บทที่ 7 เซียนซีเสวียน ระดับความประทับใจเพิ่มทวี

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 7 เซียนซีเสวียน ระดับความประทับใจเพิ่มทวี
หอผู้อาวุโส

หานเจวี๋ยได้พบกับผู้อาวุโสใหญ่แล้ว

ผู้อาวุโสใหญ่มีรูปร่างอ้วนท้วน ดูคล้ายพระสังกัจจายน์มาก ใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตายิ้มจนกลายเป็นรอยแยกโค้งๆ สองเส้น

เขาสังเกตหานเจวี๋ยและพูดด้วยความพอใจ “บุคลิกลักษณะไม่เลว ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์สายในเลย ทั้งยังจะไล่ทันศิษย์อัจฉริยะแล้ว”

ชุดคลุมของสำนักหยกพิสุทธิ์มีพื้นหลังสีขาวลายสีเขียว หานเจวี๋ยใส่เข้าไปแล้วมีเสน่ห์อย่างถึงที่สุด ดูไม่เหมือนมาจากฐานะข้ารับใช้แม้แต่น้อย

ระหว่างทางที่มาก็มีสตรีผู้บำเพ็ญหลายคนแอบมองเขา

“ศิษย์ไม่อาจเทียบกับศิษย์อัจฉริยะได้หรอกขอรับ” หานเจวี๋ยกล่าวอย่างถ่อมตน

ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะ พูดว่า “ไปกันเถอะ ไปสำนักฝ่ายในกับข้า หากอยากเข้าสำนักฝ่ายใน เจ้าจำเป็นต้องกราบอาจารย์ก่อน สำนักฝ่ายในมีสิบแปดยอดเขา มีผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาสิบแปดท่าน ถ้ามีคนสนใจเจ้า เจ้าก็จะได้เป็นศิษย์สายในเลย หากไม่มี ก็ได้แต่เข้าร่วมการประลองเล็กของสำนัก มุ่งมั่นสร้างฐานโดยเร็ว”

“ศิษย์เข้าใจแล้ว”

จากนั้นทั้งสองก็ไปจากหอผู้อาวุโส

ชายชราที่อยู่หน้าโต๊ะรับรองแขกทำเสียงจุปาก กล่าวด้วยความประหลาดใจ “พลังวิญญาณอัคคีของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ดูท่าครึ่งปีมานี้คงฝึกฝนอย่างหนัก”

หยางหลัวยิ้มเอ่ยว่า “นั่นน่ะสิ เขาไม่เคยออกมาข้างนอกเลย คุณสมบัติดี ทั้งยังยอมหมั่นเพียรฝึกฝน ต่อไปอาจจะกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะก็เป็นไปได้”

ชายชราส่ายหัวและอดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ไม่พูดอะไรมากอีก

เขาอยู่ที่นี่มาร้อยกว่าปี คนที่มีคุณสมบัติดีกว่าหานเจวี๋ยเขาเคยเจอมาหมดแล้ว เพียงแต่รู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย ทว่าไม่ได้คิดอะไรมาก

……

ตลอดทางไร้ซึ่งวาจา

ภายใต้การนำของผู้อาวุโสใหญ่ หานเจวี๋ยมาถึงค่ายกลส่งตัวแห่งหนึ่งตรงมุมหุบเขา ที่นี่มีศิษย์เฝ้าอยู่หลายคน

ค่ายกลส่งตัวเหมือนแท่นบูชามาก เป็นแท่นหินทรงกลม ด้านบนมีลวดลายแปลกประหลาดสลักไว้ ทั้งสี่ด้านมีเสาหินตั้งอยู่ มีหลุมขนาดต่างๆ อยู่ด้านบนจำนวนมาก เอาไว้วางหินวิญญาณโดยเฉพาะ

หานเจวี๋ยเพิ่งใช้ค่ายกลส่งตัวเป็นครั้งแรก เขาตื่นเต้นมาก แต่ไม่แสดงสีหน้าออกมาเพราะกลัวขายหน้า

