“ถ้าติดเสียงกระดิ่งไว้กับเตาอบเลยก็น่าจะดีกว่าติดไว้กับนาฬิกาทรายนี่นา ถ้าใส่ฟังก์ชันให้เตาอบหยุดทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อหมดเวลาก็คงจะดีด้วย”
“ทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าเปิดเตาอบขึ้นใหม่ก็จะเผาผลาญหินเวทมนตร์ไปแบบมหาศาล เพราะงั้นในพระราชวังถึงใช้เตากันแบบเปิดทิ้งไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมงตลอดปี”
“อ่าฮะ”
“ไม่ต้องทำเป็นเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจก็ได้”
พาเวลล์จงใจพูดแบบนั้น แต่เด็กหญิงเพียงแค่หัวเราะ ราวกับว่าเข้าใจแต่ไม่อยากดันทุรังต่อปากต่อคำ สีหน้าของพาเวลลล์บูดบึ้งอย่างประหลาด
ในระหว่างนั้น นาฬิกาทรายก็ร้องเตือนว่าเวลาครบแปดนาทีแล้ว
กลิ่นหอมหวานที่ลอยฟุ้งต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อสักครู่ ทำให้พาเวลล์ผู้ซึ่งกำลังกังวล รีบเปิดเอาแบทเทอร์ออกจากเตา
เค้กสีดำด้านในถ้วยเซรามิคสีขาว ปริแตกอย่างงดงามทำให้มองเห็นรอยแยก กลิ่นหอมหวานปนขมนิดๆ ลอยมาเตะจมูก
“อู๊ว… ว้าววว”
พาเวลล์เกือบจะอุทานออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ทว่าเสียงอุทานที่เด็กหญิงโพล่งออกมาก่อนหน้าเขาก็ทำให้รักษาหน้าเอาไว้ได้
“อะ… อะไรเนี่ย ยัยเด็กจิ๋ว เธอทำเองแท้ๆ แล้วทำไมต้องอุทานด้วย”
“ก็เพิ่งลองทำครั้งแรกนี่”
“..ครั้งแรกเหรอ”
พาเวลล์ย้อนถาม เด็กหญิงจึงพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกมาจากเค้กที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว
“บ้านฉันยากจนมากเลยน่ะสิ… จริงๆ ก็เพิ่งเคยเห็นน้ำตาลกับครีมของจริงเป็นครั้งแรก”
ชั่วขณะหนึ่ง พาเวลล์ถึงกับลืมว่าควรต้องพูดเรื่องอะไร
เสื้อผ้าที่เด็กหญิงสวมใส่ดูมีราคาแพงมหาศาล เขาจึงคิดไม่ถึงว่าจะมีภูมิหลังแบบนั้น
แต่เพียงแค่ได้เข้ามาในพระราชวัง หากมีเล่ห์เหลี่ยมสักหน่อยก็สามารถเอาเสื้อผ้าแบบนั้นไปได้แล้ว ไม่ว่าจะใช้ชีวิตมาอย่างไรจนถึงตอนนั้นก็ตาม
ทว่าในขณะเดียวกัน ความจริงเรื่องอื่นๆ ก็พากันโผล่ขึ้นมาในหัว
บอกว่าเห็นน้ำตาลกับครีมเป็นครั้งแรก แล้วทำไมถึงทำขนมที่ดูเข้าท่าได้ในทีเดียวแบบนี้…
ในตอนนั้น เด็กหญิงก็กระโดดฮวบลงมาจากลังไม้แล้ววิ่งไปด้านใน
“ฮะ… เฮ้ยๆ จะไปไหน!”
“อันนี้!”
