ลมที่พัดไปตามทิวหญ้าในทุ่งจนเกิดเป็นคลื่น ดูเหมือนกับผิวน้ำที่มืดมิดยังไงยังงั้น

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเรามาที่โลกเบื้องหลังตอนกลางคืนแบบนี้น่ะ

ตอนที่เราเคยมากันก่อนหน้านี้ก็จะเป็นช่วงกลางวันตลอด แถมในการเดินทางทั้ง 2 ครั้งกับโทริโกะ พวกเราก็กลับบ้านกันก่อนอาทิตย์จะตกดินด้วย เพราะเรากลัวที่จะต้องเผชิญกับกลางคืนในแดนที่ไม่รู้จักนี่น่ะ

 

“ท- โทริโกะ… ฉันลืมไปแล้ว แต่เธอเคยมาที่นี่ตอนกลางคืนหรือเปล่านะ?”

 

โทริโกะส่ายหน้าเป็นการตอบคำถามของฉัน

 

“ไม่เคยเลย ซัทสึกิบอกว่ามันอันตราย ฉันก็เลยเลี่ยงมาตลอด”

 

คุณซัทสึกิ คนที่ลากโทริโกะเข้าไปสำรวจที่โลกเบื้องหลังนี่ แล้วก็เป็น ‘เพื่อน’ ของเธอด้วย ฉันไม่เคยเจอเธอหรอก เพราะเธอหายตัวไปก่อนที่ฉันกับโทริโกะจะรู้จักกันซะอีก

จากที่ฉันเคยได้ยินเนี่ย ดูเหมือนเธอจะสำรวจโลกเบื้องหลังนี่มาตลอดเลย แถมมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะเลยด้วย แล้วตอนนี้ พวกเรากำลังเหยียบเข้ามาในสถานการณ์ที่แม้แต่เธอคนนั้นยังบอกว่าอันตรายงั้นเหรอ

ถ้าบอกว่าฉันไม่สงสัยเลยก็คงโกหกล่ะนะ แต่ฉันไม่ได้เตรียมใจเอาไว้สำหรับเรื่องนี้เนี่ยสิ แถมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการออกสำรวจ พวกเราก็ไม่มีด้วย ไม่ใช่สถานการณ์ที่พวกเราอยากจะเข้ามาอยู่เลยซักนิด ฉันหมายถึง พูดตรงๆ เลยแล้วกัน ― เราซวยแล้วใช่มั้ยเนี่ย?

 

“โซราโอะ มีปืนหรือเปล่า?”

 

โทริโกะถามด้วยเสียงที่กดต่ำ

 

“จะเอามาทำไมเล่า! ใครมันจะเอาปืนมาด้วยตอนออกมาดื่มกันล่ะ…”

 

เสียงฉันขาดไปกลางคัน ตอนที่นึกขึ้นมาได้ว่าใครที่อาจจะทำแบบนั้น

 

“เดี๋ยวนะ หรือว่าเธอจะ?”

“ฉันแค่คิดว่ารู้งี้ฉันเอาติดมาด้วยดีกว่าน่ะ”

“…ว่าแล้ว”

 

ไหล่ฉันตกลงมาเลย ใครจะไปคิดเนอะว่าจะมีวันที่ฉันจะผิดหวังที่เพื่อนตัวเองไม่เอาปืนติดตัวมาด้วยน่ะ?

ระหว่างที่ฉันกวาดตาไปรอบๆ บริเวณนี้ มันก็ค่อยๆ คุ้นชินกับแสงดาวแล้ว ในเวลาเดียวกัน ก็ระแวดระวังกับเสียงเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้นด้วย ในเวลากลางคืน โลกเบื้องหลังจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มันมีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตด้วย

เวลากลางวัน เราจะไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่เสียงนกร้อง จะมีก็แค่เสียงลมแหวกหญ้าเท่านั้นแหละ จนเหมือนโลกเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมายังไงยังงั้น แต่ว่า ตอนนี้น่ะ มีทั้งเสียงนกร้อง เสียงแมลง เสียงสัตว์อื่นๆ ทั่วไปหมด แถมยังได้ยินเสียงซวบซาบของสัตว์ตัวเล็กๆ วิ่งแหวกไปตามโคนรากหญ้าด้วย