ศิษย์สายนอกเริ่มวางหินวิญญาณลงไป

“เจ้าอยากเข้าไปฝึกบำเพ็ญแบบใด ผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาของแต่ละยอดเขามีอุปนิสัยต่างกัน รูปแบบจึงไม่เหมือนกัน บ้างชอบชิงดีชิงเด่นและเอาชนะ บ้างมุมานะฝึกฝนอย่างสงบ บ้างก็ออกไปทำภารกิจด้านนอกตลอดปี” ผู้อาวุโสใหญ่พลันถามขึ้นมา

หานเจวี๋ยตอบกลับไป “มุมานะฝึกฝนอย่างสงบ ข้าไม่ชอบความครึกครื้น และก็ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ”

ผู้อาวุโสใหญ่เผยรอยยิ้มประหลาด “ถ้าอย่างนั้นข้าจะพาเจ้าไปยอดเขาหยกวิเวกก่อน”

ขณะนี้ ค่ายกลส่งตัวเริ่มทำงานแล้ว แสงเจิดจ้าปรากฏออกมา สว่างจนหานเจวี๋ยต้องหลับตาลง

หานเจวี๋ยรู้สึกสูญเสียน้ำหนักอย่างรุนแรง หากเป็นมนุษย์ธรรมดาจะต้องอาเจียนอย่างแน่นอน

ผ่านไปประมาณสามวินาที

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขาคือยอดเขาที่สูงเสียดฟ้าแต่ละลูก ทะเลหมอกปกคลุมอยู่ด้านหน้า คล้ายกับว่าเขายืนอยู่บนเมฆ

ใต้เท้าของเขาเป็นค่ายกลส่งตัว ด้านหน้าเป็นบันไดหินที่นำไปสู่เมือง

เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง เทียบกับยอดเขาใหญ่ทั้งสิบแปดลูกที่อยู่รอบๆ แล้วนับว่าเป็นภูเขาเตี้ย แต่พอหานเจวี๋ยมองดูใต้ค่ายกลส่งตัว กลับดูราวกับหน้าผาสูงหมื่นจั้ง เพราะมีเมฆหมอกรายล้อมจึงมองไม่เห็นพื้น

เมืองบนภูเขาเตี้ยมีขนาดใหญ่มาก สามารถมองเห็นผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยขี่กระบี่เหินเวหาอยู่บนฟ้า กระทั่งมองเห็นสัตว์ปีกดุร้ายชนิดต่างๆ ด้วย

“นั่นคือสำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่ายใน ทำภารกิจ รับค่าตอบแทน ทุกอย่างล้วนอยู่ที่นี่ ด้านในแลกเปลี่ยนค้าขายกันได้ด้วย”

ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยปากแนะนำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

หานเจวี๋ยรู้สึกตื่นตามาก เดิมทีคิดว่าสำนักหยกพิสุทธิ์เป็นสำนักเล็กๆ เหมือนในละครย้อนยุคจอมยุทธ์เทพเซียน ไม่คาดคิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้

เขายังคิดว่าตัวเองมาถึงแดนเซียนแล้วเสียอีก

เขาประเมินกำลังของสำนักหยกพิสุทธิ์ต่ำไปจริงๆ

ถึงอย่างไรเมื่อยี่สิบปีก่อนเขาก็อยู่ในสวนสมุนไพรมาโดยตลอด โลดแล่นอยู่ในบริเวณไม่ถึงสองลี้ จะบอกว่าเป็นนกในกรงก็ไม่ผิด

ครั้นผู้อาวุโสใหญ่โบกมือ หานเจวี๋ยรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างยกตัวขึ้น ทำให้เขาเกือบล้มคว่ำ

พอเขาก้มหน้ามองลงไป กลับมีน้ำเต้ายักษ์ปรากฏอยู่ใต้ฝ่าเท้า

“ยืนให้มั่นละ หากตกลงไปละก็ ต่อให้เจ้ามีตบะระดับหลอมปราณขั้นเก้าก็ต้องตายอยู่ดี”

