ตอนที่ 5 พบกันครั้งแรก

สามีข้า คือพรานป่า

เฉินเถียนเถียนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่ชายตรงหน้าเอาแต่เงียบงันไม่ยอมกล่าวสิ่งใด นางสบถอยู่ในใจ ‘หากยังชักช้าอยู่อย่างนี้ข้าคงได้แข็งตายในป่าแน่ ผู้ชายคนนี้ช่างแล้งน้ำใจนัก!’

ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้นเขาก็เอ่ยปากพูด “ข้าเป็นนายพรานจากภูเขาเทพธิดานามว่าหยุนเคอ แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่? เจ้าควรจะอยู่บ้านไม่ใช่หรือ? อ้อ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหนีออกมาจากบ้านของตระกูลหลี่หรือไม่?”

เมื่อเฉินเถียนเถียนรู้ว่าเขาเป็นคนในหมู่บ้านเทพธิดาก็พลันดีใจพร้อมกับนึกได้ว่าเคยเห็นผู้ชายคนนี้ในความทรงจำของเฉินเถียนเถียนคนเก่าขณะที่อายุครบสิบสี่ปี

ปกติแล้วหยุนเคอจะหมกตัวอยู่ในป่าและไม่ออกไปไหนเลย ถ้าหากเขาออกจากป่านี้นั่นหมายความว่าเขาจะนำสัตว์ป่าที่ล่าได้ออกไปขายหรือและเปลี่ยนเป็นของใช้กับคนในหมู่บ้านเท่านั้น ว่ากันว่าเขามีบ้านหลังเล็กอยู่บนยอดเขา…

เฉินเถียนเถียนรู้จักหยุนเคอเพราะว่านางมักจะถูกแม่เลี้ยงด่าว่าและเอานายพรานผู้นี้มาข่มขู่เสมอ หลังจากที่ทุบตีจนพอใจ นางก็มักจะกล่าวต่อว่าหากร้องไห้เสียงดังจะขายลูกเลี้ยงคนนี้ให้กับหยุนเคอ ให้เฉินเถียนเถียนกลายเป็นเมียของคนป่า!

อย่างไรแล้วเฉินเถียนเถียนก็เติบโตมาในหมู่บ้านเทพธิดา นางรู้ดีว่าคนป่าไม่มีที่นาให้ทำกิน หากแต่งงานกับหยุนเคอคงจะต้องพบเจอแต่ความลำบาก อีกทั้งชายคนนี้เต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังจนแทบจะมองไม่เห็นดวงตาของเขาด้วยซ้ำ ใบหน้านั้นยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาช่างดุร้ายและป่าเถื่อน!

แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เฉินเถียนเถียนไม่มีเวลาจะสนใจเรื่องนี้อีกแล้ว ในเมื่อเขาเป็นพรานป่าย่อมหมายความว่าเขารู้จักเส้นทางบนภูเขานี้ดีที่สุด… ตอนนี้เธอรอดพ้นจากการถูกหมาป่าขย้ำคอแล้ว!

“พี่ชายของข้าอยากเข้าเรียนในโรงเรียนประจำของตระกูลหลี่จึงบอกกล่าวให้พ่อส่งตัวข้าให้นายน้อยหลี่เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน ตอนนี้ข้าหลบหนีออกมาได้ตอนที่สาวใช้กำลังจะจับอาบน้ำ เจ้าช่วยพาข้ากลับบ้านทีเถิด!”

แน่นอนว่าเฉินเถียนเถียนไม่รู้จักผู้ชายคนนี้เลย แต่ด้วยการมองเพียงครู่เดียวทำให้เธอสามารถเข้าใจอะไรบางอย่างได้ ประสบการณ์ในการเป็นตำรวจมานานหลายปีทำให้เธอพอจะเข้าใจแววตาของคนดีและคนชั่วได้อย่างง่ายดาย!

