“คอยโยนอะไรซักอย่างไปข้างหน้าเธอระหว่างที่เดินไปด้วย ถ้าเกิดไม่มีอะไรไว้โยนจริงๆ ก็ใช้กิ่งไม้ยาวๆ ทิ่มไปข้างหน้าก็ได้”

 

คุณอาบาระโตะเดินนำหน้าพวกเรา แล้วก็คอยโยนนอตไปข้างหน้าอยู่เรื่อยๆ ระหว่างที่เดินกันอยู่ เขามีกระเป๋าเก็บตะปูของพวกช่างไม้ ไม่ก็ของพวกช่างก่อสร้างเหน็บอยู่ข้างเอว แล้วในนั้น เขาบอกว่ามีทั้งนอตทั้งแหวนนอตเก็บเอาไว้เพียบเลย

 

“โลกนี้น่ะ ความตายมันอยู่ทุกฝีก้าว กับดักก็มีอยู่ทุกที่ แต่พวกเรากลับมองไม่เห็นมันเลย”

 

อย่างที่เขาว่าเลย นอตที่คุณอาบาระโตะโยนออกไปหลายอัน มีทั้งไปลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ก็โดนหลอมไปเป็นสินแร่ ทำให้เราได้เห็นกลิตช์ที่ซ่อนอยู่อย่างชัดเจนเลย

ที่ทั้งฉันทั้งโทริโกะไม่ได้ไปเหยียบโดนพวกกลิตช์เลยซักอันนี่ แค่เพราะพวกเราโชคดีมากๆ เลยงั้นเหรอเนี่ย…?

คุณอาบาระโตะมีชื่อที่ตั้งให้กลิตช์แต่ละแบบของเขาเองด้วย อย่าง ‘โหลอัฐิ’ เป็นกลิตช์ที่ดูเหมือนกองวัตถุสีขาวเหมือนเนื้อบด โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินเหมือนรูปทรงกรวย ถ้าเกิดเข้าไปใกล้ๆ ก็จะได้ยินเสียงโลหะเสียดหูคล้ายๆ เสียงสว่านของหมอฟันด้วย ส่วนอันที่ดูเหมือนเครื่องเล่นที่ให้พวกเด็กๆ มาปีนป่ายเล่นกันในสนามเด็กเล่นที่สร้างขึ้นจากเส้นผม หรือ ‘ม่านหมอก’ เนี่ย มันแทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ ขนาดตัวนอตยังทะลุผ่านไปได้เลย คือ ถ้าเกิดไม่ได้เห็นว่ามีขนนกไปติดอยู่ตรงนั้นล่ะก็ พวกเราก็คงเหยียบมันไปแล้วล่ะ

กลิตช์อย่าง ‘โทสเตอร์’ ที่เขารู้ว่ามันทำงานยังไงเนี่ย เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้นเอง สำหรับกลิตช์ส่วนใหญ่นี่ เขาก็รู้แค่ว่า มีอะไรซักอย่างอยู่ตรงนั้น แค่นั้นเลย

 

“ไม่ได้พยายามจะลองหาดูเหรอคะว่าพวกมันทำอะไรได้?”

 

ฉันลองถามดู

 

“ถ้ามันไม่ได้จำเป็นกับการเดินหน้าต่อของฉัน ฉันขอใช้วิธีอ้อมไป เพื่อให้ฉันเดินหน้าต่อให้เร็วๆ ดีกว่า ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อศึกษาเรื่องของโซนซักหน่อย”

 

คุณโคซากุระอาจจะสนใจก็ได้มั้ง สำหรับฉัน เวลามีกลิตช์แบบใหม่ๆ โผล่ออกมา ฉันก็สนใจถึงขนาดอยากจะหยุดสังเกตมันซักหน่อย ก็นะ ต่อให้ไม่มีคำเตือนของคุณอาบาระโตะ กลิตช์แต่ละอันก็แผ่ความอันตรายออกมา ขนาดที่ฉันไม่คิดจะเข้าไปใกล้พวกมันอยู่แล้ว

 

