่ววังเลยว่าที่จริงแล้วคุณอารอนเป็นหมอนอกรีตที่ใช้ตัวยาผิดกฎหมายอะไรจำพวกนั้นน่ะครับ”

 

“อ๋อ… เจ้าจดหมายเชิญเมื่อตอนนั้นเองน่ะหรอ…”

 

อารอนที่ได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจดหมายเชิญที่เขาเคยได้รับมาเมื่อนานมาแล้วได้พยักหน้ากลับไปให้เวก้าเบาๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเรื่องของฉายาที่ฟังดูไม่ดีของเขาเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เขาจะหันไปมองดูทางด้านเอริกะที่กำลังจับตัวพรีมูล่าหมุนไปมาเพื่อสำรวจตัวเธออยู่แล้วจึงพูดถามเวก้าขึ้นมาอีกครั้ง

 

“แล้วนี่คุณเวก้ารู้จักเอริกะเขาได้ยังไงน่ะครับ… เพราะเท่าที่ผมรู้มาถึงเอริกะเขาจะทำงานให้กับทางวังหลวงก็เถอะแต่ว่ายัยนั่นก็ปิดชื่อของตัวเองเอาไว้จนขุนนางระดับล่างๆ อย่างคุณไม่น่าจะรู้จักได้เลยนี่…”

 

คำถามของอารอนได้ทำให้เอริกะที่ได้ยินชื่อของเธอดังขึ้นมาละความสนใจออกมาจากพรีมูล่าและหันมาพูดตอบคำถามของชายหนุ่มทั้งสองคนขึ้นมาเสียงใส

 

“อ๋อ~ ก็มันมีอยู่ตอนนึงที่ฉันแอบอู้งานนานเกินไปหน่อยจนพวกคนในวังเขาถึงกับต้องส่งคุณเวก้ามาประสานงานกับฉันน่ะ แล้วหลังจากนั้นคุณเวก้าเขาก็ชอบมาปรึกษาเรื่องงานของเขากับฉันอยู่บ่อยๆ น่ะ~”

 

“มันก็ตามที่คุณเอริกะเขาพูดมานั่นแหล่ะครับ…”

 

เวก้าที่ได้ยินเอริกะแอบเผาเรื่องของเขาออกมาให้กับอารอนฟังได้แต่ต้องพูดตอบรับขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้หันไปมองดูนากากับอลิซที่กำลังยืนคู่กันอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจและพูดถามอารอนขึ้นมา

 

“เด็กผู้หญิงผมสีขาวตาสีแดงกับเด็กผู้ชายผมดำตาสองสี… นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ยอารอน วันรวมญาติหรือไง”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้อารอนเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมาก่อนที่เขาจะพูดอธิบายออกมาให้เอริกะฟัง

 

“ก็แค่เรื่องบังเอิญน่ะ… สองพี่น้องนี่ฉันรู้จักมาตั้งนานแล้ว… ส่วนเด็กผู้หญิงผมสีขาวที่ชื่อว่าอลิซนี่เห็นบอกว่ามีธุระอะไรสักอย่างนึงกับเธอน่ะฉันก็เลยพามาหาเธอพร้อมๆ กันไปเลย…”

 

“เห~ ก็ดูร่าเริงกันดีเนอะเด็กๆ พวกนี้เนี่ย ฉันชื่อว่าเอริกะจ้ะ เอาเป็นว่ายินดีที่ได้รู้จักแล้วก็เข้าไปนั่งคุยกันในบ้านกันเถอะ~ อ่ะ—”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังส่งรอยยิ้มให้กับพวกเด็กๆ และยื่นมือไปที่ตัวกลอนของประตูบ้านนั้นเธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อตัวประตูถูกดันจนเปิดออกได้อย่างง่ายดายทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้ปลดล็อกซะด้วยซ้ำ

 

“แล้วไหงมันเปิดได้เฉยๆ เลยแบบนี้ล่ะเนี่ย?”

