บทที่ 7 ตรวจสอบร่างกาย

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 7 ตรวจสอบร่างกาย

บทที่ 7 ตรวจสอบร่างกาย

“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายามที่ออกเดินทางในครั้งนี้ ได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับสำนักฟ้าประทาน จึงใคร่อยากจะสอบถาม”

ข่าวลือ?

ฉีเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง “ไม่ทราบว่าคุณชายหมายถึงข่าวลืออันใด?”

“เล่าลือกันว่าข้าลักพาตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักฟ้าประทานของพวกเจ้า?”

“เฮ้อ ครอบครัวของข้าก็เคร่งครัดเสมอ ตลอดที่ผ่านมาล้วนไม่มีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้น คาดไม่ถึงว่าข่าวลือดังกล่าวจะแพร่กระจายออกไปในวันนี้ ช่างแย่เสียจริง ๆ!”

ลู่หยวนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ผู้อาวุโสฉี ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่?”

ทันทีที่พูดจบ ซวี่รั่วหลิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็พลันตัวแข็งทื่อขึ้นมา

ฉีเฟิงมีอายุมาหลายร้อยปี จะไม่เข้าใจความนัยที่ลู่หยวนกล่าวออกมาได้อย่างไร?

เขาไม่ได้คาดหวังว่าตนเองจะได้พบกับซวี่รั่วหลิงในวันนี้

ในความประทับใจของฉีเฟิงแล้ว ซวี่รั่วหลิงนับเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายและขยันมั่นเพียรมาโดยตลอด ทั้งยังเป็นเด็กดีที่สุดในสำนัก

ยามนั้นเมื่อเขาได้ยินว่านางถูกลักพาตัวไปก็โกรธเป็นอย่างมากเช่นกัน ถึงขั้นจับกระบี่เตรียมตัวออกจากสำนัก ทว่าเมื่อทราบว่าผู้ลงมือเป็นลู่หยวนก็ได้แต่วางกระบี่ลง

อีกฝ่ายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของแดนเหนือ ส่วนเขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ตัวเล็ก ๆ ที่ย่างเข้าระดับเทียมเซียนไปครึ่งก้าว จะสามารถช่วยเหลือนางได้อย่างไร?

เกรงว่าตนจะถูกตัดหัวทิ้งตั้งแต่ก่อนจะได้เหยียบย่างเข้าไปในตระกูลลู่

เขาทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนฝืนทนแล้วกลับไปยังสำนัก

ยามที่เขาพบซวี่รั่วหลิงในวันนี้ ก็ทำได้แต่แสร้งไม่เห็น

ทว่าตอนนี้ลู่หยวนได้เอ่ยปากออกมา เพื่อให้เขาในฐานะผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักฟ้าประทานกล่าวออกมาด้วยตนเอง

กล่าวออกมาว่าตระกูลลู่ไม่ได้ลักพาตัวคนของสำนักฟ้าประทานไป

ตราบเท่าที่เขากล่าวออกมาด้วยตนเอง ก็จะไม่มีซวี่รั่วหลิง ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักฟ้าประทานอีกต่อไป

ความสัมพันธ์ระหว่างซวี่รั่วหลิงและสำนักฟ้าประทานจะสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์

แต่เขาจะสามารถทำสิ่งใดได้?

เขาจะทำสิ่งใดได้ด้วยระดับครึ่งก้าวสู่เทียมเซียม?!

ฉีเฟิงกำหมัดของตนแน่น เขาหลับตาลงราวกับยอมจำนนต่อโชคชะตา “ใช่แล้ว ตามที่คุณชายกล่าว ท่านไม่เคยลักพาตัวผู้ใดไปจากสำนักฟ้าประทาน”

ร่างของซวี่รั่วหลิงสั่นสะท้านจนเกือบจะล้มลง นางคาดไม่ถึงเลยว่าฉีเฟิงจะลบตัวตนของตัวเองในฐานะศิษย์ของสำนักฟ้าประทาน

สำนักที่มาชุมนุม ณ ตระกูลอวิ๋นล้วนกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งแดนเหนือ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั่วทั้งแดนเหนือล้วนรับรู้ว่าซวี่รั่วหลิงไม่ใช่ศิษย์ของสำนักฟ้าประทานอีกต่อไป

บ้านหลังเดียวของนาง ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

บนโลกากว้างใหญ่ ไม่มีที่ให้นางกลับไปพักพิงแล้ว

ตอนนั้นเอง ระบบแจ้งเตือนว่าอารมณ์ของซวี่รั่วหลิงเกิดการเปลี่ยนแปลง ค่าโชคชะตาวายร้ายของผู้ใช้เพิ่มขึ้น 400 แต้ม!

