อันที่จริงแล้ว ออร่า มันก็คือ ลมปราณ นั่นแหละครับ ตอนแรกก็ยังพยายามใช้ ออร่าอยู่นะ แต่ในตอนนี้ มันเล่นบรรยายเอาซะขนาดนี้ ก็เลยสงสัยว่าจะได้แก้เปลี่ยนเป็นลมปราณซะจริงๆละครับ สงสัยฟิลลิ่งเกาหลีทีมีอยู่อันน้อยนิดจะเริ่มหมดไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นเหมือนนิยายจีนไปเลยหรือเปล่า ฮ่าฮ่า
สุดปลายเส้นผมจรดหัวแม่เท้า เป็นร่างที่สูงราว 4 เมตร ของโอเกอร์ตนหนึ่ง ร่างขนาดมหึมาของมันถือว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่าโอเกอร์ปกติทั่วไป และกำลังวังชาของมันก็มีมากกว่าเผ่าคนยักษ์เสียอีก
ในบรรดาผู้ติดตามของแซเฟียร์ เจ้าโอเกอร์ตนนี้ถือได้ว่ามีพลังการโจมตีทางกายภาพสูงที่สุด
อินกองกลืนน้ำลายในขณะที่เขานึกถึงรูปร่างลักษณะของแวนเดล มันเป็นหนึ่งในขุนพลสุดโปรดของเขาเมื่อตอนเล่นเป็นแซเฟียร์เลยก็ว่าได้
‘กูต้องสู้กับแวนเดลด้วยคารัคเนี่ยนะ?’
อินกองนำทั้งคู่มาเปรียบเทียบอย่างไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่าคารัคเทียบแวนเดลไม่ติดแม้แต่น้อย
นักรบโอเกอร์แวนเดล โอเกอร์ที่สามารถต่อกรกับทหารนับร้อยได้เพียงลำพัง หากเปรียบเป็นสามก๊กแล้ว ก็คงจะเทียบได้กับเตียวหุย
‘เดี๋ยวนะ… แวนเดลอาจจะไม่ใช่ศัตรูก็ได้?’
ขณะนี้ยังเป็นปี 512 กว่าที่แวนเดลจะเข้าร่วมกับแซเฟียร์ มันก็ปี 515
พูดอย่างง่ายก็คือ แซเฟียร์ยังไม่ใช่นายเหนือหัวของแวนเดล
‘หรือว่านี้จะเป็นโอกาสทอง?’
เขามีโอกาสเกณฑ์แวนเดลเข้ากำลังพล นอกจากเขาจะได้หนึ่งในขุนพลสุดโปรดแล้ว อิทธิพลของแซเฟียร์ก็จะน้อยลงในอนาคตด้วย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
อินกองหยุดความตื่นเต้นเอาไว้ แล้วนึกค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแวนเดลจากภายในหัวของเขา
ของกำนัลที่แวนเดลชื่นชอบ โอเกอร์ตัวเมียที่มันคลั่งไคล้ ลักษณะพิเศษทั้งหลายของมัน
และเงื่อนไขสำคัญที่สุดในการเกณฑ์แวนเดล!
อินกองถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นั่นเพราะเขาต้องเอาชนะแวนเดลในการต่อสู้ตัวต่อตัว
แวนเดลจะยอมสวามิภักดิ์เข้ากับเจ้านายที่แกร่งกล้าเท่านั้น
‘ทำได้แค่เฝ้ามองไปก่อนละนะ’
ยังไงเขาก็ยังพอมีเวลาเหลือก่อนที่จะถึงปี 515
“องค์ชาย?”
คารัคเรียกอินกองด้วยความเป็นห่วง เขาตื่นเต้นขึ้นมาอย่างกระทันหัน แต่แล้วกลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เป็นธรรมดาที่จะทำให้คารัคสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“อ่า ผมคิดถึงข่าวลือเกี่ยวกับแม่ทัพแวนเดลนะ เขามีกองทหารเยอะขนาดไหนหรือ?”
คารัคตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เขามีกองกำลังทั้งหมดราว 3000 นาย ระหว่างที่เรากำลังตัดกำลังเสริมของพวกมัน แม่ทัพแวนเดลได้นำทัพบุกยึดกองบัญชาการของเผ่าสายฟ้าชาด”
อินกองนึกภาพตามขึ้นมาในหัว กองกำลังของเผ่าสายฟ้าชาดอยู่กระจายไปตามจุดต่างๆ
‘แสดงว่านี่เรากระจายกองกำลังล้อมพวกมันเอาไว้’
สนามรบของพวกเขาอยู่กระจายกันออกไป เขาจึงไม่มีโอกาสพบแวนเดลสักพัก
‘ตอนนี้ต้องมุ่งความสนใจไปที่เคทลินก่อนละนะ’
ผู้พิชิตพี่สาว Gotta Catch’em All อุ๊บส์ โทดๆ
ในตอนนี้ ทั้งคริสต์และเคทลินต่างมีความสำคัญมากกว่าแวนเดล
“ข้าดีใจที่แกดูสบายดี พักผ่อนให้เยอะซะละ”
คารัคหัวเราะอย่างสบายใจแล้วเดินออกจากกระโจม แต่แล้วอินกองก็รีบคว้าแขนคารัคไว้
เปิดโอกาสให้สาว Y จิ้นซะ องค์ชายกับออร์คใหญ่ในกระโจม ( ͡° ͜ʖ ͡°)
“คารัค!”