“หืม! เจ้าจะกลับหมู่บ้านในสภาพเช่นนี้งั้นหรือ?”

หยุนเคอเข้าใจเรื่องราวและสามารถส่งเด็กหญิงคนนี้กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย แต่การแต่งตัวของนาง…

เฉินเถียนเถียนก้มมองสารรูปตัวเองจึงเห็นว่ามันเป็นเพียงชุดบาง ๆ เท่านั้น ยังดีที่ก่อนหน้านี้เธอหาผ้าชิ้นเล็กมาปกปิดจุดสำคัญเอาไว้ มิฉะนั้นการใส่หรือไม่ใส่ก็คงจะไม่ต่างกัน!

เมื่อก่อนเสื้อผ้าที่บางกว่านี้เธอก็เคยใส่มันมาแล้ว แต่ในคราวนี้ไม่รู้เพราะอะไรจึงได้อับอายและรู้สึกขายหน้าอย่างบอกไม่ถูก

“หากข้า…หากข้ากลับไปสภาพนี้คงต้องถูกแม่เลี้ยงตีจนตายเป็นแน่! เจ้าช่วยหาที่ลับตาเพื่อให้ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยสิ!”

หยุนเคอมองร่างกายของเด็กสาวที่กำลังสั่นสะท้านเพราะความหนาวก่อนจะนึกถึงเรื่องแย่ ๆ ในบ้านของนางได้… เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

เฮ้อ… คิดซะว่าทำความดีสักครั้งแล้วกัน!

หยุนเคอถอดเสื้อนอกตัวตัวเองออกก่อนจะโยนให้เฉินเถียนเถียนด้วยใบหน้าเรียบร้อย แต่เป็นเพราะหนวดเครารุงรังเลยทำให้เธอไม่รู้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร!

ส่วนเฉินเถียนเถียนที่ยืนตัวสั่นอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนักในสถานการณ์เช่นนี้ เธอจึงรีบหยิบเสื้อของหยุนเคอมาสวมทับในทันทีและด้วยขนาดเสื้อที่ใหญ่มากทำให้เธอกลายเป็นเด็กน้อยที่สวมใส่เสื้อผ้าของผู้ใหญ่!

หยุนเคอถอดรองเท้าพร้อมกับโยนมันให้อีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ แต่ครั้งนี้เธอกลับเกรงใจและคิดจะปฏิเสธ… “เจ้าใส่เถอะ การเดินเท้าในป่าอาจทำให้เท้าของเจ้าเป็นแผล…”

หยุนเคอตอบกลับด้วยความรำคาญ “เลิกพูดมากแล้วใส่มันซะ!”

อ้อ… เขาปฏิเสธความหวังดีของฉันงั้นเหรอ เอาล่ะ อย่างนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะใส่มัน เท้าเปล่าที่สัมผัสกับพื้นเย็นเฉียบและใบหญ้าแข็ง ๆ มาเนิ่นนานก็เริ่มอุ่นขึ้นมาทีละนิด

หยุนเคอเดินนำโดยมีเด็กสาวเดินตามหลัง แต่กว่าจะผ่านภูเขาไปสักหนึ่งลูกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ชายที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นนายพรานก็จริง แต่เขาเอาเรี่ยวแรงจากที่ไหนจึงสามารถเดินได้ไกลขนาดนี้? อีกทั้งสีหน้าของเขายังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนด้วยซ้ำ…

เฉินเถียนเถียนรู้สึกเหนื่อยจนไม่สามารถก้าวขาได้อีกต่อไป แม้ชีวิตก่อนหน้านี้จะเป็นตำรวจ แต่มันก็เป็นแค่ร่างเก่าเท่านั้นที่แข็งแรง ตอนนี้เธออยู่ในร่างของหญิงสาวผู้อ่อนแอและความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

“ข้าไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว พักหน่อยเถิด ข้าจะตายแล้ว!”