ผู้อาวุโสใหญ่พูดพร้อมหัวเราะลั่น เสียงหัวเราะดูห้าวหาญยิ่ง

หานเจวี๋ยรีบใช้พลังวิญญาณยึดใต้ฝ่าเท้า ให้ติดแน่นกับผิวน้ำเต้า

น้ำเต้ายักษ์พาพวกเขาบินไปยังยอดเขายักษ์ที่อยู่ห่างออกไปที่สุด

ยอดเขาอื่นล้วนมีเงาร่างของลูกศิษย์ขึ้นๆ ลงๆ มีเพียงยอดเขาลูกนี้ที่เงียบเหงาเป็นอย่างมาก

“ผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาของยอดเขาหยกวิเวกคือเซียนซีเสวียน ตบะลึกล้ำเกินหยั่งถึง นางชอบปิดด่านฝึกบำเพ็ญ ชอบความเงียบสงบ ดังนั้นยอดเขาหยกวิเวกจึงไม่คึกคัก ประกอบกับนางไม่อนุญาตให้ศิษย์ใต้ความดูแลเกิดความสนิทสนม ผูกสัมพันธ์กันเป็นคู่บำเพ็ญเพียร ศิษย์จำนวนน้อยมากที่อยู่ที่นี่จึงล้วนเป็นผู้มุมานะฝึกฝน” ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วและพูดว่า “จริงหรือ เช่นนั้นก็เยี่ยมเลย!

เขากลัวอยู่ว่าผู้บำเพ็ญหญิงจะมากวนใจเขา!

อย่างไรเสียเขาก็ไม่เป็นสองรองใคร เปี่ยมด้วยเสน่ห์ขั้นสุดยอด

ผู้อาวุโสใหญ่ส่ายศีรษะหลุดหัวเราะ

[ผู้อาวุโสใหญ่สำนักฝ่ายนอกเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

ตัวอักษรบรรทัดหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย

เขารู้สึกประหลาดใจมาก

ไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงกลุ่มตำหนักของยอดเขาหยกวิเวก และมุ่งตรงไปยังตำหนักหลักทันที

ผู้อาวุโสใหญ่ยืนอยู่หน้าประตู ริมฝีปากขยับเบาๆ คาดว่าคงใช้วิชาถ่ายทอดเสียงอยู่

เอี๊ยด!

ประตูใหญ่ถูกเปิดออก

ผู้อาวุโสใหญ่เดินนำหานเจวี๋ยเข้าไปด้านใน

ในตำหนักใหญ่มืดสลัว ครั้นพวกเขาเดินเข้าไป ตะเกียงน้ำมันทั้งสองฝั่งก็สว่างขึ้นมา

สายตาของหานเจวี๋ยตกลงบนเงาร่างสองร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า

ผู้บำเพ็ญหญิงสองคน

ผู้บำเพ็ญหญิงหนึ่งในนั้นสวมชุดสีฟ้า ท่าทีสุขุมสง่างาม รูปโฉมเรียกได้ว่างามล่มบ้านล่มเมือง คาดว่าน่าจะเป็นเซียนซีเสวียน

ผู้บำเพ็ญหญิงที่อยู่ด้านหลังคงเป็นศิษย์ของนาง บุคลิกท่าทางและรูปร่างหน้าตาด้อยกว่าไม่น้อย แต่ก็ยังพอจะนับได้ว่าเป็นหญิงงาม

เซียนซีเสวียนลืมตาขึ้นมา สายตาตกอยู่บนตัวหานเจวี๋ย

ผู้อาวุโสใหญ่เดินเข้าไปใกล้ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กผู้นี้มีนามว่าหานเจวี๋ย เป็นผู้บำเพ็ญอิสระ มีคุณสมบัติสามรากวิญญาณ มีรากวิญญาณอัสนีที่พบเห็นได้ยาก ในระหว่างทางข้าสอบถามไปเล็กน้อยแล้ว เขาชอบสถานที่ฝึกฝนที่เงียบสงบ ไม่ต้องการเป็นจุดสนใจนัก”

หานเจวี๋ยโค้งตัวคารวะ

[ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

แค่นี้ก็ 2 ดาวแล้ว?

