ตอนที่ 12 ความสะเพร่า

ตอนที่ 12 ความสะเพร่า

เมื่อได้ยินสิ่งที่หวังจาวตี้พูด ฉินเคอวั่งจึงกล่าวอย่างภาคภูมิ “คนอย่างพี่สาวมองแต่แรกก็รู้แล้วว่าโชคดี ก็เป็นธรรมดาที่จะได้แต่งงานกับพี่เขยไม่ใช่เหรอ”

หวังจาวตี้สะอึกเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่เอ่ย

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกผู้ใหญ่ตระกูลฉินกันแน่ ถึงได้ประคบประหงมแม่สาวน้อยฉินมู่หลานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดเช่นไรหากสุดท้ายแล้วหล่อนไม่ได้แต่งงาน ยิ่งไปกว่านั้นฉินมู่หลานโชคดีขนาดนี้ได้อย่างไรกัน เห็นได้ชัดว่าหล่อนทำตัวน่าขายหน้าออกขนาดนั้น ต้องขอบคุณเซี่ยเจ๋อหลี่ที่สุดท้ายก็ยอมแต่งด้วย

เมื่อเห็นว่าการกระทำขัดตาของพวกคนตระกูลฉิน หวังจาวตี้จึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก

ปกติแล้วฉินเคอวั่งไม่เคยรู้ว่าหวังจาวตี้กำลังคิดอะไร ตอนนี้เขาก็ได้แต่เข้าหาเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วยรอยยิ้มทั่วใบหน้า พลางเรียกเขาว่า ‘พี่เขย พี่เขย’ อยู่ไม่ขาด

ใบหน้าของเซี่ยเจ๋อหลี่เป็นมิตรกับฉินเคอวั่ง อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มตอบ “สวัสดี เคอวั่ง”

“สวัสดีครับ พี่เขย”

ในตอนนี้ ฉินมู่หลานได้ยกซุปผักใส่เต้าหู้ชามสุดท้ายออกมาแล้ว

เมื่อฉินเคอวั่งเห็นดังนั้น เขาก็รีบออกตัวก้าวเข้าไปช่วยอย่างว่องไว

“พี่ ก้นชามอันนี้ต้องร้อนแน่ เดี๋ยวผมถือเอง” หลังจากนั้นก็รับชามซุปมาถือ ก่อนจะนำมาวางลงตรงกลางโต๊ะ

ฉินมู่หลานเห็นท่าทางอ่อนเยาว์และเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาของฉินเคอวั่ง ก็อดไม่ได้ที่จะขยับมุมปากขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเธอจะเพิ่งมาถึงในเช้าวันนี้ แต่ตระกูลฉินก็สร้างความประทับใจให้เธอเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้ ฉินอวิ๋นเฮ่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวก็มาแล้ว เขานั่งลงก่อนจะปรายตามองดูทุกคน “เอาล่ะ นั่งลงแล้วกินข้าวกันเถอะ”

ช่างเป็นมื้อเที่ยงที่อิ่มหนำสำราญมาก

วุ้นเส้นหมูตุ๋นหม้อใหญ่ เนื้อปลาตุ๋นเนื้อฉ่ำเป็นมันเงา ไข่เจียวต้นหอม ผัดผักกาดขาวและซุปผักเต้าหู้ชามใหญ่ นอกจากนี้ยังมีจานใส่เล่าปิ่งอันเล็กและหม้อข้าวผสมมันเทศวางอยู่ข้าง ๆ ด้วย ช่างเป็นมื้อที่อิ่มหนำสำราญมาก ซึ่งปกติแล้วไม่ได้กินกันมากมายขนาดนี้หรอก

หลังจากที่ฉินอวิ๋นเฮ่อยกขยับตะเกียบแล้ว คนอื่นก็รีบกินข้าวเช่นกัน

ซู่หว่านอี้ยังคงจำลูกสาวตัวเองได้ จึงยังไม่ลงมือกิน นอกจากนี้ยังคีบเล่าปิ่งสองชิ้นให้ฉินมู่หลานก่อนด้วย

“แม่คะ กินสิ หนูทำเองเลยนะ”

ฉินมู่หลานดันจานเล่าปิ่งไปทางซูหว่านอี้ แล้วตักข้าวมันเทศด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ที่ตักไปนั้นเป็นส่วนมันเทศมากและส่วนของข้าวค่อนข้างน้อย เพราะเธออยากจะกินธัญพืชไม่ขัดสีเป็นการลดความอ้วน

ซู่หว่านอี้มองดูแผ่นเล่าปิ่งที่อยู่ในชาม พลันรู้สึกอิ่มเอมใจมากกว่าครั้งไหน

นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกสาวทำเช่นนี้ให้ตน ดังนั้นหล่อนจึงไม่เอ่ยปากพูดอะไร เพียงแค่ลงมือกินเท่านั้น

คนอื่นรอบข้างต่างสังเกตการกระทำของฉินมู่หลานเช่นกัน ทุกคนต่างประหลาดใจกับการกระทำของเธอ เมื่อก่อนตอนกินข้าวด้วยกัน ฉินมู่หลานสนใจแต่เรื่องกินอย่างเดียวโดยไม่เคยคิดถึงคนอื่นเลย แต่เรื่องกินถือเป็นเรื่องใหญ่ แถมวันนี้กับข้าวต่าง ๆ ยังเป็นอาหารชั้นเลิศด้วย ทุกคนจึงลงมือกินโดยไม่ได้คิดมาก

เมื่อทั้งเล่าปิ่งและข้าวผสมมันเทศต่างถูกกินจนหมดแล้ว ทุกคนก็ดูท่าทางยังไม่อิ่มหนำกันสักเท่าใดนัก

ฉินมู่หลานค่อนข้างตกตะลึงนิดหน่อย ทำไมคนในยุคสมัยนี้กินเก่งนัก กินเข้าไปตั้งเยอะก็ยังไม่รู้จักอิ่มกัน อาจเป็นเพราะช่วงนี้ต้องทำงานกันหนักมาก จึงทำให้กินเยอะ

ซูหว่านอี้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หล่อนยกยิ้มแล้วยืนขึ้น เตรียมจะเดินไปตักข้าวมันเทศที่เหลือมา

หวังจาวตี้ที่เห็นดังนั้นจึงชิงหยิบหม้อขึ้นก่อน “อาสะใภ้รองคะ นั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวหนูไปตักข้าวมันเทศออกมาเอง”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น ซูหว่านอี้จึงทิ้งตัวนั่งลงอีกครั้ง

เมื่อหวังจาวตี้ออกมา หล่อนก็ตักข้าวให้แต่ละคนอย่างขันแข็ง เมื่อถึงคราวที่ต้องตักให้ฉินมู่หลาน กลับเหลือเพียงครึ่งทัพพีสุดท้ายเท่านั้น

หวังจาวตี้มองฉินมู่หลานพลางเอ่ยขอโทษ “ขอโทษนะมู่หลาน เหลือเท่านี้แล้ว ถ้ารู้อย่างนี้ฉันน่าจะตักให้เธอก่อน”

ได้ฟังเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงเงยหน้าขึ้นมองหวังจาวตี้ พลางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้ใหญ่คนนี้จะเหลี่ยมจัดไม่เบาเลย มองจากภายนอกอย่างเดียวไม่ได้จริงๆ

ก่อนที่ฉินมู่หลานจะเอ่ยพูดอะไร ซูหว่านอี้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ดึงชามของเธอไปเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะเทข้าวในชามของตัวให้ลูกสาว “มู่หลาน แม่กินไม่เยอะหรอก แม่ยกส่วนของแม่ให้ลูกหมดเลย”

หวังจาวตี้เห็นเช่นนั้นจึงรีบหยิบชามตัวเองขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “อาสะใภ้รองคะ เดี๋ยวอาต้องไปทำงานอีกนะ ต้องกินเยอะ ๆ เอาส่วนของหนูให้มู่หลานแทนก็ได้ค่ะ” ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น แต่ชามข้าวของหวังจาวตี้กลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่สะใภ้ใหญ่ พี่กินของตัวเองไปเถอะ แค่นี้ฉันก็อิ่มแล้ว”

พูดจบ ฉินมู่หลานก็หันไปมองซูหว่านอี้ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “แม่คะ หนูอิ่มแล้วจริง ๆ แม่กินของแม่เถอะ”

ซูหว่านอี้มีสีหน้าไม่อยากเชื่อเมื่อได้ยินเช่นนี้

ถึงแม้ว่าหล่อนจะกินข้าวไปแล้ว แต่ลูกสาวตนก็ยังคงใส่ใจไม่น้อยลงเลย หล่อนสังเกตเห็นว่าลูกสาวตัวเองกินน้อยมาก แล้วแบบนี้จะกินลงได้อย่างไร เมื่อนึกได้ดังนั้นหล่อนก็ปรายตามองหวังจาวตี้อย่างไม่พอใจ

หลานสะใภ้ใหญ่คนนี้ดูเป็นคนที่เอาใจใส่ แต่จากคำพูดเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าจงใจพูดว่ามู่หลานไม่ได้ทำงาน จึงควรกินให้น้อยลงหน่อย พอได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใด

“เอาเถอะ พวกเธอก็กินของใครของมันไปซะ วันนี้ลูกเขยก็อยู่ด้วย ไม่กลัวขายขี้หน้าบ้างหรือไง กินของตัวเองไปเถอะ”

หลิวชุ่ยฮวาปรายตามองทุกคน หลังจากนั้นก็หยิบไข่ต้มสุกออกมาหนึ่งฟอง เมื่อแกะเปลือกออกเรียบร้อยก็วางลงในจานของมู่หลาน ก่อนจะเอ่ย “มู่หลาน กินอีกหน่อยสิ สองวันมานี้ย่าเห็นหลานซูบลงนะ”

เมื่อหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งเห็นไข่ที่อยู่ในชามของฉินมู่หลาน แววตาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ก่อนที่น้องสามีคนนี้จะแต่งงาน ทุกวันตอนอยู่ที่บ้านก็ไม่เคยจะทำงานอะไรทั้งนั้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยังได้กินไข่ไก่เป็นบางครั้ง เวลาที่บ้านมีของดี ๆ สุดท้ายก็จะได้เข้าปากเธอหมด

