ตอนที่ 11 ตะเกียบแลกกับปิ่นเงิน (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 11 ตะเกียบแลกกับปิ่นเงิน (1)

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคาดว่าภัตตาคารแห่งนี้คงจะต้องปิดกิจการลง อีกทั้งตำแหน่งของเขาก็ไม่จะอาจรักษาเอาไว้ได้เช่นกัน

เขาเคยเอ่ยถามเจ้านายว่าจะให้จัดหานางบำเรอมานั่งในภัตตาคารดีหรือไม่ แต่กลับถูกเจ้านายด่าตะเพิดกลับมา

แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้โกรธเจ้านายเพราะเขาเข้าใจในเหตุผลนั้นดี เจ้านายของเขาเป็นถึงทายาทสายตรงของตระกูลซูซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่อันมีชื่อเสียง สิ่งที่น่าอับอายเช่นนั้นจะให้นำเข้ามาในภัตตาคารได้อย่างไร

เถ้าแก่หลี่ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดใจ เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวตอบ “เจ้าเป็นเพียงสตรีจะเข้าใจเรื่องการค้าได้อย่างไร ข้าไม่อยากจะโต้เถียงกับเจ้าหรอกนะ รีบไสหัวไปเสีย ไม่เช่นนั้น…”

“เรื่องการค้านั้นบางทีข้าอาจยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ข้าเข้าใจหลักการที่ว่าหากเปลี่ยนแปลงก็จะสำเร็จ เมื่อสำเร็จก็จะบรรลุเป้าหมาย หากไม่ก้าวหน้าก็ต้องล้าหลัง หากมัวแต่ยึดมั่นในหลักเกณฑ์ก็จะไม่เกิดสิ่งใหม่ ได้แต่รอวันพินาศ ที่ภัตตาคารอิ๋งเค่อเซวียนนั้นมีคนงามมาบริการ ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีของพวกท่านอาจสร้างเวทีแสดงขึ้นมาพร้อมกับจัดหานักเล่าเรื่องเพื่อมาเล่าเรื่องหรือแสดงตลก เมื่อนั้นจึงจะสามารถทำการตัดสินได้ว่าผู้ใดมีความสามารถที่สุด” มั่วเชียนเสวี่ยพลางกล่าวตรงไปตรงมา

จะว่าไปแล้ว โลกใบนี้ยังมีประวัติศาสตร์ไม่ยาวนาน ทั้งอาชีพนักเล่าเรื่องยังไม่มีปรากฏขึ้นด้วย ดังนั้นนางจึงได้โอกาสใช้ประโยชน์จากส่วนนี้

“คำพูดพิลึกนัก ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดสิ่งใด ทั้งเรื่องการก่อสร้างเวทีอะไรนั่นหรือนักเล่าเรื่องคือสิ่งใด แล้วที่ว่าจะแสดงนั้นเกี่ยวกับอะไรกัน”

ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ จู่ๆ เกิดเสียงดังกังวานขึ้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ประตูซึ่งถูกเถ้าแก่หลี่ปิดจากด้านในไปแล้วแต่บัดนี้ดันถูกเปิดออก ด้านหน้าประตูปรากฏร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินย่างกรายออกมา

พัดเล็กในมือกวัดแกว่งอย่างช้าๆ มวยผมประดับด้วยหยก ชุดสีขาวนวลดุจดวงจันทร์ถูกตกแต่งด้วยลวดลายทึบรอบๆ บริเวณเอวถูกคาดด้วยเข็มขัดสีขาวพร้อมทั้งจี้หยกที่เปล่งแสงประกายออกมา ยิ่งเสริมแต่งให้เขาดูสูงส่งบ่งบอกถึงยศศักดิ์ที่ไม่ใช่คนสามัญชนทั่วไป

ระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น เขาได้แฝงตัวเข้ามาก่อนแล้ว โดยยืนซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ข้างนอก