หยุนเคอเงยหน้ามองท้องฟ้าและเห็นว่าอีกนานกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น เขาจึงวางธนูในมือลงและนั่งพัก

เฉินเถียนเถียนทั้งเหนื่อย ทั้งหิว แต่เธอก็ไม่ได้สนิทกับผู้ชายคนนี้นักและไม่กล้าที่จะรบกวนเขาด้วย ทั้งเสื้อและรองเท้าต่างก็เป็นของเขา หากจะเอ่ยปากขออาหารคงไม่ดีนัก

ยังไงซะการรักษามารยาทก็เป็นสิ่งที่ควรทำแม้ว่าจะหิวมากเพียงใด… ทว่าร่างกายกลับทรยศ “โครก!” เสียงท้องร้องดังสนั่นขึ้นมาอย่างไม่ให้ความร่วมมือ

เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหลบตาอย่างเขินอาย เสียงดังขนาดนี้อีกฝ่ายต้องได้ยินแน่

ตอนนี้เองที่หยุนเคอหยิบธนูและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

“นี่…เจ้าจะไปไหน?”

หยุนเคอไม่ตอบคำถาม เขาเดินจากไปและทิ้งให้เฉินเถียนเถียนบ่นพึมพำอยู่คนเดียว

“แปลกคนเสียจริง ท้องข้าร้องแล้วมันไปหนักส่วนไหนของเจ้า?”

เฉินเถียนเถียนเอนตัวพิงต้นไม้พลางเงยหน้ามองท้องฟ้า กิ่งไม้โล่ง ๆ ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมา ชวนให้คิดถึงโลกก่อนหน้ายิ่งนัก อย่างน้อยที่นั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความหิว!

เมื่อหยุนเคอกลับมาเห็นสภาพของนางก็ยิ้มแห้ง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้พบเจอกับหญิงสาวที่ไม่คู่ควรจะเป็นหญิงสาว นางช่างไม่มีการรักษาท่าทีเลยสักนิด!

เฉินเถียนเถียนเห็นไก่ป่าในมือของหยุนเคอรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกับแววตาทอประกายวูบไหว

‘เอาล่ะ ช่างมันเถอะ… นางคงจะหิวมากจนทนไม่ไหว!’

หยุนเคอนั่งลงพร้อมกับเริ่มก่อไฟ ผ่านไปครู่หนึ่งกลิ่นหอมของไก่ป่าลอยคละคลุ้งจนทำให้เฉินเถียนเถียนแทบจะกลั้นน้ำลายไว้ไม่อยู่

ขณะเอื้อมมือออกไปหมายมั่นว่าจะคว้ามันแต่ก็ต้องดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว ความร้อนจากไก่ป่าไม่ใช่เรื่องตลก เธอรีบเอามือจับที่ติ่งหูทันทีเพื่อหวังจะคลายความร้อนเมื่อครู่!

หยุนเคอเห็นท่าทางอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ เขาเอื้อมมือเด็ดใบไม้และใช้มันฉีกไก่ออกเป็นสองชิ้นใหญ่

กลิ่นหอมของมันทำให้เฉินเถียนเถียนทนไม่ไหวก่อนจะเอ่ยปากอย่างไร้ยางอาย “คือ… เจ้าคงกินมันไม่หมดหรอก ตั้งเยอะน่ะ… แบ่งให้ข้าสักครึ่งได้ไหม?”

หลังจากกินอิ่มแล้ว เฉินเถียนเถียนเงยหน้ามองหยุนเคออย่างพิจารณา

ไม่แปลกที่คนในหมู่บ้านจะเรียกขานว่าเขาคือคนป่า ทั้งหมดเป็นเพราะหนวดเครารุงรังพวกนั้น… ไม่รู้เลยว่าเขาไม่โกนมันมานานเท่าไหร่ แต่กริชเล่มเล็กในมือนั้น…

ดูเหมือนว่าพรานป่าคนนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป!