“ฉันคิดถึงพ่อกับแม่มากกว่านะ”
อาเซียพูดด้วยวิธีการพูดเจือความออดอ้อน เธอฝึกฝนมาเพื่อไม่ให้สะดุดตาใครมากเกินไปในระยะเวลาสิบปีที่ใช้ชีวิตในฐานะเด็กน้อยคนหนึ่ง
คำพูดของอาเซียทำให้ลิสยิ้มอย่างอ่อนโยน
“คิดถึงท่านพ่อท่านแม่เหรอเพคะ พระราชโอรสยูเลียกับพระชายาอิริน่า… เดี๋ยวก็เสด็จมาเพคะ”
ลิสพูดขึ้นพร้อมกับลูบหัวของอาเซีย
“เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าจะมาพร้อมกันกับองค์หญิงเสียอีก…”
ลิสพึมพำแบบนั้น เสียงของลิสฟังดูแผ่วเบาชอบกล
อาเซียเอียงหัว
หือ พ่อกับแม่บอกว่ามาไม่ได้นี่…
การหลบหนีของยูเลีย ซึ่งไม่เชิงว่าเป็นการหลบหนี จบลงในระยะเวลาอันสั้น แล้วตอนที่อาเซียขึ้นไปบนรถม้าที่มุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวง เหล่าผู้ติดตามก็เชิญให้บิดามารดาของเธอมาด้วยกัน
แต่ยูเลียกับอิริน่ากลับปฏิเสธคำเชิญด้วยใบหน้าที่แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด จากนั้นก็ส่งตัวเธอมายังพระราชวังเพียงคนเดียว
ตอนนี้ก็เข้าใจเหตุผลนั้นอย่างถ่องแท้แล้วล่ะ
ยูเลียตั้งใจว่าจะไม่เหยียบย่างเข้ามาในพระราชวังอีกเป็นอันขาด
ตอนนี้อาเซียรู้แล้วว่าพ่อยึดมั่นแบบนั้นตั้งแต่ตอนที่เธอเกิดมา และหลังจากที่เธอเกิดมาแล้วก็ยิ่งแน่วแน่มากขึ้นไปอีก
“ถ้านอนหลับไปสักสิบคืน เดี๋ยวก็จะได้พบกันเพคะ”
“สิบคืนเหรอ”
“ไม่สิ ไม่ๆ ห้าคืนเพคะ! พ้นคืนนี้ไปก็เท่ากับผ่านไปหนึ่งคืนแล้วเพคะ”
ลิสพูดแบบนั้นพร้อมกับหุบนิ้วลงหนึ่งนิ้วแล้วฉีกยิ้ม หวังเกลี้ยกล่อมเธออย่างสุดความสามารถ
ดูเหมือนเจ้าตัวคงคิดว่ามันเป็นระยะเวลาที่ยาวที่สุดเท่าที่เด็กน้อยจะนึกออก อีกทั้งคงคิดว่าขีดจำกัดที่เด็กคนหนึ่งจะรอคอยได้ก็คือเวลาห้าวัน
อาเซียไม่อาจพูดข้อเท็จจริงว่า ‘ตอนฉันมาที่นี่ก็ใช้เวลาหกคืนแล้วนะ เพราะฉะนั้นต่อให้พ่อกับแม่ฉันออกเดินทางจากบ้านเมื่อวานก็ไม่มีทางมาถึงภายในห้าคืนหรอก’ ออกมาอย่างเปิดเผยต่อหน้าลิสที่พูดแบบนั้น
“องค์หญิงมีดวงวิญญาณที่ทำพันธสัญญาด้วยแล้วใช่ไหมเพคะ ท่านดวงวิญญาณนั้นจะทำให้ได้พบกันนะเพคะ”
“ถึงจะเป็นดวงวิญญาณนกน้อยน่ะเหรอ”
“ยังไงก็มีปีกนี่เพคะ เอาล่ะ ต้องรีบเข้านอน เวลาถึงจะผ่านไปหนึ่งคืนนะเพคะ”
ลิสแย้มยิ้มราวกับเอ็นดูพร้อมกับช่วยห่มผ้าให้ ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายก็คงไม่ตอบว่าเธอจะได้กลับบ้านตอนไหน
“หม่อมฉันมีงาน จึงต้องไปห้องครัวในพระตำหนักใหญ่สักครู่ หากองค์หญิงทรงฝันร้ายหรือต้องการให้หม่อมฉันช่วยเหลืออะไรก็สั่นกระดิ่งนี้ได้เลยนะเพคะ”