“มีอะไร?
คารัคหันมาถาม อินกองลูบท้องของตัวเอง
“ผมหิวข้าว”
เขาไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง
คารัคพยักหน้ารับ แล้วเดินออกจากกระโจม
&
ในเช้าวันถัดมาอินกองไปพบกับสองพี่น้องไลแคนโทรป
“ห้ามทำแบบนั้นอีกเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
สีหน้าของเคทลินแข็งกร้าวมาก เป็นสีหน้าเดียวกับที่ใช้เผชิญหน้ากับแซเฟียร์ในเกม
คริสต์ยังคงหัวเราะอย่างร่าเริง
“เมื่อวาน นายทำเธอตกใจมากเลยรู้ไหม? นี่ถ้านายไม่ตื่นขึ้นมาจริงๆละก็ เราโดนเธอฆ่าตายแน่”
“อบป้า!”
เคทลินจ้องเขม็งทำให้คริสต์หยุดพูดแต่เพียงเท่านั้น แต่เขายังคงส่งสายตาขี้เล่นออกมา
ถึงสีหน้าของเคทลินจะเย็นชาเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับแซเฟียร์ก็ตาม แต่แววตาของนางแสดงให้เห็นถึงความห่วงใย นั่นทำให้อินกองประหลาดใจอย่างมาก เขาพยายามที่จะกลั้นหัวเราะเอาไว้
“ฮะ ฮะ ผมไม่เป็นอะไร แล้วก็ผมต้องขอบคุณนูนะมากกว่า ที่ทำให้ผมปลุกลมปราณขึ้นมาได้”
สิ้นเสียงอินกอง ทั้งคู่ได้แต่หยุดจ้องมองเขาราวกับแข็งเป็นหุ่น เคทลินกระพริบตาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ในขณะที่คริสต์ลุกขึ้นอย่างกระทันหันจากที่นั่งของเขา
“อย่าบอกนะ?”
คริสต์เดินนิ่งๆมาอยู่ตรงหน้าอินกอง เขาจับข้อมือของฉัตรในลักษณะตรวจชีพจร
ลมปราณสีแดงจำนวนมากเข้าปกคลุมมือของคริสต์ และในทันใดนั้น อินกองก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างในตัวเขามีการตอบสนองขึ้น
“ไอ้หนูนี่ มันทำได้จริง?”
คริสต์พูดขึ้นมาอย่างตกใจ เขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
“นี่นายปลุกลมปราณขึ้นมาได้ด้วยวิธีนี้จริงๆ?”
คริสต์บ่นพึมพำอย่างเหลือเชื่อ อินกองหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ไม่เชิงครับ แต่การได้สัมผัสกับลมปราณโดยตรง ถือเป็นส่วนสำคัญเลยทีเดียว”
เขาเรียนรู้ลมปราณหลังจากที่โดนอัดด้วยลมปราณ จะให้บอกไปตรงๆแบบนั้น มันก็กระไรอยู่
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนูนี่มันสุดยอดไปเลยวะ ใครจะคิดว่ามันจะเป็นเสือซ่อนเล็บ”
ฉายาของฉัตรก็คือองค์ชายไร้น้ำยา ฉัตรเป็นองค์ชายที่อ่อนแอกว่า นาย ก นาย ข เสียด้วยซ้ำ
แต่ในขณะนี้ เขาเพิ่งจะปลุกลมปราณขึ้นมาด้วยตัวเอง? ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ นั่นเป็นหลังจากที่เขาได้ลองสัมผัสกับลมปราณเพียงแค่ครั้งเดียว
“ฉัตร ไหนลองดึงเอาลมปราณออกมาใช้ซิ ฉันจะช่วยเอง”
เคทลินที่ดึงสติกลับมาได้พูดกับอินกอง น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความตื่นเต้น
‘ดึงเอาลมปราณออกมา? หรือว่าเธอจะหมายถึงวิธีการใช้ลมปราณ?’