สิ่งที่เด็กหญิงหามาจากมุมหนึ่งคือก้านสมุนไพรที่มีใบสีเขียวขนาดเท่าเล็บมือเด็กติดอยู่
“จะใช้อันนั้นทำอะไร”
เด็กหญิงตัดใบมันฉับๆ แล้ววางลงไปบนเค้กช็อกโกแลตลาวาที่เสร็จเรียบร้อยทีละอัน
เค้กสีเข้มที่บรรจุในถ้วยเซรามิคสีขาว เมื่อมีใบสมุนไพรสีเขียวอ่อนวางอยู่ด้านบนหนึ่งใบ เพียงแค่นั้นก็ดูดีขึ้นมามากทีเดียว
พาเวลล์มัวแต่อดกลั้นเสียงอุทานเอาไว้ในใจจึงส่งเสียงในลำคอออกมาแทน
อบเสร็จออกมาตกแต่งอย่างสวยงามแล้วเรียบร้อย คราวนี้ก็ถึงเวลาที่จะลองกิน ทั้งเด็กหญิงทั้งพาเวลล์ต่างก็กำช้อนไว้ในมืออย่างฉับไว
“พาเวลล์ก็จะกินเหรอ”
“ของที่ทำมาจากครัวของฉันต้องผ่านปากฉันทั้งหมด”
“พาเวลล์ ไม่มีใครยึดครัวไปหรอกนะ ไม่ต้องระวังขนาดนั้นก็ได้”
“…”
พาเวลล์นิ่งเงียบ เขารอให้ถ้วยร้อนๆ เย็นลงนิดหน่อยแล้วจึงกดช้อนจมลงไป
ด้านนอกกรอบจนเป็นรอยแตกเล็กน้อย ช้อนกดลงไปในรอยแยกนั้นอย่างนุ่มนวล แล้วสิ่งที่เหมือนกับซอสก็ไหลเยิ้มออกมาอย่างเข้มข้น
“อะไรกัน ยังไม่สุกนี่”
“เฮ้อ อันนี้น่ะ ปกติเขากินกันเหมือนครีมแบบนี้”
“…”
คำพูดของเด็กหญิงฟังดูไม่เหมือนกับกุเรื่องขึ้นมา เด็กหญิงไม่รอดูปฏิกิริยาตอบรับของพาเวลล์ เธอหายใจลึกครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอาช้อนเข้าปาก
“ฮื่อออ…”
อาเซียหลับตาลงแล้วเพลิดเพลินไปกับความประทับใจอย่างสุดขีด
นานมากจนจำแทบไม่ได้แล้วจริงๆ ที่ไม่ได้กินขนมที่มีส่วนผสมของเนยกับน้ำตาลอย่างไม่กลัวเสียดายแบบนี้
ก่อนมาเกิดใหม่ก็แทบไม่เคยทำขนมอย่างจริงๆ จังๆ เลย เธอไม่มีเวลาทำ เงินทองที่จะซื้อกินก็ยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่
อาเซียทำสีหน้าผ่อนคลายครู่หนึ่งแล้วรีบตักมันเข้าปากเพิ่มอีกช้อน
ถ้ามีกาแฟสักแก้วก็จะเข้ากันดีมากๆ
คงเพราะวัตุดิบคุณภาพดีมากเนื่องจากเป็นห้องครัวในพระราชวัง ถึงแม้ว่าจะเป็นเค้กที่ทำด้วยฝีมืออันไม่เชี่ยวชาญของตนเอง แต่พอได้กินหนึ่งคำก็ยังรู้สึกเหมือนทั้งร่างหลอมละลาย
อร่อยเกินไปแล้ว
ใช้ชีวิตแบบไม่มีจะกินมากเกินไป พอได้กิน มันก็เลยไปกระตุ้นร่างกายรุนแรงไปหน่อยหรือเปล่านะ จะว่าไปแล้ว ใส่ครีมเพิ่มอีกสักนิดก็น่าจะพอ
ช็อกโกแลตที่ใช้ในครั้งนี้รสเข้มมาก คงเพราะมีปริมาณโกโก้สูง แต่พอทำออกมาแล้วกลับทิ้งรสขมปลายนิดๆ ไว้ให้รู้สึกดี
แต่ถ้าทำให้หวานแล้วก็นุ่มกว่านี้อีกนิดก็น่าจะไม่เลวเลย
จากนั้น อาเซียก็จัดการเค้กช็อกโกแลตลาวาที่ตัวเองทำเป็นครั้งแรกรวดเดียวจนหมดเกลี้ยงไปครึ่งหนึ่ง และเมื่อเงยหน้าขึ้น พาเวลล์ก็กำลังทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจอย่างแท้จริง
ช้อนชากับเค้กช็อกโกแลตลาวาในมือใหญ่ของเขาดูแทบจะเหมือนกับเป็นของเล่น แต่มวลแสงสีส้มดูคล้ายรัศมีกลับแผ่กระจายออกมาเป็นระลอกคลื่น
อาเซียขยี้ตาของตัวเอง
นั่นมันอะไรน่ะ
“นี่…จะต้องพูดว่าอะไรดีนะ”
“หือ อ่า คือ…”
อาเซียตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่ง แต่อย่างไรก็เป็นคนที่จะได้เจอกันแค่ครั้งเดียว เธอจึงตัดสินใจที่จะพูดออกไปแบบหน้าไม่อาย
“ดีล่ะ! เรียกมันว่าพาเวลล์ช็อกโกล่ากันเถอะ”
“…ว่าอะไรนะ ยัยเด็กจิ๋ว”
“ยังไงฉันก็เป็นคนทำมัน ก็ต้องเรียกตามที่ฉันชอบสิ พาเวลล์ช่วยทำ ฉันจะใส่ชื่อพาเวลล์เข้าไปด้วยแล้วกัน”
“เอาชื่อหัวหน้าคนครัวประจำราชวงศ์ไปเรียกอย่างอื่นไปทั่วได้ที่ไหนล่ะยัยหนู!”