ลิสพูดพร้อมกับชี้ไปยังสายเชือกเส้นหนาตรงหัวเตียง นั่นหมายความว่ามหาดเล็กผู้อยู่เวรพระตำหนักไทเมียร์จะมาเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งนั้น หรือใช้มันเรียกลิสมาก็ได้
“ค่ำแล้วแต่ยังทำอาหารอีกเหรอ”
“ไม่ใช่เพคะ”
ลิสส่ายหน้า เจ้าตัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เกลี่ยผมตรงหน้าผากของอาเซียออกไปพร้อมพูดกระซิบ
“พระราชอาณาจักรก่อสงครามกันมาจนถึงตอนนี้เพคะ แต่เห็นว่ายุติลงแล้ว เพราะอย่างนั้นไม่นานจึงจะจัดงานเฉลิมฉลองขึ้น หม่อมฉันตั้งใจว่าจะไปเตรียมการเรื่องนั้นเพคะ”
ลิสอธิบายง่ายๆ ให้เด็กน้อยสามารถทำความเข้าใจได้
“เป็นงานเลี้ยงฉลองแบบยิ่งใหญ่สุดๆ เลยเหรอ”
“แน่นอนสิเพคะ เพราะท่านคาร์โน นอยสแตทเตอร์จะกลับมา”
…เอ๊ะ
หลังจากพูดจบ ลิสก็ลูบแก้มของเธออยู่พักหนึ่งแล้วจึงออกจากห้องไป
ทันทีที่รอบข้างเงียบสงบลง อาเซียก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง เธอไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย
คาร์โน นอยสแตทเตอร์…!
เขาคือตัวปัญหาที่อาเซียลืมไปเสียสนิท
ถ้าพูดถึงเรื่องราวนี้ เธอน่าจะได้เห็นมันกว่าสิบปีมาแล้ว จริงๆ ก็คิดว่าสิ่งที่จำได้มีเพียงเค้าโครงเรื่องกับเนื้อหาสำคัญๆ เท่านั้น
แต่เมื่อนึกออกครั้งหนึ่ง เธอก็นึกเรื่องเกี่ยวกับคาร์โนคนนั้นขึ้นมาได้อย่างแจ่มชัดจนน่าตกใจ
ในต้นฉบับ ตอนที่ ‘องค์หญิงอนาสตาเซีย’ หลงระเริงกับสิ่งรอบกายแล้วเริ่มคุกคามอเล็กเซย์ แน่นอนว่าคนสนิทของอเล็กเซย์ย่อมไม่มององค์หญิงในแง่ดี
ในบรรดาคนสนิทของอเล็กเซย์ คาร์โน นอยสแตทเตอร์คนนั้นเป็นบุคคลผู้ยอดเยี่ยมในหลายๆ ด้าน
เขาเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาหลวงในตระกูลนอยสแตทเตอร์ แต่กลับไปใช้ชีวิตในสนามรบตั้งแต่ก่อนจะบรรลุนิติภาวะ ทั้งยังมอบคุณความดีจากการไปสู้รบให้อเล็กเซย์ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิททั้งหมด
เพราะทั้งคู่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กยังไงล่ะ
ตัวคาร์โนเองก็มีสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์ แต่เขาสละสิทธิ์นั้นตั้งแต่ยังไม่ทันจะบรรลุนิติภาวะแล้วเกื้อหนุนอเล็กเซย์แทน
ทว่าหลานอีกคนของพระจักรพรรดิกลับปรากฏตัวขึ้นแล้วทำตัวขัดแข้งขัดขาในทุกเหตุการณ์ ถ้าอย่างนั้น คิดว่าเขาน่าจะเป็นอย่างไรล่ะ
คาร์โนทำตัวเหมือนจะบดกระดูกองค์หญิงอนาสตาเซียมาสูดกิน
แล้วสุดท้าย เขาก็เริ่มเคลื่อนไหว นำพา ‘องค์หญิงอนาสตาเซีย’ ไปสู่ความพินาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำให้เธอมีสภาพย่อยยับเหมือนรถไฟเหาะตีลังการางขาด เขาคนนั้นคือคาร์โน นอยสแตทเตอร์!