“ไม่ใช่แค่กลิตช์นะ มันยังมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่เพ่นพ่านไปทั่วโซนเลยด้วย บางตัวมันก็เหมือนสัตว์หรือพืชที่เรารู้จักแต่บิดเบี้ยวไป บางตัวนี่ก็น่าขยะแขยงสุดๆ แค่เหลือบไปเห็นพวกมันก็ทำเอาคลื่นไส้แล้ว ถ้าพวกเธอไม่เคยเจอมาเลย ก็โชคดีมากเลยนะ”

“ฮะฮะ…”

 

ฉันยิ้มแห้งๆ ให้เขาไป นี่ถ้าเกิดเขารู้ว่าพวกเรามาที่โลกเบื้องหลังเพื่อล่าคุเนะคุเนะมาก่อนเนี่ย เขาจะมีปฏิกิริยายังไงนะ?

แต่ เรื่องที่ว่ายังมีตัวอื่นๆ ที่อาจจะน่าขยะแขยงยิ่งกว่านั้นอีกก็ทำเอาฉันชะงักไปเหมือนกันนะ บางที ฉันคงต้องฝึกยิงปืนไว้ซักหน่อยจริงๆ ซะแล้วสิ

ตึกร้างที่พวกเรามุ่งหน้าไปก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ผนังคอนกรีตของมันมีแต่ช่องว่างเต็มไปหมด ยังกะว่าโดนปืนสาดมาจนพรุนเลย ชวนให้นึกถึงกอปะการังฟอกขาวเลยแฮะ

แล้วโทริโกะก็ร้องถามคุณอาบาระโตะที่เดินนำหน้าพวกเราอยู่

 

“นี่ ฉันว่าฉันควรจะถามเรื่องนี้กับคุณก่อน แต่ คุณคงได้บังเอิญเจอใครคนอื่นบ้างหรือเปล่าคะ? ผู้หญิง ตัวสูง ผมดำยาว สวมแว่น ตาคม”

 

ลักษณะที่เธอบรรยายนั่น… คือคุณซัทสึกิงั้นสินะ?

 

“ขอโทษด้วยนะ ไม่คุ้นเลย อีกอย่าง การบังเอิญเจอกับคนอื่นในโซนนี่ก็ยากมากอยู่แล้ว แถมเวลาที่ฉันไปเจอเนี่ย ฉันก็พยายามจะไม่เข้าใกล้พวกมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย”

“ทำไมล่ะคะ?”

“เพราะว่า นั่นอาจจะเป็นหนึ่งในพวกมันก็ได้”

 

คุณอาบาระโตะพูดออกมาด้วยเสียงที่กดต่ำลง

 

“พวกมันน่ะอยู่ทุกที่นั่นแหละ คอยจับตาดูพวกเรา ดักฟังโทรศัพท์ของเรา ขโมยจดหมายของเรา คอยเดินตามเราเป็นกลุ่มเพื่อคุกคามไม่หยุด แพร่ข่าวลือแย่ๆ ไปบนอินเตอร์เน็ต การแจ้งความเรื่องของพวกมันก็เปล่าประโยชน์―พวกมันแทรกซึมไปอยู่ในพวกตำรวจด้วยเหมือนกัน”

 

คุณอาบาระโตะยังพูดต่อออกมาอย่างระมัดระวัง

 

“ที่ฝั่งนั้น พวกเธอ 2 คน ยังปลอดภัยดีอยู่ใช่มั้ย? เคยโดนผลักจากข้างหลังที่ชานชะลารถไฟหรือเปล่า? เคยโดนเขียนสัญลักษณ์แปลกๆ ที่ป้ายหน้าประตูมั้ย? พวกมันปลอมตัวเป็นมนุษย์ ซ่อนเร้นตัวเองอยู่ในสังคม ต่อให้จะแฉพวกมันไป ก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี…”

 

เขาพูดต่อไปเรื่อยๆ จนเหมือนเขาจะพูดกับตัวเองแล้ว โทริกะหันกลับมาหาฉัน แล้วพวกเราก็มองตากัน ฉันส่ายหัวให้ บอกเธอว่าฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่

 

“เออ… พวกมันที่ว่าเนี่ย คือใครเหรอคะ?”

“พวกผู้อาศัยในโซนไงเล่า พวกมันแอบเข้าไปในโลกของเรา แล้วก็ลักพาตัวผู้คนไป ลักพาตัวมิจิโกะไปไง!”