‘ตื้นเขินนัก’

หานเจวี๋ยแอบค่อนแคะกับตัวเอง ในใจรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

ยอดเขาหยกวิเวกนี้ชื่อไม่ตรงกับความเป็นจริงเอาเสียเลย บรรดาศิษย์หญิงเหี้ยมโหดกันทั้งนั้น

เซียนซีเสวียนเอ่ยปากถาม “ถ้าเข้าร่วมยอดเขาของข้า ข้าจะไม่ช่วยเจ้าแสวงหาผลประโยชน์ ทั้งหมดต้องพึ่งพาตัวเอง ในเรื่องของการฝึกบำเพ็ญ ข้าไม่เมินเฉยที่จะสอนเจ้า แต่หากเจ้าหย่อนยาน ข้าก็จะขับไล่เจ้าออกจากยอดเขา”

หานเจวี๋ยรีบกล่าวรับรองทันที “ขอเพียงไม่มีคำสั่ง ศิษย์ก็สามารถปิดด่านฝึกฝนร้อยปีโดยไม่ออกมาเลย!”

“พูดจริงหรือ”

“ไม่มีเท็จอย่างแน่นอน!”

[เซียนซีเสวียนเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

[ความประทับใจที่ฉางเยวี่ยเอ๋อร์มีต่อท่านลดลง ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

ตัวอักษรสองแถวลอยขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย

เขาอดไม่ได้ที่จะดูแคลนฉางเยวี่ยเอ๋อร์ผู้นั้น

เจ้าหมกมุ่นในเรื่องรักถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

ที่นี่คือแดนแห่งการบำเพ็ญเซียนนะ!

“เป็นวิชาเวทหรือไม่ ลองโจมตีมาที่ข้า ให้ข้าดูฝีมือของเจ้าหน่อย” เซียนซีเสวียนถามต่อ

หานเจวี๋ยพยักหน้า ตัดสินใจโจมตีด้วยพลังทั้งหมด

ยอดเขาหยกวิเวกนี้เหมาะสมกับเขามาก!

หากเปลี่ยนเป็นยอดเขาอื่น เขาต้องถูกผู้บำเพ็ญหญิงเช่นฉางเยวี่ยเอ๋อร์กวนใจตายแน่

หานเจวี๋ยไม่ใช่หลิ่วเซี่ยฮุ่ย[1] เขาก็ชอบสตรีเช่นกัน แต่สตรีไม่มีทางสำคัญเท่ากับอายุขัย ตอนนี้เขาอยากฝึกบำเพ็ญเท่านั้น

ผู้ลุ่มหลงในกามราคะย่อมนำพาชีวิตวายวอด!

รอจนตบะแก่กล้าแล้ว เขาจะสามารถเลี้ยงดูคู่บำเพ็ญเพียรเล่นๆ ได้สักสองสามคน แต่ก็ไม่อาจเกิดอารมณ์ชมชอบจริงๆ มีไว้เพียงเพื่อฝึกบำเพ็ญร่วมกันเท่านั้น

หานเจวี๋ยโคจรพลังวิญญาณในร่าง นิ้วมือขวาทั้งห้าหุบลง และเข้าเผชิญหน้าเซียนซีเสวียน

ปราณกระบี่พุ่งออกจากนิ้วทั้งห้า รวมตัวกันเป็นปราณกระบี่ขนาดเท่าฝ่ามือสายหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาเซียนซีเสวียนราวกับสายฟ้า

ขณะที่กำลังจะโดนตัวเซียนซีเสวียน ปราณกระบี่สลายไปอย่างไร้ร่องรอย ผมตรงหน้าผากของนางก็ลอยพลิ้วขึ้นมา

[ความประทับใจที่เยวี่ยฉางเอ๋อร์มีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจขณะนี้คือ 2 ดาว]

……………………………………….

[1] หลิ่วเซี่ยฮุ่ย เป็นคนรัฐหลู่ในสมัยชุนชิวจ้านกั๋ว ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่ แม้มีหญิงงามอยู่ในอ้อมกอดก็ไม่ล่วงเกิน