ตอนนี้จำนวนค่าโชคชะตาในปัจจุบันคือ 1100 แต้ม!

ลู่หยวนลอบดีใจ คาดไม่ถึงว่าเพียงแค่เล่นลิ้นก็ได้รับค่าโชคชะตาเพิ่มขึ้นมา!

หลังจากปล่อยฉีเฟิงและหมัวเทียนไป ลู่หยวนก็สั่งให้คนมอบยาให้กับอวิ๋นหลิง หลังจากที่อาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายทุเลาลงจากการกินยาแล้ว เขาก็รีบพาเหล่าคนจากตระกูลลู่ไปยังบ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อพักผ่อน

แม้ว่าจะไม่สามารถเปิดการชุมนุมได้ ทว่าซากมังกรสถิตยังคงจะเปิดขึ้นอีกในสามวันข้างหน้า

ยามราตรี เฉาหงมายังห้องของลู่หยวนแล้วประสานมือคารวะ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ข้าน้อยไร้ซึ่งความสามารถ ไม่อาจตรวจสอบได้ว่าสถานการณ์ในซากมังกรสถิตเป็นเช่นไร คุณชายโปรดลงโทษด้วย!”

ลู่หยวนโบกมือ “ซากมังกรสถิตถูกทิ้งร้างมานับพันปี มีไม่กี่คนที่เคยเห็น ไม่แปลกที่จะไม่รู้”

ครั้งนี้ที่ลู่หยวนออกมาด้วยตนเอง ไม่ใช่เพื่อแสวงหาโชคในซากมังกรสถิต

ลู่หยวนนั้นมีสังขารเป็นสายเลือดมาร แม้จะทำให้การฝึกฝนรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วกว่าคนอื่นนับสิบเท่า ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่จำกัดเขาเอาไว้เช่นเดียวกัน

ด้วยระดับสายเลือดในปัจจุบันของเขาแล้ว ขีดจำกัดสูงสุดที่เขาจะฝึกฝนได้คือขั้นเทียมเซียน หลังจากนั้นก็จะไม่อาจก้าวหน้าต่อไปได้ เขาหยุดอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสมบูรณ์มาเกือบหนึ่งปีแล้ว หากไม่สามารถหาแก่นโลหิตมารรมาได้ พลังของเขาก็จะหยุดอยู่เพียงขั้นนี้

สายเลือดมารนับเป็นสิ่งต้องห้ามในแผ่นดินหยวนหง มีเพียงไม่กี่คนที่รับรู้เกี่ยวกับสายเลือดของลู่หยวน

ครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในซากมังกรสถิต ลู่เทียนเหอจึงให้ลู่หยวนนำคนมายังที่แห่งนี้ เพื่อดูว่ามีแก่นโลหิตมารปรากฏขึ้นหรือไม่

ทว่าสำรวจตอนนี้ไปก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ตรวจจับได้คืออะไร เห็นทีมีแต่ต้องเข้าไปดู จึงจะรู้ว่ามีแก่นโลหิตมารหรือไม่

ลู่หยวนโบกมือให้เฉาหงออกไปได้ ก่อนจะเดินไปหาซวี่รั่วหลิง

ห่างออกไปในป่าหลายพันลี้ ฉีเฟิงกำลังมีสีหน้าโกรธจัด “เจ้าเด็กนี่ ไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดหรือ? เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถไปยั่วยุลู่หยวนได้รึ?!”

หมัวเทียนเปิดปากเถียงกลับ “เจ้าลู่หยวนนั่นอยู่เพียงแค่ขั้นราชันยุทธ์ระดับสมบูรณ์เท่านั้น ทว่าท่านอยู่ระดับครึ่งก้าวสู่เทียมเซียน เพียงแค่ท่านต้องการก็ย่อมสามารถช่วยเหลือศิษย์พี่หญิงได้ แต่ท่านกลับขี้ขลาดเยี่ยงมุสิก ไม่กล้าล่วงเกินตำหนักธารสุญญะ!”

“ท่านก็เพียงแค่เห็นแก่ตัว เป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักฟ้าประทาน แต่กลับไม่สามารถปกป้องศิษย์ของสำนักตนเองได้!”

“แล้วเจ้ารู้อะไรบ้าง?” ฉีเฟิงเองก็อารมณ์เสียเช่นกัน “เจ้าคิดว่าข้าไม่ต้องการช่วยนางหรือ? ข้างกายของลู่หยวนมียอดฝีมือคอยปกป้องอยู่ หากข้าทำเช่นนั้นจริง พวกเราคงจะต้องตายกันหมด!”