นอกจากทางเท้าที่เราเดินตามทางมาเนี่ย ก็ทุ่งราบเป็นลูกคลื่นออกไปสุดลูกหูลูกตาเลย มีร่องเล็กๆ มีต้นไม้ยืนโดดๆ อยู่ต้นนึง แล้วก็คล้ายๆ กับเนินเขาสูงขึ้นมาเป็นเหมือนภาพเงาภายใต้พื้นหลังของท้องฟ้ายามค่ำคืนนี่เลย

 

“โทริโกะ เธอว่าเราเข้ามาที่โลกเบื้องหลังได้ยังไงกันน่ะ?”

“ไม่รู้สิ เราเดินผ่านที่ไหนแปลกๆ มาหรือเปล่า?”

 

ฉันส่ายหัว ไม่มีอะไรแบบนั้นเข้ามาในหัวเลย ฉันไล่ความทรงจำของตัวเองกลับไป จากตอนที่เราออกจากร้านเหล้า ฉันรู้สึกว่าภาพที่มองเห็นมันจะวูบไปแวบนึง ตาขวาของฉันสามารถมองเห็นการเรืองแสงสีเงินที่เป็นโครงรอบๆ วัตถุจากโลกเบื้องหลังได้ บางทีที่ภาพมันวูบไปก็อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นก็ได้

เพื่อที่จะเข้าไปที่โลกเบื้องหลัง ฉันเชื่อว่าเราจำเป็นต้องหาทางเข้าลับให้เจอ ไม่ก็แหวกเข้าไปด้วยวิธีการที่ซับซ้อนบางอย่าง ประตูหลังของตึกร้าง ลิฟต์ที่ต้องกดตามลำดับที่จำเพาะเท่านั้น เสาโทริอิของศาลเจ้าบนเขาที่เราต้องเดินทะลุเฉพาะในมุมองศาและเวลานั้นเท่านั้น ไม่ก็อะไรแบบนั้น แต่รอบนี้ เราแค่ไปที่ร้านเหล้าธรรมดาๆ ไปดื่มกันเฉยๆ เองนะ

พอมาลองคิดดูแล้ว เรื่องแปลกๆ มันเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เราจะออกมาจากร้านเหล้าแล้วนี่ หรือว่าที่นั่นมันมีอะไรแปลก? หรือเราไปทำอะไรข้างในนั้น?

 

“พวกเราไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ กันใช่มั้ย?”

“ใช่”

“ฉันว่าเราก็แค่ออกมาจากร้านเหล้าเองนะ”

“เป็นลำดับการสั่งอาหารแบบเฉพาะ หรืออะไรแบบนั้นหรือเปล่า?”

“นี่เราไม่ได้พยายามรื้อหาบั๊กในเกมอยู่นะตอนน-… อ๊ะ!”

 

จู่ๆ ก็มีเรื่องนึงแวบเข้ามาในหัวพอดีจนฉันเผลอขึ้นเสียงดังเลย

 

“อะไรเหรอ?”

“หมวกไง!”

“อะ…”

 

โทริโกะเบิกตาโพลง ก่อนจะค่อยๆ เบือนสายตาหลบอย่างอึกอัก

 

“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเอามันมาใส่น่ะ!”

“ก- ก็ไม่ได้แปลว่ามันเป็นต้นเหตุเลยนี่”

“ฉันบอกเลย มันเป็นไปได้มากเลยล่ะย่ะ!”

“งั้น ฉันลองใส่มันดูอีกซักทีนึงดีมั้ย?”

“ไม่! อย่า! หยุดเลย อย่าไปแตะมันอีกนะ”

 

ฉันรีบตะโกนตอนที่โทริโกะเอื้อมมือเข้าไปหากระเป๋าผ้าโท้ทของเธอ เสียงฉันคงไปทำให้เธอตกใจสินะ เพราะโทริโกะเอามาออกมาชูนิดๆ ทั้ง 2 ข้างไว้ตรงระดับหน้าอก แสดงท่ายอมแพ้ๆ นิดๆ ด้วย

 

“เข้าใจแล้ว ไม่แตะแล้วล่ะ Okay?”