การปลุกลมปราณขึ้นมาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
อันที่จริง นี่แทบจะไม่ต่างกับการที่มีลมปราณหลับไหลอยู่ภายในตัว มันเป็นเพียงการเตรียมพร้อมสำหรับการนำลมปราณออกมาใช้งานจริง
ขั้นตอนต่อมาคือการดึงเอาลมปราณออกมาใช้
หรือที่เรียกในอีกชื่อหนึ่งก็คือ การใช้กำลังภายใน
มีวิธีการใช้กำลังภายในที่หลากหลาย แต่หลักการพื้นฐานก็คือ การกระจายลมปราณไปทั่วร่างกายให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และทรงพลังยิ่งขึ้น การใช้กำลังภายในจะสามารถเพิ่มพลังให้ร่ายกายทรงพลังขึ้นอย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับที่แขนอันบอบบางของเคทลินสามารถส่งพลังอันมหาศาลออกมาได้
ถัดมาอีกขั้น ก็คือการปลดปล่อยลมปราณออกมานอกร่างกาย
ลมปราณจะทยอยถูกผลักดันออกมานอกร่าง ซึ่งลมปราณเหล่านี้จะถูกส่งผ่านไปปกคลุมทั่วร่าง รวมถึงอาวุธทั้งหลาย อย่างที่เรียกกันว่า ออร่าเบลด(aura blade) ในเกมต่างๆ
ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการควบตัวของลมปราณ ในขั้นตอนนี้ จะเป็นการส่งพลังชีวิตเข้าไปในลมปราณที่ปลดปล่อยออกมานอกร่างกาย ทำให้สามารถเปลี่ยนรูปลักษณะได้ตามนึกคิดราวกับมีชีวิต
ขั้นนี้ก็คือสุดยอดเคล็ดวิชาลมปราณที่มนุษย์เรียกกันว่า พลังไท้เหี่ยง
ท่านกำลังอ่านนิยายแปลเกาหลีอยู่ กรุณาอย่าเพิ่งตกใจไป ท่านมิได้เข้าอ่านผิดเรื่องแต่อย่างใด
ส่วนตัวผมชอบเคล็ดเปลี่ยนเส้นเอ็นมากกว่านะ แต่เหมือนคนเขียนจะชอบวิชานี้เลยระบุชื่อวิชามาเลย ไม่งั้นก็คือ ผมแปลผิด ฮ่าๆ แต่ไม่มีผลอะไรมากครับ เพราะกล่าวถึงแค่ตอนนี้แค่นั้น หลังๆจะเป็นแนวเคล็ดวิชาลมปราณเผ่าสุร เผ่าไลแคนโทรป อะไรเทือกนี้
อย่างไรก็ตาม อินกองเพิ่งจะอยู่ในขั้นตอนการปลุกลมปราณเท่านั้น
แต่เคทลินกลับจะให้เขาลองดึงมันออกมาใช้ในทันที?
“เฮ่ ใจเย็นก่อน น้องเขาเพิ่งจะปลุกลมปราณขึ้นมาได้เมื่อวานเองนะ จะให้ดึงมาใช้เลยนี่มัน ต่อให้อัจฉริยะแค่ไหนก็ยังยากเลย”
คริสต์ส่ายหัวในความเป็นไปไม่ได้ที่เคทลินพูดถึง ทว่าเคทลินก็ไม่หวั่นไหว
“ลองดูก่อนสักครั้งก็ยังดี”
เธอจับมืออินกองเบาๆ อินกองกระพริบตาด้วยความงงงวยกับสัมผัสอันนุ่มนวล
โดยปกติแล้ว นักรบที่แข็งแกร่งมักจะมีมือที่ค่อนข้างหยาบกระด้าง แต่มือของเคทลินไม่เป็นเช่นนั้น แม้อินกองจะตกใจ มันก็เป็นเพียงแค่ในมุมมองของนักเรียนที่กำลังเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น เขาเพียงแค่ตกใจกับสัมผัสอันนุ่มนวลที่ได้รับ
‘รู้สึกดีแฮะ’
หน้าของเขาเริ่มมีสีแดงระเรื่อ โชคดีที่เคทลินมัวสนใจที่มือของเขาเลยไม่ทันเห็น
“ฉันจะทำให้ดูก่อน แล้วลองทำตามนะ”
เคทลินสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วหลับตาลง
‘ขนตายาวจัง!’
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดในขณะที่ลมปราณสีฟ้าทยอยปกคลุมร่างของเขา
เขาพยายามเคลื่อนลมปราณตามเคทลิน
มันอาจจะเป็นไปได้ หากอินกองเป็นอัจฉริยะตัวจริง แต่เขาไม่ใช่
หลังจากที่เขาหลับตาตั้งใจกับความพยายามอันไม่เป็นผล เขาก็เปลี่ยนใจพลางชำเลืองมองเล็กน้อย
คริสต์กำลังจ้องมองไปที่เคทลิน ในขณะที่เคทลินก็หลับตาจดจ่ออย่างมีสมาธิ
‘แกล้งให้พวกนี้ตกใจเล่นดีกว่า!’
นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดเสียทีเดียว ในตอนนี้แล้ว ลมปราณถือเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับอินกอง มันมีเวลาน้อยเกินไปที่จะให้เขาค่อยๆฝึกทีละนิด
[ลมปราณ ขั้น2]
อินกองใช้แต้มของเขาเพิ่มขั้นให้วิชาลมปราณ นั่นทำให้เคทลินลืมตาขึ้นจากการสัมผัสถึงบางอย่าง
อินกองขับเคลื่อนพลังลมปราณตามที่เคทลินแสดงให้ดู จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนย้ายตามใจนึก
เคทลินอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ แค่นี้ก็เกินพอที่จะให้เธอกล่าวชมเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
‘แต่มันยังไม่สามารถเอาไปใช้ในการต่อสู้จริงได้ เราคงโง่มากถ้าหยุดแค่นี้’
[ลมปราณ ขั้น3]
แสงสีขาวปรากฎขึ้นมาเล็กน้อยตรงบริเวณที่มือของทั้งคู่เชื่อมโยงกัน เคทลินตัวแข็งทื่อไปเลยในขณะคริสต์ที่ดูอย่างห่างๆแสดงสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก
“นี่มัน โคตรอัจฉริยะ?”
เขาเพิ่งจะปลุกลมปราณขึ้นมาเมื่อวาน และในตอนนี้เขาก็เข้าถึงพื้นฐานของการปลดปล่อยมัน
แท้ที่จริงแล้ว ถึงแม้อินกองจะมีวิชาลมปราณถึงขั้น3 แต่เขาก็ยังไม่เชี่ยวชาญการใช้กำลังภายใน
ขั้นตอนในการควบคุมกำลังภายในและปลดปล่อยลมปราณ ทั้งคู่เป็นการฝึกที่ต้องทำไปควบคู่กัน อินกองเข้าใจเพียงแค่พื้นฐานของทั้งสองขั้นตอนเท่านั้น
ถึงจะแค่นั้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ปกติ ขนาดเผ่าไลแคนโทรปที่มีความสามารถสูงอย่างคริสต์ แม้จะมีปรมาจารย์คอยให้คำแนะนำ เขาก็ยังต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าที่จะมาถึงขั้นนี้ได้
“สุดยอด”
เคทลินอุทานออกมา เธอมองอินกองด้วยสายตาเป็นประกายพร้อมกับหัวเราะร่า
“นี่มันสุดยอดมาก!”
‘อุก ยังกับเป็นตราบาปยังไงยังงั้นเลย’
รอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเคทลินทิ่มแทงจิตใต้สำนักของอินกอง เขาแอบชำเลืองมองดูคริสต์ ผู้ที่มีสภาพเหมือนวิญญาณลอยหลุดจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อย
‘เราควร…จะรู้สึกผิดสินะ?’
อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นเรื่องดี
อินกองมองกลับไปที่เคทลินด้วยรอยยิ้ม อย่างลูกผู้ชาย
ไอ้ขี้โกงงงงงงงงงงง
คำฝากจากผู้แต่ง:
ข้อที่ 1) สเน่ห์ต่างออกไปจากรูปลักษณ์ อย่างเช่นคนทั่วไปจะชอบคนที่หน้าตาดี แต่ก็มีบ้างที่ถึงจะหน้าตาธรรมดา แต่ก็รู้สึกดีเวลาได้อยู่ใกล้ แบบนั้นแหละ
ข้อที่ 2) จะมีมาเรื่อยๆแต่ก็คือ เวลาใช้แต้มเพิ่มขั้นทักษะ ในแต่ละขั้นจะใช้แต้มไม่เท่ากัน แล้วก็ขึ้นอยู่กับทักษะนั้นๆด้วย ทักษะพื้นฐานอย่างพวก ลมปราณ พลังจิต เวทมนตร์ รัศมีเทพ จะใช้แต้มมากว่าทักษะอื่นๆ
นิยายเรื่องนี้เริ่มมีการเก็บตังในการอ่านเล็กน้อยในเว็บหลักที่เป็นภาษาเกาหลีของ munpia แล้วนะครับ ใครอยากสนับสนุนคนเขียนก็ไปกดเล่นๆ ไม่ต้องอ่านก็ได้ ฮาาา
เนื้อเรื่องหลักคนเขียนเขียนจบไปแล้วนะครับ แต่ทยอยมีเนื้อเรื่องเสริมออกมา จะแปลมาก่อนเลยก็ไม่ได้เพราะจะเป็นการสปอยล์อะไรหลายๆอย่าง