หมัวเทียนไม่เชื่อ ตั้งท่าจะเถียงกลับ หากตอนนั้นเองก็มีเสียงกร้านโลกของชายชราผู้หนึ่งดังขึ้นมาในหู “เสี่ยวเทียน สิ่งที่ฉีเฟิงพูดออกมาล้วนเป็นความจริง ข้างกายของลู่หยวนมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทียมเซียนคอยปกป้องอยู่”

เสียงนี้เป็นของวิญญาณที่อยู่กับหมัวเทียน นามว่าเหยียนโจว

หมัวเทียนรีบถามกลับขึ้นมาในใจ “อาจารย์ ก่อนหน้านี้ข้าเรียกหาท่าน ทำไมท่านถึงไม่ตอบรับข้า?”

เหยียนโจวอธิบาย “ข้างกายของลู่หยวนมียอดฝีมืออยู่ ปราณอันมหาศาลของผู้นั้นขังข้าเอาไว้ แม้ข้าต้องการจะเคลื่อนไหวก็ถูกยับยั้งเอาไว้ด้วยปราณนั้น”

คนฟังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “อาจารย์ ถ้าผู้อาวุโสฉีไม่ได้มาที่นี่ เกรงว่าวันนี้ข้าคงจะต้องตายใต้กระบี่เมฆาจริง ๆ”

“ไม่ต้องกังวลไป ลู่หยวนไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเจ้า เขาสามารถสังหารเจ้าโดยการลงกระบี่เพียงครั้งเดียว ไม่ปล่อยให้ฉีเฟิงนำตัวเจ้าออกมาได้หรอก”

แต่ถึงแม้เหยียนโจวจะรู้ว่าลู่หยวนไม่ต้องการจะสังหารหมัวเทียน ทว่าก็ไม่เข้าใจความคิดของเขาเช่นกัน

อย่างไรเสียก็เป็นหมัวเทียนที่ก่นด่าลู่หยวนให้เสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย ลู่หยวนกลับทำเพียงสั่งสอนเขาและให้สำนักฟ้าประทานมอบของออกมาก่อนจะปล่อยคนไป ดูแล้วไม่เหมือนกับลูกหลานตระกูลใหญ่

คิดไปคิดมาแล้ว เหยียนโจวก็ได้แต่ส่ายหัว

ถึงเรื่องราวในวันนี้จะเป็นเช่นนี้ แต่ในวันข้างหน้า ด้วยพรสวรรค์ของเสี่ยวเทียน เขาจะกลายเป็นผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก เมื่อถึงเวลานั้นบุตรชายศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวก

เมื่อฉีเฟิงเห็นหมัวเทียนไม่เคลื่อนไหวอะไร ก็คิดว่าอีกฝ่ายรับฟังคำพูดของตนแล้ว จึงปล่อยหมัวเทียนลงจากบ่าแล้วกล่าวออกมา “ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว ก็กลับไปสำนักฟ้าประทานเสียเถอะ”

หมัวเทียนลุกขึ้นยืน ในตอนนี้เขาสงบลงแล้ว ทั้งยังเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่ตนกล่าวกับฉีเฟิงเมื่อครู่โง่เขลาเพียงใด

เขาประสานมือคำนับฉีเฟิงยอมรับความผิดของตน “เมื่อครู่ข้าเสียมารยาทแล้ว หวังว่าอาจารย์จะให้อภัย”

อีกฝ่ายพยักหน้า “ไม่เป็นไร ส่วนซากมังกรสถิตเจ้าคงไปไม่ได้แล้ว แต่ในวันหน้ายังคงมีโอกาสให้แสวงโชค ตอนนี้เจ้าควรจะกลับไปแล้วฝึกฝนให้ดี ข้าได้แจ้งประมุขให้ส่งคนมาแทนตำแหน่งของเจ้าแล้ว”

หลังจากนั้นฉีเฟิงก็เอ่ยออกมาด้วยความหนักแน่น “อาจารย์รู้ว่าเจ้าปักใจรักสาวน้อยหลิงเอ๋อร์ แต่หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล หากเจ้ามีใจจริงก็จงรีบฝึกฝนโดยไวที่สุด จะได้รีบช่วยนางออกมา”

หมัวเทียนตอบรับ

ฉีเฟิงโบกมือให้อีกฝ่าย “ไปเถอะ”

หมัวเทียนหันหลังแล้วจากไป

ฉีเฟิงวาดมือออก กระบี่ยาวปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เขากระโจนขึ้นเหยียบกระบี่ด้วยฝีเท้าแผ่วเบาก่อนทะยานขึ้นไปบนนภา