“…OK”

 

แต่ก็ไม่มีซักเรื่องเลยล่ะนะตอนนี้ที่มันโอเค ฉันเอามือขึ้นมากุมหัว ถอนหายใจเฮือกใหญ่

เอาล่ะ ทีนี้ยังไงดี? ตรงๆ เลยคือ เราจะกลับกันยังไงล่ะเนี่ย?

จนถึงตอนนี้ เรามีประตูทางออกที่แน่นอนสำหรับโลกเบื้องหลังนี่ และเราก็ออกทางนั้นนั่นแหละเพื่อกลับบ้าน แต่คราวนี้ ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ต่อให้เราจะเดินกลับไปตามทางที่เรามา ก็ไม่เห็นอะไรที่เหมือนจะเป็นประตูที่พาไปร้านเหล้าร้านนั้นเลยซักบาน

 

“เธออยากจะไปทางไหนเหรอ?”

“สำหรับตอนนี้… อย่าเพิ่งขยับมั่วซั่วไปกว่านี้ดีกว่า เราอาจจะไปเหยียบเข้ากับกลิตช์พวกนั้นก็ได้นะ”

 

ที่โลกเบื้องหลังนี่ มันมีของที่เหมือนกับดักแบบเหนือธรรมชาติอยู่ด้วย แถมมันจะทำอะไรกับเราก็ไม่มีทางรู้ จนกว่าจะไปเหยียบเข้าน่ะ คุณอาบาระโตะ ผู้ชายคนนึงที่เราเจอที่นี่ เรียกพวกมันว่ากลิตช์

 

“บางที เรานั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าจะเช้าน่าจะดีนะ”

 

พอฉันเงยหน้าพูดไปแบบนั้น โทริโกะก็เหมือนจะจ้องอยู่ที่อะไรซักอย่างผ่านไหล่ฉันไป

 

“…ฉันรู้สึกว่า เราคงทำยังงั้นไม่ได้แล้วล่ะ”

“ฮะ?”

 

พอฉันหันไปข้างหลังตามสายตาของเธอไป ฉันก็เห็นเงาขนาดใหญ่ยืนเด่นตระหง่านอยู่ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาว

นั่นยีราฟเหรอ? ฉันแอบคิดแบบนั้นอยู่แวบนึง เพราะมันดูคล้ายๆ กับสัตว์ 4 เท้าตัวสูง แต่พอเงยหน้ามองไล่ขึ้นไป ก็ต้องปัดภาพนั่นทิ้งไปเลย ส่วนลำตัวนั่น มีขายาวบางค้ำเอาไว้อยู่ แล้วก็ไม่มีคอเลยด้วย

*จ――จี่* มันส่งเสียงร้องออกมา ชวนให้นึกถึงเสียงร้องของจักจั่นเลย แถมในเวลาเดียวกันนั่น มันก็เริ่มก้าวย่ำตามพื้น ก้อนวัตถุบางอย่างที่ห้อยมาจากส่วนลำตัวของมันก็แกว่งไปแกว่งมาทุกครั้งที่ก้าวเลย นั่นอะไรน่ะ? ฉันเพ่งสายตามอง แล้วก็ช็อกไปเลย มันดูเหมือนร่างของมนุษย์ 2-3 ร่าง ถูกมัดห่อเหมือนมัมมี่ ห้อยย้อยลงมาจากตัวมันด้วยเชือก

ยิ่งเสียงจักจั่นนั่นดังขึ้นอีก เจ้าสัตว์ 4 ขานั่นก็เดินตรงเข้ามาทางพวกเรา มีเสียงตุบทึบๆ ดังขึ้นเหมือนกับว่าวัตถุที่ห้อยลงมาจากตัวมันฟาดกระแทกกันไปมา พอเห็นว่าอะไรซักอย่างที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ถูกจับห้อยอยู่แบบนั้นยังกับร้านขายเนื้อ ก็รู้สึกยังกับถูกน้ำเย็นสาดเลย ความมึนๆ อะไรก็ตามที่เคยมีก่อนหน้านี้หายวับไปไม่เหลือแล้ว

 

 

“โซราโอะ… นั่นมัน อะไร?”

 

ฉันรีบคว้ามือโทริโกะที่ยังยืนอึ้งอยู่มาทันที

 

“อะไรที่เราต้องรีบหนีไงเล่า! วิ่งเร็ว!”