ถ้านำสิ่งที่ตรงข้ามกับความเมตตา ความรัก ความอ่อนโยน และความเผื่อแผ่มาปั้นขึ้นเป็นรูปสลัก บางทีก็น่าจะปั้นขึ้นมาได้เป็นรูปเขา
และคราวนี้ คาร์โน นอยสแตทเตอร์คนนั้นกลับมาจากสนามรบแล้ว
การเตรียมงานเลี้ยงฉลองตั้งแต่ตอนนี้ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องแน่นอนที่ต้องให้เกียรติเหล่าวีรชนจากสงคราม
แต่เหตุผลที่ถึงกับเริ่มลงมือทำงานที่ห้องครัวในพระตำหนักใหญ่ตั้งแต่ตอนนี้ เป็นเพราะมีชนชั้นสูงผู้ครอบครองสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์อยู่ท่ามกลางเหล่าวีรชนจากสงครามนี่เอง
เป็นเพราะคาร์โน นอยสแตทเตอร์คนนั้นกลับมา
โอ๊ย ไม่หรอกน่า จะกลับหรือไม่กลับ ฉันก็จะไม่ไปเจออยู่แล้ว ยังไงอีกไม่นานก็จะได้กลับบ้านแล้วนี่!
เธออยากอบขนม แต่ในพระราชวังแห่งนี้ซึ่งไม่รู้เลยว่าชีวิตจะจบลงแบบไหนและเมื่อไรเนี่ย
แบบนั้นฉันขอปฏิเสธ!
บ้านเธอยากไร้จนแทบกัดก้อนเกลือกิน แต่ถึงอย่างนั้น พอใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ก็คงจะมีสักวันที่เธอหาน้ำตาลกับเนยมาได้
ครั้งนี้พ่อกับแม่ก็อยู่ข้างเธอ เธอจึงต้องมีชีวิตต่อไปเท่านั้น
ถ้าตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนั้น เธอก็ต้องรีบออกไปจากพระราชวังแห่งนี้ให้เร็วที่สุดก่อนสิ่งอื่นใด
สวบสาบ
ในขณะที่คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้พร้อมกับพลิกตัวไปมา อาเซียก็กลั้นหายใจครู่หนึ่งเพราะเสียงที่ได้ได้ยินในระยะใกล้
หูเพี้ยนหรือเปล่านะ
ทว่าไม่นานนัก เธอก็ได้รู้ ว่าเธอไม่ได้ฟังผิด
ขนนกขนหนึ่งบนตัวนกยูงซึ่งถูกวาดเป็นลายผ้าห่มที่เธอกำลังใช้ห่มอยู่ แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองราวลูกเจี๊ยบ
เมื่ออาเซียดันตัวลุกขึ้นพลางเอียงศีรษะ ลายนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสามมิติมากยิ่งขึ้น แล้วนกตัวเหลืองที่เคยเป็นลายผ้ามาก่อนก็ดีด ปุ๋ง ออกมา
“อ๊ะ”
นกตัวนั้นบินวนเหนือศีรษะเธอหนึ่งรอบ จากนั้นก็บินฉิวไปตรงหน้าระเบียงแล้วกระพือปีก
บานหน้าต่างเปิดออกกว้างในรวดเดียว สายลมในฤดูหนาวพัดโหมเข้ามาจากด้านนอก
“ฮะ เฮ้ยยย อะไรน่ะ เธอเป็นดวงวิญญาณไม่ใช่… เดี๋ยวสิ เธอจะไปไหน!”
อาเซียตามเจ้านกมาไกลมากๆ ตอนนี้เธอเริ่มมองรอบข้างด้วยความกังวลเรื่องเส้นทางกลับห้อง
เธอได้ยินเสียงน้ำเดือดเบาบางจากภายในอาคารมืดที่ปูผนังด้วยกระเบื้อง และแสงไฟสลัวก็กำลังส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด
ด้านหนึ่งของผนังมีอุปกรณ์ทำอาหารหลากหลายชนิดถูกแขวนไว้ เมื่อลองเปิดลิ้นชักตู้ออกเล็กน้อยก็ได้เห็นมีดทำครัวถูกวางจัดเรียงตามประเภทเป็นอย่างดี รวมถึงชุดช้อนส้อมหลายชุดด้วย
“ห้องครัวเหรอ…”
ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นครัวในตำหนักนี้
มันสะอาดเกินไปสำหรับครัวในพระราชวัง เมื่อเธอเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวังแล้วมองสำรวจรอบๆ นกที่เธอตามหาก็ร่อนลงบนเคาน์เตอร์ทำครัวตรงหน้า
“เธอ!”
นกตัวน้อยที่พุ่งตัวออกมาจากผ้าห่มคือดวงวิญญาณของเธอ เพราะฉะนั้นสุดท้ายก็จะต้องกลับมาอย่างแน่นอน และเพราะแบบนั้น เธอจึงตั้งใจว่าจะปล่อยไป จะไปที่ไหนก็จะไม่สนใจ
กระนั้น สุดท้ายอาเซียก็ไล่ตามดวงวิญญาณมา เพราะถ้าชุดนอนเธอกลายสภาพเป็นผ้าขี้ริ้ว เธอก็หมดหนทางจะแก้ตัวกับลิส
ทั้งที่ดวงวิญญาณเจ้านกมีหน้าตาเหมือนลูกเจี๊ยบตัวเท่าฝ่ามือแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้แรงเยอะนัก เจ้านกถึงได้จิกชุดนอนของเธอแล้วดึงไปอย่างกับจะฉีกให้ขาด
“เธอ ทีนี้กลับกันได้แล้ว…”
จากที่ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างกับเจ้านกที่ทำให้เธอต้องวิ่งมาจนถึงห้องครัว อาเซียกลับมองดูสิ่งที่เจ้านกคาบมาแล้วดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง
ลูกเจี๊ยบตัวเท่าฝ่ามือเด็กคาบสิ่งที่เหมือนกับก้อนอิฐสีเข้มขนาดเท่าต้นแขนผู้ใหญ่พร้อมกับบินเข้ามาหา ราวกับกำลังแสดงละครสัตว์หายากให้ดูอยู่
เอ๊ะ นี่มันช็อกโกแลต… เจ้านี่ไปเอามาจากไหน
ในระหว่างนั้น นกตัวจิ๋วก็ค้นห้องครัวราวกับค้นบ้านตัวเองแล้วเอาของอย่างอื่นออกมาวางบนเคาน์เตอร์ตามอำเภอใจ
อาเซียไม่สามารถเอาชนะความอยากรู้อยากเห็นได้ เธอเห็นลังไม้สำหรับเสริมความสูงจึงก้าวขึ้นไปยืนบนนั้น แล้วค้นดูสิ่งของที่เจ้านกเอามา
“ช็อกโกแลต เนย ไข่ ขาวๆ อันนี้ก็คือแป้งสาลี… น่าจะแป้งสาลีแหละ อันนี้น้ำตาลเหรอ”
เมื่อเธอใช้นิ้วจิ้มผงสีขาวละเอียดมาลองชิม ความหวานก็แพร่กระจายในปาก
รสหวานชัดแวบผ่านเข้ามาในหัว
มันคือรสหวานนั้น ที่เคยปลิวว่อนในพิธีเรียกดวงวิญญาณเมื่อตอนกลางวันวันนี้
เป็นน้ำตาลคุณภาพดี ซึ่งทำโดยคั้นน้ำจากต้นอ้อยที่ปลูกอย่างพิถีพิถัน นำมาต้ม จากนั้นก็ไล่ความชื้นออก
ประสาทรับรสของฉันละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ
ถ้าไตร่ตรองถึงรสชาติมากกว่านี้อีกหน่อย เธอก็รู้สึกราวกับจะสามารถจำแนกแหล่งผลิตได้เลย
จากนั้น ดวงตาดำขลับของเจ้านกเหลืองกับดวงตาของเธอก็สบมองกัน
อะไรบางอย่างแวบขึ้นมาแบบขาดๆ หายๆ…
‘คิดถึงแม่กับพ่อจัง… ถึงบอกว่าเป็นพระราชวังก็เถอะ แต่ที่นี่มีเพียงหนาวอย่างเดียว… ฉันอยากกลับบ้าน… อยากกินเค้ก…’
“…หรือว่านี่คือวัตถุดิบทำเค้ก?”