เมื่อวานฉีเฟิงได้ข่าวมาว่ามีซากสมรภูมิโบราณปรากฏขึ้น เดิมทีเขาต้องการจะไปแสวงหาโชคลาภ แต่ติดที่สัญญาณกับประมุขสำนักไว้ว่าจะปกป้องหมัวเทียน ทว่าตอนนี้หมัวเทียนก็ไปแล้ว เขาจึงจะฉวยโอกาสไปดูเสียหน่อย

ฉีเฟิงขี่กระบี่เหาะเหิน เสียงลมดังก้องหู ก่อนจะพลันนึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดินขึ้นมา

แดนเหนือปรากฏซากมังกรสถิต ข่าวซากสมรภูมิโบราณก็มาจากเขาบูรพา แถมทะเลใต้ก็แววเสียงมาว่ามีศาสตราศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นมา

เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันได้อย่างไร?

หรือจะมีเรื่องยิ่งใหญ่อะไรบางอย่างเกิดขึ้น?

แต่บางที อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

ฉีเฟิงระงับความสงสัยลงก่อนจะเดินทางต่อไป

หลังจากนั้นเพียงหนึ่งก้านธูป หมัวเทียนที่จากไปแล้วก็กลับมาพร้อมชุดคลุมสีดำ

หมัวเทียนเลียปากตัวเองก่อนจะกล่าวออกมา “อาจารย์ ในซากมังกรสถิตจะต้องมีสิ่งที่แข็งแกร่งมากอยู่ใช่หรือไม่?”

“แน่นอน ตระกูลลู่ดูจะให้ความสำคัญมาก ดังนั้นจะต้องมีของดีอยู่แน่ ตราบใดที่เจ้าทำตามที่อาจารย์บอก แม้อีกฝ่ายจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทียมเซียน เจ้าก็สามารถได้รับส่วนแบ่งมาอย่างแน่นอน!”

“เยี่ยม!”

หมัวเทียนเดินออกไปยังทิศทางของซากมังกรสถิต

ด้านลู่หยวนซึ่งยังอยู่ในบ้านตระกูลอวิ๋นเดินตามคนรับใช้ไปยังห้องของซวี่รั่วหลิง เขายืนอยู่ด้านนอกประตูก่อนตะโกนเข้าไป “ซวี่รั่วหลิง เจ้าหลับหรือยัง? เปิดประตูเร็ว”

หลังจากรออยู่สักครู่หนึ่งก็ยังไร้การเคลื่อนไหว ลู่หยวนจึงจะพังประตูเข้าไป แต่ก็มีเสียงเอี๊ยดดังขึ้นมาก่อนพร้อมประตูที่เปิดออก

ซวี่รั่วหลิงก้าวหลบไปข้างประตู ดวงตาหลุบลง ขอบตายังคงเป็นสีแดงระเรื่อ เห็นได้ชัดว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา

ลู่หยวนเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงอย่างไร้ความเกรงใจ แล้วถามออกมา “เรื่องในวันนี้ทำเจ้าร้องไห้หรือ?”

ซวี่รั่วหลิงส่ายศีรษะ พูดออกมาด้วยความดื้อดึง “ไม่”

ทว่าเสียงที่นางเปล่งออกมานั้นแหบแห้ง ฟ้องตัวเองว่าเมื่อครู่เพิ่งร้องไห้ไปเสียแล้ว

ลู่หยวนคร้านเกินกว่าจะซักต่อ จึงกวักมือเรียก “มาตรงนี้”

นางเม้มริมฝีปาก ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโจรลักพาตัว

ชายหนุ่มแบมือใหญ่ออก ก่อนจะจับแขนของซวี่รั่วหลิง และค่อย ๆ ดึงร่างนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของตน

อีกฝ่ายหน้าซีดด้วยความตกใจ และต้องการจะดิ้นออก ทว่ากลับถูกชายหนุ่มจับไว้อย่างแน่นหนา

เมื่อมีสตรีงามอยู่ในอ้อมแขนพร้อมกลิ่นหอมจาง ๆ ก็สามารถทำให้ลู่หยวนรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นมาในหูของเขา ลู่หยวนก็สงบลงก่อนกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง “อย่าขยับ ข้าเพียงแค่ต้องการจะตรวจสอบร่างกายของเจ้า”

ซวี่รั่วหลิงที่ใบหน้าแดงก่ำเห็นว่าลู่หยวนไม่เคลื่อนไหวต่อก็หยุดดิ้น