“คุณชายเจ็ด ท่านมาได้อย่างไรขอรับ แม่สาวชาวบ้านผู้นี้เพียงกล่าววาจาไร้สาระเท่านั้น…” เถ้าแก่หลี่รีบปรี่เข้าไปคารวะผู้มาใหม่พร้อมกับเอ่ยทักทาย คุณชายเจ็ดพับพัดลงแล้วยื่นออกมาขัดหวังให้เขาหยุด

หลังจากถูกชายตรงหน้าขวางเอาไว้ เถ้าแก่หลี่จำต้องกลืนคำพูดมากมายเหล่านั้นลงไปในคอ เขาถอยออกไปก้าวหนึ่งพลางก้มหน้าก้มตาลงโดยไม่กล้าเอ่ยวาจาใดๆ

ในที่สุดผู้ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้ก็ปรากฏตัวออกมาเสียที!

มั่วเชียนเสวี่ยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางทำความเคารพอย่างเรียบง่าย

อาซ้อฟางตะลึงงัน นางไม่เคยพบเห็นชายหนุ่มที่สะอาดสะอ้านและสวมเครื่องแต่งกายงดงามหรูหราเช่นนี้มาก่อน

บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งที่เดินตามหลังเมื่อเห็นว่านางมองคุณชายของตนอย่างไร้มารยาท จึงได้ตะคอกขึ้น “ยังไม่รีบคารวะคุณชายเจ็ดอีกหรือ!”

อาซ้อฟางพลันได้สติกลับคืนมา ใบหน้าแดงระเรื่อก่อนจะละสายตากลับไปพร้อมกับทำการคารวะอย่างรีบร้อนโดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา ดวงตาเพียงจ้องลงไปที่สองเท้าอย่างประหม่า

มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหน้า แม้ว่าอาซ้อฟางเป็นผู้มีจิตใจงดงามนักแต่กลับไม่เคยออกมาเจอโลกภายนอกมาก่อน

การแต่งกายและเครื่องประดับของคุณชายท่านนี้ดูหรูหราก็จริง แต่เรื่องความสง่างามและบุคลิกนับว่าห่างไกลกับหนิงเซ่าชิงหลายเท่า

แม้หนิงเซ่าชิงใช้เพียงผ้าผูกผมและสวมชุดอาภรณ์สีเทาที่ทำมาจากผ้าหยาบ แต่ก็ไม่อาจปกปิดความสูงส่งที่แผ่ออกมาจากร่างเขาได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งในยามนั่งอ่านหนังสือเพียงลำพัง ริมฝีปากของเขาก็ยังคงรอยยิ้มจางๆ ที่ให้ความรู้สึกดุจดั่งจันทรานวลผ่องลอยล่องออกมาจากกลีบเมฆหรือลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านทะเลทรายอย่างไรอย่างนั้น ช่างเป็นความงดงามลึกซึ้งที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทั้งผู้คนเหล่านี้ก็คงไม่อาจเข้าใจถึงความงามนั้นได้

“ข้าน้อยขอคารวะคุณชายเจ็ดเจ้าค่ะ!”

มั่วเชียนเสวี่ยทำความเคารพแล้วเงยหน้าตอบกลับคำพูดของเถ้าแก่หลี่ “นักเล่าเรื่องนั้น แน่นอนว่าเป็นการเล่าเรื่องราวบางอย่างออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดแต่ให้ข้อคิดต่างๆ ส่วนตลกนั้นก็คือการกล่าวถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันทั่วไป ใช้เพียงเรื่องขำขันเพื่อสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงเรียกเสียงหัวเราะจากลูกค้าเท่านั้น การที่พวกเขาเดินทางมารับประทานอาหารและดื่มสุรา ล้วนแล้วแต่เพื่อความสุขสำราญไม่ใช่หรือ”

“แม่นางกล่าวได้ถูกต้องทีเดียว พวกเขาเพียงต้องการความสนุกสนานเช่นนั้นสินะ” ข้อเท็จจริงแสนธรรมดาแต่เมื่อถูกกล่าวออกมาจากปากของหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาที่ห้าวหาญ จึงได้ดูตลกเสียจนคุณชายเจ็ดอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

หลังจากพอใจแล้วเขาก็หุบยิ้มลง ในใจพลันรู้สึกคาดหวังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแต่ทำได้เพียงพยายามเก็บสีหน้าเอาไว้พลางกล่าวต่อ “เรื่องแปลกประหลาดเหล่านั้นช่างมันเถิด ข้าช่างสนใจสิ่งที่เจ้าเรียกว่า ‘เรื่องตลก’ เมื่อครู่เหลือเกิน หากแม่นางสามารถทำให้ข้าหัวเราะได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าลองดูสักครั้ง”

“ตกลง คำไหนคำนั้นนะเจ้าคะ!”

เมื่อเห็นว่าเขาค่อนข้างร่าเริงมีชีวิตชีวาแต่กลับตั้งใจวางท่าเป็นผู้ใหญ่ มั่วเชียนเสวี่ยจึงตอบรับอย่างเย้าแหย่

ตามปกติแล้วบนโต๊ะอาหาร สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเรื่องตลก เพียงแค่หยิบยกเรื่องง่ายๆ ออกมาก็สามารถทำให้เขาขำเสียจนปัสสาวะเล็ดได้

เมื่อเห็นรอยยิ้มอันเจิดจ้าของหญิงสาวตรงหน้า คุณชายเจ็ดตกตะลึงในทันใด!

แม่นางผู้อยู่เบื้องหน้านี้มีดวงตาแวววาวและรอยยิ้มอันจริงใจ ดูน่าสนใจกว่าสตรีในเมืองหลวงที่มีรอยยิ้มเสแสร้งเหล่านั้นมากนัก

เวลานี้หัวใจของเขาสั่นไหว จู่ๆ ก็เกิดรู้สึกนึกสนุกขึ้นมา เขาจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้าพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ!”

รอยยิ้มเช่นนี้ ประโยคเหล่านั้น ทำให้ผู้ติดตามชุดเขียวที่อยู่ด้านหลังต่างประหลาดใจไปตามๆ กัน

คุณชายของเขาถูกทำของใส่หรือ

ก่อนหน้านี้ ยามสนทนากับคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ไม่เคยเกินสามประโยค อีกทั้งมักทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นปมเสียอยู่แล้ว กลับกันกับแม่สาวชาวบ้านผู้นี้เหตุใดจึงแสดงท่าทางมีชีวิตชีวาได้ถึงเพียงนี้

“เพียงแต่ข้าจะจ่ายเงินแก่เจ้าหรือไม่นั้น คงต้องขอดูว่าอาหารที่ทำออกมาเป็นเช่นไร”

“เรื่องนั้นคุณชายไม่ต้องกังวล”

มั่วเชียนเสวี่ยกระแอมออกมาหนึ่งทีเพื่อเพิ่มความไหลลื่นในลำคอ ก่อนจะนึกเรื่องตลกขึ้นมาได้สองเรื่อง

“มีหอยทากตัวหนึ่งขี่อยู่บนหลังเต่า เมื่อเดินมาถึงครึ่งทางมันก็พบเข้ากับมด ดังนั้นจึงได้เชื้อเชิญมดให้ปีนขึ้นไปนั่งบนหลังเต่าด้วยกัน เมื่อมดปีนขึ้นมานั่งได้ไม่ทันไร หอยทากก็กล่าวกับมดว่า ‘เจ้าจงจับไว้ให้ดี เขาเคลื่อนที่เร็วยิ่งนัก หากไม่ระวังแล้วตกลงไปคงแย่แน่!’”

เมื่อเล่าเรื่องแรกจบลง มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้ยินเสียงอื้ออึงของเขาที่พยายามอดทนอดกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมา แต่นางก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้กลับเล่าเรื่องตลกเรื่องที่สองต่อ

“มีมดตัวหนึ่งกำลังนั่งอาบแดด จู่ๆ มันก็มองเห็นม้าตัวโตเดินมาทางมันอย่างช้าๆ มันจึงเหยียดตัวตรงแล้วยืดขาออกไป กระต่ายที่อยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามว่า ‘เจ้าทำสิ่งใดกัน’ มดจึงตอบกลับว่า ‘จุ๊ๆ…เบาๆ หน่อย ข้าจะทำให้ม้านั่นสะดุดข้าให้ดู’”

เมื่อเห็นว่าทุกคนพากันขำออกมาอย่างสนุกสนาน ริมฝีปากของมั่วเชียนเสวี่ยจึงเผยอยิ้มกว้าง

พวกเขาช่างเส้นตื้นเอาเสียจริง

หากนางนำเรื่องตลกทั้งหมดที่ตามปกติแล้วเล่าสู่กันฟังในวงสุรามาเล่าแล้วล่ะก็ พวกเขาจะไม่หัวเราะเสียจนคอแตกเลยหรือ

…….

ณ ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวี ในห้องครัวเล็กๆ เสี่ยวฉีจื่อที่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบพลางบ่นออกมา

“แม่นาง นี่คือวัตถุดิบที่เจ้าต้องการ ทุกอย่างอยู่ในนี้ครบถ้วนแล้ว พวกเจ้าจงตั้งใจและพิถีพิถันสักหน่อย เนื่องจากวัตถุดิบเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศทั้งนั้น”

แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะรู้สึกรำคาญใจ แต่มุมปากยังคงยิ้มตอบรับพร้อมกับกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงคิดหาวิธีไล่สิ่งน่ารำคาญนี่ไปเสียให้เร็วที่สุด

ไม่นาน มั่วเชียนเสวี่ยที่ได้รับการช่วยเหลือจากอาซ้อฟางก็ได้ปรุงอาหารออกมาทั้งสิ้นห้าอย่างจนเสร็จสิ้น ทั้งหมดประกอบไปด้วย ฮือก๊วย หมูสับนึ่ง รากบัวยัดไส้ทอดกรอบ น้ำแกงมงคลและต้มจืดลูกชิ้นปลา

ในยุคที่ยังไม่พัฒนาเช่นนี้ ทำให้การเลี้ยงปศุสัตว์ยังคงไม่ได้แพร่หลาย ดังนั้นส่วนมากอาหารที่พ่อครัวปรุงออกมาล้วนเป็นอาหารประเภทผักเสียมากกว่า อีกทั้งวิธีการปรุงวัตถุดิบยังจำเจ ไม่มีแม้แต่ลูกชิ้นเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ด้วยสถานการณ์ที่คับขัน มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้เลือกปรุงอาหารทั้งห้าอย่างนี้ขึ้นมา ซึ่งมีวิธีขั้นตอนในการทำที่ค่อนข้างง่าย น่ารับประทานและมีรสเลิศ

เรื่องรสชาติดีนั้นก็นับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือสีสันหน้าตาของอาหารต้องดูน่ารับประทาน มั่วเชียนเสวี่ยก้มตัวลงจัดแจงอาหารใส่จานอย่างประณีต ด้านอาซ้อฟางที่มองอยู่ก็พลางตกตะลึง อย่าว่าแต่ได้ลิ้มลอง ชีวิตนางไม่เคยเห็นอาหารที่น่ารับประทานเช่นนี้มาก่อนเลย

“หนิงเหนียงจื่อ น้องช่างมีฝีมือนัก! อาหารเหล่านี้ดูน่ากินเหลือเกิน ราวกับภาพวาดศิลปะเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังหอมกรุ่นเหลือหลาย เพียงได้กลิ่นก็กลืนน้ำลายแทบนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”

แน่นอนว่าระหว่างการปรุงอาหารนั้นอาซ้อฟางก็เข้าไปช่วยด้วย แต่ก็เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ เช่น หั่นผัก หั่นปลา อะไรทำนองนั้น หากจะให้นางลงมือทำอาหารเหล่านี้ออกมาเองจริงๆ คงยากเกินไปเสียหน่อย