 

เอริกะเอ่ยปากพูดขึ้นมาลอยๆ ด้วยความสงสัยและก้มลงไปมองดูสภาพของกลอนประตูรั้วในขณะที่ทางด้านอารอนเองก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

 

“เธอลืมล็อกประตูรั้วหรือเปล่า… ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันได้ยินเสียงจากข้างในแล้วคิดจะเข้าไปดูฉันก็เปิดมันได้เลยเหมือนกันก็เลยนึกว่าเธออยู่ข้างในนั้นน่ะ…”

 

“อืม… ในเมื่อมีเพื่อนมาเยี่ยมคุณเอริกะแบบนี้ถ้างั้นเรื่องคำปรึกษาของผมก็เอาไว้วันหลังน่าจะดีกว่าสินะครับ เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอตัวก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ”

 

“อ้าว คุณเวก้าจะไม่เข้ามานั่งดื่มชาหรือดื่มกาแฟคุยกันก่อนสักหน่อยหรอคะ”

 

เอริกะที่ได้ยินคำบอกลาของเวก้าได้เอ่ยปากพูดถามเขากลับไปด้วยความแปลกใจเพราะว่าปกติแล้วเวลาที่เวก้ามาหาเธอถึงที่บ้านก็มักจะเป็นเพราะว่าเขามีเรื่องด่วนจากทางวังหลวงมาแจ้งให้เธอทราบหรือไม่ก็มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับงานของเขาที่เขาต้องการคำแนะนำอย่างเร่งด่วนจากเธอ

 

“ฮะฮะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำชวนนะครับ แต่ถ้าเกิดว่ามีผมรอคุยเรื่องงานอยู่แบบนั้นมันก็เสียบรรยากาศหมดจริงมั้ยล่ะครับ อีกอย่างนึงเรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรอยู่แล้วด้วย… เอาเป็นว่าไว้วันหลังผมจะมาใหม่ก็แล้วกันนะครับ”

 

“แหม่ งั้นก็ตามใจคุณเวก้าก็แล้วกันค่ะ เอาเป็นว่าเดินทางปลอดภัยละกันนะคะ~”

 

เอริกะที่ได้รับคำปฏิเสธจากเวก้านั้นไม่ได้คิดที่จะเอ่ยปากรั้งตัวของเขาเอาไว้อีกและโบกมือลาเขาไปในขณะที่ทางด้านเวก้าเองก็ได้หันไปค้อมหัวให้กับอารอนเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษที่เขาทำตัวเสียมารยาทไปเมื่อตอนแรกก่อนที่เขาจะหันหลังเดินจากไปตามถนน

 

“หือ…”

 

แต่แล้วในขณะที่เวก้ากำลังจะเดินผ่านพรีมูล่าไปนั้นเองเขาก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันขวับไปทางพรีมูล่าด้วยแววตาเบิ่งกว้างและพูดถามพรีมูล่าขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ

 

“ขอโทษนะครับคุณหนู พวกเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”

 

“หะ!? เหะ!?”

 

พรีมูล่าที่อยู่ๆ ก็ถูกคนแปลกหน้าพูดถามขึ้นมานั้นได้สะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมามองซ้ายมองขวาเหมือนกับกำลังพยายามมองหาอยู่ว่าเวก้ากำลังพูดถามใครอยู่จนทำให้อลิซอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมากุมขมับของตัวเองและเอ่ยปากพูดบอกเด็กสาวผมสีชมพูขึ้นมา

 

“เขาถามเธออยู่นั่นแหล่ะยัยบ๊อง”

 

“เอ๋~!? หนูหรอ!? หนูไม่เคยเจอพี่ชายมาก่อนเลยนะ! เอาจริงๆ แล้วหนูเพิ่งจะเคยเข้ามาในเมืองเป็นครั้งแรกซะด้วยซ้ำอ้ะ!”

 

“……..”

 

ถึงแม้ว่าเวก้าจะได้ยินแบบนั้นแล้วแต่ว่าเขาก็ยังคงหรี่ตาจ้องมองดูพรีมูล่าด้วยแววตาสงสัยจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปขวางกลางระหว่างพรีมูล่ากับเวก้าและพูดขึ้นมาเสียงแข็ง

 

“ฉันกับน้องสาวเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองนี้ไม่ถึงชั่วโมงนึงเลยเพราะงั้นคงจะไม่เคยไปเจอกับขุนนางแบบนายจากที่ไหนมาก่อนหรอกนะ”

 

“อ่า… ขอโทษที่ผมเผลอแสดงท่าทีเสียมารยาทด้วยครับ คือพอดีว่าสีผมกับสีตาแล้วก็พลังวิซที่คุณหนูคนนี้แผ่ออกมามันคล้ายกับของคนที่ผมเคยเจอมาก่อนน่ะครับผมก็เลยรู้สึกสงสัยขึ้นมา… เอาเป็นว่าผมขอตัวก่อนก็แล้วกันครับ…”

 

เวก้าที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองเผลอพูดจาคาดคั้นเด็กสาวไร้เดียงสาคนหนึ่งไปได้รีบเอ่ยปากพูดขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนที่เขาจะเดินจากไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ทางด้านเอริกะที่พอจะรู้จักกับเวก้าอยู่บ้างก็ได้หันกลับมาเลิกคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจเพราะว่าปกติแล้วเวก้าจะไม่ค่อยได้แสดงท่าทีแบบนี้ออกมาสักเท่าไหร่นัก

 

แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็กลับไม่มีโอกาสที่จะได้พูดสอบถามอะไรออกมาเพราะว่าเวก้าได้เดินหายไปตามถนนอย่างรวดเร็วแล้วจนทำให้เธอได้แต่ต้องยันตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนและแกว่งกลอนประตูที่หลุดออกมาจากตัวประตูด้วยท่าทางอารมณ์ดี

 

“สงสัยประตูบานนี้มันจะเก่าเกินไปสักหน่อยแล้วล่ะมั้งมันถึงได้หลุดออกมาทั้งอันแบบนี้น่ะ~ เอาเถอะ~ พวกเราเข้าไปนั่งคุยข้างในกันก่อนดีกว่า~”

 

เอริกะเอ่ยปากพูดออกมาก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปที่ประตูของตัวบ้านที่ทำจากไม้และหยิบพวงกุญแจออกมาไขมันพร้อมกับพูดบ่นออกมาด้วย

 

“อย่างน้อยก็ยังดีที่บานนี้มันไม่พังไปด้วยล่ะนะ~”

 

“จะให้มันพังพร้อมๆ กันหมดก็ไม่ไหวหรอกมั้ง…”

 

“ฮะฮะ… ก็นั่นสินะ~ อ่ะ—”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังหัวเราะออกมากับคำพูดของอารอนอยู่นั้นเธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยเพราะว่าสิ่งที่รอเธออยู่ด้านในบ้านของตัวเองนั้นก็คือซากของสิ่งที่น่าจะเคยเป็นแจกันขนาดใหญ่มาก่อนที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเกลื่อนกลาดอยู่ที่ด้านหลังประตูนั่นเอง

 

“หว๊าย เละไปหมดเลยอ้ะ”

 

ทันใดนั้นเองพรีมูล่าที่เห็นว่าด้านหน้าขบวนได้หยุดชะงักไปอย่างกะทันหันก็ได้ชะโงกหน้าผ่านทุกคนไปดูเบื้องหน้าด้วยความสงสัยก่อนที่เธอจะร้องออกมาอย่างหวาดๆ จนทำให้เอริกะต้องพูดเตือนเธอออกมาก่อน

 

“ปกติแล้วพวกเธอจะต้องถอดรองเท้าก่อนจะเข้าไปข้างในน่ะนะ… แต่ว่าสภาพอย่างงี้จะใส่เข้าไปก่อนก็ได้นะจะได้ไม่เผลอไปเหยียบโดนเศษแจกันเข้าน่ะ ฮึ๊บ—”

 

หลังจากที่เอริกะพูดเตือนทุกๆ คนเสร็จแล้วเธอก็ได้ออกแรงกระโดดข้ามเศษแจกันเข้าไปด้านในตัวบ้านที่ปูด้วยพื้นไม้ขัดเงาและเดินดุ่มๆ หายเข้าไปทางโถงทางเดินด้านซ้ายที่มีประตูอยู่สองสามบานกับบันไดขึ้นชั้นสองที่อยู่ตรงสุดโถงทางเดินก่อนที่เธอจะชะโงกหัวกลับมาพูดฝากงานกับคนอื่นๆ ขึ้นมา

 

“อ่ะ— ถ้ายังไงรบกวนพวกเธอช่วยจัดการซากพวกนั้นให้หน่อยสิ อุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่ที่ห้องข้างๆ บันไดทางฝั่งนี้น่ะ เดี๋ยวขอฉันไปดูที่ออฟฟิศก่อนแป๊บนึงแล้วเดี๋ยวจะรีบไปช่วยจัดการนะ~”

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวให้พรีมูล่าเก็บกวาดไปก็แล้วกัน พวกเราเข้าไปนั่งรอด้านในกันดีกว่า”

 

“เอ๋~!? ทำไมถึงเป็นหนูอ่ะ!?”