เมื่อเจ้านกได้ยินคำพูดนั้นก็พยักหน้าอย่างกระตือรือร้นทันที
ในขณะเดียวกัน อาเซียก็หันขวับๆ มองดูรอบข้าง สองมือของเธอกุมตัวเจ้านกไว้
“บอกให้ฉันทำเค้กที่นี่เหรอ ถ้าถูกจับได้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้นะ!”
เป็นหลานสาวของจักรพรรดิแล้วจะทำอะไรได้
เธอเห็นพระจักรพรรดิคนนั้นปล่อยพลังงานที่เหมือนกับว่าถึงจะโดนแทงก็คงไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยดเดียว ทั้งยังเห็นริมฝีปากแย้มยิ้มกับดวงตาเย็นชาของญาติผู้พี่มาแล้วแบบต่อหน้าต่อตา
การใช้ห้องครัวในพระราชวังของจักรพรรดิคนนั้นตามใจชอบ เป็นเรื่องที่เธอไม่ปรารถนาที่จะทำเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งตนเองยังเป็นองค์หญิงอนาสตาเซีย ผู้ที่จะคิดปองร้ายและควบคุมทุกคนในภายภาคหน้าด้วย
เธอไม่อยากทำเรื่องที่อาจไปสะดุดตาใครเลยสักนิดเดียว
“ดะ เดี๋ยว เจ้านก เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อน! ทำไมต้องร้องไห้ด้วยล่ะ! อย่าร้องไห้! ฉันยังไม่ได้ว่าอะไร…”
แต่คำพูดของอาเซียทำให้เจ้าตัวที่เหมือนกับลูกเจี๊ยบน้ำตาหยดแหมะๆ พร้อมกับร้องเสียงดังจิ๊บๆ
อาเซียมองท่าทางนั้นพร้อมกับโบกไม้โบกมืออย่างลนลาน ในที่สุดเธอจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้น
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากทำขนมสักหน่อย
แม่สอนพวกศิลปะป้องกันตัวให้กับเด็กๆ แถวบ้าน ส่วนพ่อก็วาดรูปหรือคัดลอกหนังสือขายเพื่อหาเงิน
ทว่าเพียงแค่รักษาบ้านหลังเก่าซอมซ่อเอาไว้ก็ใช้เงินจำนวนไม่น้อยแล้ว เธอจึงไม่เคยแม้แต่จะฝันถึงการซื้อน้ำตาลราคาแพงมาเป็นกระสอบ
ถึงแม้ว่ามีปริมาณอาหารที่พอจะกินอิ่มได้สำหรับหนึ่งเดือนแบบหวุดหวิด แต่หากมีเงินเหลือบ้าง พวกเขาก็จะใช้เงินทั้งหมดนั้นไปกับเสื้อผ้าของอาเซียนิดหน่อย หรือไม่ก็เรียกนักดนตรีมา พูดให้ถูกก็คือ เรียกได้ว่าไม่มีแม้แต่จังหวะจะให้มีเงิน
ทว่าต่อให้ครอบครัวเป็นแบบนั้น พ่อกับแม่ก็ยังรอคอยเธออยู่ ความรู้สึกต้องการกลับบ้านคือความรู้สึกจากใจจริงของอาเซีย
แต่ถ้าหากกลับไป การได้อบขนมในอนาคตก็คงจะไม่เกิดขึ้น นี่ก็เป็นข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน
“เข้าใจแล้ว ฉันจะทำ! บอกว่าจะทำไง! โอ๊ย ถ้าบอกว่าทำให้คุณปู่ เขาก็คงจะไม่ว่าอะไรมากหรอกใช่ไหม”
ทันทีที่เจ้านกได้ยินคำพูดนั้น น้ำตามันก็หยุดไหลทันควัน จากนั้นเสียงหัวเราะอันสดใสก็ดังกังวานราวกับเสียงระฆัง
ราวกับว่าเจ้านกฟังภาษาคนรู้เรื่องเลย