ถึงแม้ว่าตอนนี้จะแต่งงานออกเรือนไปแล้ว แต่ที่บ้านก็ยังทำดีกับเธอเสมอ ฉินมู่หลานนี่ช่างโชคดีอะไรขนาดนั้นกันนะ

แต่แล้วพวกเขาก็เห็นสีหน้ายับยู่ของหลิวชุ่ยฮวาเข้า จึงไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก ทำเพียงก้มหน้าก้มตากินข้าวไป

และเมื่อฉินมู่หลานมองลงไปในชามที่มีไข่ไก่อยู่ในนั้น หัวใจก็รู้สึกอบอุ่น

“ขอบคุณค่ะคุณย่า”

หลังจากพูดจบ ฉินมู่หลานก็ตัดแบ่งไข่ออกครึ่งหนึ่งแล้วใส่ลงในชามหลิวชุ่ยฮวา

หลิวชุ่ยฮวามองไข่ต้มครึ่งหนึ่งที่อยู่ในชามก่อนจะยิ้มจนปากจะฉีกถึงรูหู “มู่หลานของพวกเราเป็นเด็กดีจังเลยนะ กตัญญูรู้คุณจริง ๆ”

หลิวชุ่ยฮวารู้สึกดีใจ พลางตักกินไข่ต้มครึ่งฟองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เมื่อหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งเห็นภาพตรงหน้า พวกหล่อนก็ถึงกับกลอกตามองอย่างเงียบ ๆ

ไข่ใบนั้นเดิมทีคุณย่าเป็นคนให้ ฉินมู่หลานเพียงแค่ตัดแบ่ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้คนประทับใจอย่างยิ่งยวด

แม้แต่ซุนฮุ่ยหงเองก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองดูฉินมู่หลานอีกครั้ง

ตั้งแต่เล็กจนโต ฉินมู่หลานมีชีวิตที่สุขสบายมากกว่าลูกชายทั้งสองของหล่อนเสียอีก มันจึงยากที่จะทำใจให้ไม่มีอคติได้

“มู่หลาน ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว สองวันที่ผ่านมาตอนเธออยู่ที่บ้านตระกูลเซี่ยเป็นยังไงบ้าง มีปัญหาติดขัดตรงไหนหรือเปล่า ถ้ามีอะไรบอกพวกเราได้นะ” หลังจากพูดจบ หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเซี่ยเจ๋อหลี่ พลางเอ่ยว่า “เจ๋อหลี่ เธอเองก็อย่าถือโทษโกรธที่ฉันพูดตรง ๆ เลยนะ แต่ว่าถ้ามีใครมาทำอะไรมู่หลานของเรา พวกเราเองก็คงทนดูหล่อนทุกข์ใจไม่ได้”

เมื่อซูหว่านอี๋ได้ยินสิ่งที่พี่สะใภ้พูด สีหน้าของหล่อนก็ดูยับยู่ขึ้นเป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่าพี่สะใภ้จะพูดเหมือนว่าหล่อนรักมู่หลาน แต่การพูดจาแบบนี้ต่อหน้าเซี่ยเจ๋อหลี่ก็อาจทำให้เขาเสียใจได้ นอกจากนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้เลย

“พี่สะใภ้ ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกค่ะ มู่หลานก็เพิ่งบอกฉันไปไม่นานนี่เอง ว่าเจ๋อหลี่กับครอบครัวของเขาชอบหล่อนมาก”

ซุนฮุ่ยหงขมวดคิ้วขึ้นนิดหน่อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประหนึ่งสงสัย “จริงเหรอ แต่ว่านะ….จากที่ฉันเห็นเสื้อผ้าของมู่หลาน หล่อนสวมใส่ดี ๆ สักชุดไม่ได้เลย เห็นได้ชัดว่าตระกูลเซี่ยไม่ได้เตรียมอะไรให้มู่หลานเลยสักนิด มู่หลานเข้ากับทางบ้านตระกูลเซี่ยได้ดีจริงเหรอ เจ้าเด็กคนนี้อาจจะไม่อยากให้พวกเราเป็นกังวล ก็เลยโกหกเพื่อให้เราสบายใจน่ะสิ”

ตอนแต่งงาน ครอบครัวทางฝ่ายเจ้าบ้าวจะต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ทางเจ้าสาวหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องตัดเย็บชุดให้ใหม่ แต่จนถึงตอนนี้ฉินมู่หลานยังสวมใส่เสื้อผ้าเก่าเหมือนตอนที่อยู่บ้าน เธอจึงดูไม่เหมือนเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานเลยสักนิด

“ทางบ้านของพวกผมสะเพร่าเองครับ พรุ่งนี้ผมจะพามู่หลานไปซื้อเสื้อผ้าใหม่”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าของร่างเดิมต้องแสบขนาดไหนกันนะ คนทางบ้านแม่ยังค่อนแคะต่อหน้าลูกเขยได้ขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)