 

เสียงของคุณอาบาระโตะกระโชกโฮกฮากด้วยความเกรี้ยวกราดและเกลียดชังเลย

น- นี่มัน…

ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลย

ความหวาดระแวงอย่างไร้ความเกี่ยวข้องกันแบบนี้ ― ถึงฉันจะไม่ได้เรียนมาในด้านจิตเวชก็เถอะ แต่ฉันก็ดูออกอยู่ดี คุณอาบาระโตะ สติไม่ปกติแน่ๆ

เขาเป็นผู้ชายที่มีอารมณ์ไม่มั่นคง แถมยังเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดอย่างเต็มอกเลย แล้วไหนจะเรื่องที่เขามี  AK  อยู่ในมือด้วยอีก

ผ- ผู้ชายคนนี้ ชักไม่ค่อยดีแล้วสิ คือ แย่สุดๆ เลยล่ะ ไม่รู้เลยว่า เขาอาจจะมองพวกเราเป็นพวกมัน เมื่อไหร่ก็ได้เลย ทางที่ดี เราอย่าไปกระตุ้นอารมณ์ของเขาให้มากเกินความจำเป็นไปมากกว่านี้ดีกว่า… นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด แต่โทริโกะก็เปิดปากออกไปซะก่อนแล้ว

 

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงน่ะคะ ว่าพวกเราไม่ใช่ ‘พวกมัน’?”

 

อย่า! อย่าพูดแบบนั้นออกไปซี่!

เหงื่อฉันไหลทะลักออกมาเป็นน้ำตกเลย แต่คำตอบของคุณอาบาระโตะกลับยังใจเย็นอยู่ไม่เปลี่ยน

 

“ตอนแรกที่ฉันเจอพวกเธอ 2 คน ฉันก็ตั้งใจจะซ่อนตัวนั่นแหละ แต่ พอพวกเธอเข้ามาใกล้ พวกเธอก็ดู… เหมือนมนุษย์ ฉันก็เลยเผลอร้องเตือนพวกเธอเอาไว้อย่างอดไม่ได้น่ะสิ”

“พวกเราดูเหมือนมนุษย์?”

“พวกเธอทะเลาะเรื่องอะไรซักอย่างกันอยู่ใช่มั้ยล่ะ? เท่าที่ฉันรู้ พวกมันไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ก็นะ พวกมันไม่มีอารมณ์เหมือนมนุษย์หรอก”

 

รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้แฮะ แสดงว่า เหตุผลที่เราไม่โดนโทสเตอร์ย่างสด ก็เพราะฉันกับโทริโกะกำลังต่อล้อต่อเถียงกันอยู่เหรอเนี่ย

 

“คุณพูดเหมือนกับว่าคุณเคยเจอกับ ‘พวกมัน’ มาก่อนเลย ถูกมั้ยคะ?”

 

คุณอาบาระโตะพยักหน้าให้กับคำถามนั้น

 

“ใช่ ในโซน ฉันเคยเจออะไรที่ดูคล้ายมนุษย์มาหลายครั้งแล้ว ฉันคิดว่า นั่นอาจจะเป็นมิจิโกะก็ได้ หรือต่อให้ไม่ใช่เธอ ก็อาจจะเป็นใครซักคนที่หลงเข้ามาที่นี่ก็ได้ ฉันก็เลยเข้าไปใกล้พวกนั้น แต่ทั้งหมดนั่นน่ะ มันไม่เคยเป็นมนุษย์เลยซักครั้ง มีอยู่ครั้งนึง เจ้านั่นก็รูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่กลับยืนนิ่งเหมือนต้นไม้ ไม่ไหวติง ตัวอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน ยังกับว่ามีใครพยายามปั้นรูปร่างของมนุษย์ขึ้นมาจากดินเหนียว แต่ก็ต้องเลิกปั้นไปก่อนกลางคัน จนกลายเป็นตัวบางอย่างแปลกๆ ทั้งนั้น…”

“แล้วพวกที่อยู่นอกโซนล่ะ?”

“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ที่โลกของเราน่ะ พวกมันจะปลอมตัวเป็นมนุษย์ หัวเราะลับหลังฉัน แต่พอฉันหันกลับไป พวกมันก็ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกมันเหยียบเท้าฉันบนรถไฟ พอจ้องกลับไป มันก็ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นพวกถ้ำมอง พวกมันแอบถ่ายคลิปเอาไว้ แล้วก็อัพขึ้นอินเตอร์เน็ต-…”

 

คำพูดของคุณอาบาระโตะขาดไปกลางคัน เขาหยุดเดิน ก่อนจะย่อตัวลงดูที่พื้น

 

“กลิตช์อันใหม่เหรอ?”

 

โทริโกะถามออกไป

 

“ไม่ใช่…”

 

ถึงเขาจะว่ามายังงั้น แต่เขาก็ไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นมายืน ฉันกับโทริโกะที่เดินตามมาทันเขาก็หันมามองหน้ากัน

 

“ดูสิ รอยเท้านี่ มองออกมั้ย?”

 

ตรงที่คุณอาบาระโตะชี้ไปเนี่ย มันเหมือนกับรอยกดลงไปนิดๆ บนพื้นดิน ฉันเห็นเหมือนหญ้าที่บิดไปถึงราก มันดูเหมือนกับมีใครเอาเสามากดลงไปนะ แต่… รอยเท้าเหรอ?

โทริโกะก็ก้มลงไปดูอยู่ข้างๆ คุณอาบาระโตะ เธอลงไปค้ำตัวเองด้วยมือและเท้าเลยเพื่อจะก้มลงไปดูใกล้ๆ กับพื้น

 

“มุ่งตรงไปทางตึกนั้นสินะ”

 

คุณอาบาระโตะพึมพำออกมา ซึ่งเขาก็หมายถึงตึกร้างที่พวกเรามุ่งหน้าไปอยู่นี่พอดีเลย

 

“นี่ โทริโกะ ดูรอยเท้านั่นแล้ว บอกอะไรเธอได้หรือเปล่า?”

 

ฉันเรียกเธอจากข้างหลัง โทริโกะก็เงยหน้าขึ้นมา

 

“ไม่รู้สิ แต่… อาจจะเป็นซัทสึกิก็ได้ ไปกันเถอะ!”

 

การตอบกลับมาอย่างกระตือรือร้นของเธอทำให้ฉันอึ้งไปเลย ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าร่องรอยคลุมเครือแบบนี้มันจะไปบอกอะไรได้ แต่พอเห็นสีหน้าของโทริโกะแล้ว ฉันก็ทำใจพูดออกไปไม่ได้

 

“อือ เหรอ? หวังว่าจะใช่นะ”

 

คำตอบของฉันมันฟังดูเย็นชากว่าที่ฉันตั้งใจจะพูด จนมันกวนใจฉันเองเลย คุณอาบาระโตะลุกขึ้นยืน ก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง ฉันเหลือบมองที่ตาเขา ก็เห็นประกายในตาของเขาเลย

 

“มิจิโกะ อยู่ที่นั่นเหรอ? รอก่อนนะ ฉันจะไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้…”

 

เขาเดินตรงแหวกหญ้าไป พร้อมๆ กับพึมพำชื่อภรรยาของเขากับตัวเองไปด้วย โทริโกะเองก็ลุกขึ้นยืนเดินตามเขาไปเหมือนกัน

ฉันมองดูพวกเขาจากข้างหลังด้วยความรู้สึกสมเพชบางอย่าง

ฉันรู้ มันไม่ถูกต้องเลยที่จะเอาความหงุดหงิดของฉันไปลงที่เธอน่ะ โทริโกะไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เธอก็แค่อยากจะช่วยเพื่อนคนสำคัญของเธอเองอย่างเอาเป็นเอาตาย มันก็เท่านั้นเอง

ฉันนั่นแหละที่คาดหวังกับเธอเอง แล้วก็เริ่มรู้สึกเหมือนโดนหักหลังไปเอง ― น่าสมเพชชะมัด ทั้งๆ ที่พอจะรู้อยู่แก่ใจ แต่ฉันก็ยังเอาความโกรธไปลงที่โทริโกะแบบไม่มีเหตุผล

ฉันเดินตามหลังทั้ง 2 คนไป พร้อมด้วยความทรมานจากความรู้สึกแปลกแยก กับรู้สึกสมเพชตัวเองอยู่ในอก

 

TN: เพราะ ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ คือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดในโลกแล้วยังไงหล้า~!