 

เสียงพูดของอลิซที่กำลังใช้เท้าเขี่ยเศษแจกันออกไปให้พ้นทางนั้นได้ทำให้พรีมูล่าส่งเสียงร้องโวยวายออกมาเสียงดัง แต่ว่าเมื่อเธอเห็นว่าทุกๆ คนได้เดินตรงไปทางโซฟาที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นตรงส่วนที่ติดอยู่กับประตูกระจกแบบเลื่อนบานใหญ่โดยไม่มีใครสนใจเสียงร้องโวยวายของเธอเลยแม้แต่น้อยพรีมูล่าก็ได้แต่ต้องเดินพองแก้มไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาแต่โดยดี

 

ส่วนทางด้านนากาที่เดินตามอารอนไปที่โซฟาแล้วก็กลับไม่ได้นั่งลงไปและหันไปมองทางด้านหญิงสาวผมสีแดงที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการเปิดประตูอยู่ด้วยความเป็นห่วงปนสงสัยจนทำให้อารอนที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะพูดบอกเขาไป

 

“ถ้านายเป็นห่วงก็ลองเข้าไปถามดูสิยัยนั่นไม่ว่าอะไรหรอก… เดี๋ยวฉันจะช่วยเฝ้าพรีมูล่าให้เอง…”

 

“อื้ม…”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของอารอนได้เดินตรงเข้าไปหาเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะยังเปิดประตูห้องออฟฟิศของเธอได้ไม่สำเร็จสักทีและเอ่ยปากพูดถามเธอขึ้นมา

 

“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ?”

 

“อ่ะ— ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แค่ว่าพอดีฉันติดล็อกห้องนี้เยอะไปหน่อยก็เลยต้องใช้เวลาเปิดนานสักนิดนึงน่ะ… นี่ไง… เปิดเสร็จพอดีเลยเนี่ย เอ่อ…”

 

“ผมนากาครับ ส่วนคนผมสีชมพูนั่นน้องสาวของผมชื่อว่าพรีมูล่า แล้วก็เด็กผู้หญิงผมสีขาวอีกคนนั่นชื่อว่าอลิซครับ”

 

“นากา…? อย่าบอกนะว่าชื่อเต็มๆ ของเธอคือ ‘นากามูระ’ น่ะ?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดแนะนำตัวของนากาได้ชะงักมือของเธอที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานและพูดถามนากาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเหมือนกับว่าเธอหูฝาดไปจนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นต้องรีบพูดบอกเธอกลับไปในทันที

 

“เอ่อ… ชื่อเต็มๆ ของผมคือ นากามูระ อาร์ทิอัส น่ะครับ แต่ถ้ายังไงจะเรียกสั้นๆ ว่านากาเฉยๆ ก็ได้นะครับ”

 

“…….?”

 

คำพูดแนะนำตัวเต็มๆ ของนากาได้ทำให้เอริกะเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองทางด้านอารอนด้วยความประหลาดใจและได้พบว่าอารอนกำลังส่ายหน้าไปมาเบาๆ กลับมาให้เธอ เธอจึงได้หันกลับไปมองหน้านากาและส่งยิ้มให้กับเขาอีกครั้งหนึ่ง

 

“อื้มๆ ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะนากาคุง~ ถ้ายังไงเดี๋ยวเธอไปนั่งรอกับอารอนก่อนก็ได้นะ ขอฉันเข้าไปเก็บของข้างในก่อนแล้วจะ—”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังเอ่ยปากพูดกับนากาอยู่นั้นเธอก็ได้ชะงักไปเมื่อเธอดันประตูห้องออฟฟิศของตัวเองให้เปิดออกและได้พบว่าด้านในห้องของเธอเต็มไปด้วยเอกสารจำนวนมากที่ตกกระจายอยู่เต็มพื้นห้องรวมถึงข้าวของและลิ้นชักต่างๆ ที่ถูกรื้อค้นจนเละเทะ

 

“น—นี่มันอะไรกันเนี่ย—”