อาเซียทำหูทวนลมแล้วตักเค้กอีกหนึ่งช้อน
ใจที่เคยล่องลอยไปมาตลอดทั้งวันนี้กลับอุ่นซ่านขึ้นด้วยเค้กช็อกโกแลตลาวาอุ่นๆ ที่ตักเข้าปากเพียงอย่างเดียว
อาเซียซึ่งจัดการเค้กหมดไปครึ่งหนึ่งด้วยแก้มที่แดงขึ้นเนื่องจากความร้อนของเตาอบ จ้องมองพาเวลล์ด้วยใบหน้าจริงจัง
พาเวลล์ทำเสียงดัง “อึก” พร้อมก้าวถอยหลัง
“อะไรอีก!”
“นม นมเย็น”
“อ่า…”
นมสีขาวเย็นชื่นใจกับเค้กช็อกโกแลตอุ่นๆ แค่พูดก็คงทำให้จินตนาการถึงความเข้ากันนั้นได้ พาเวลล์จึงเทนมใส่แก้วมาโดยไม่ได้พูดอะไร เป็นจำนวนสองแก้ว
อาเซียจัดการเค้กช็อกโกแลตหนึ่งถ้วยจนเกลี้ยงโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็ซาบซึ้งในรสชาติอยู่ครู่หนึ่ง
“…ว่าแต่ไม่มีผลไม้เหรอ”
“นี่เป็นห้องครัวประจำพระองค์ขององค์ชายรัชทายาท จะไม่มีของแบบนั้นได้ยังไงเล่า มันแยกเก็บไว้ในห้องเก็บผักผลไม้”
“ที่นั่นมีส้มด้วยหรือเปล่า”
“มีอยู่แล้วสิ จะเอามาทำอะไร…”
พาเวลล์พูดถึงตรงนั้นแล้วรีบปิดปากฉับ
เมื่อนึกถึงรสชาติของผลไม้ที่ประกอบไปด้วยรสเปรี้ยวหวานกำลังดี ซึ่งเข้ากันกับเค้กช็อกโกแลตที่มีรสหวานอมขมนิดๆ น้ำลายก็ไหลเยิ้มทั่วทั้งปากในทีเดียว
“…จะทำอะไรยังไงบ้างล่ะ”
“ถ้าทำเค้กนี้ด้วยน้ำตาลที่เอาไปคลุกกับเปลือกส้มนิดหน่อยเพื่อให้มีกลิ่นซึม ก็น่าจะอร่อยไม่ใช่เหรอ”
“…!”
พาเวลล์กับอาเซียสบตากันแล้ววิ่งฉิวไปทางด้านห้องแช่เย็นอย่างพร้อมเพรียง
***
“ท่านหัวหน้าคนครัวมาร์ก้า! ของว่างที่จะนำไปถวายฝ่าบาทตอนนี้… ท่านหัวหน้าคนครัว?”
มหาดเล็กวิ่งมาอย่างเหนื่อยหอบ เขาหยุดยืนในครัวไร้ผู้คนที่มีความร้อนจากเตากับกลิ่นหอมหวานอบอวลอยู่ จากนั้นก็กวาดตามองดูรอบข้าง
มีคำสั่งลงมาจากเบื้องบนว่าให้นำอาหารว่างไปเดี๋ยวนี้จึงเร่งด่วนมากๆ แต่หัวหน้าคนครัวกลับหายตัวไปอย่างไร้วี่แวว มีเพียงคัปเค้กสี่ถ้วยที่อบเสร็จแล้ววางเรียงอยู่เท่านั้น
มันยังมีควันโชยออกมา ดูท่าว่าคงอบไปเมื่อสักครู่นี้เอง
“อะไรกัน ท่านหัวหน้าคนครัว จัดเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าแล้วไม่ใช่เหรอ ค่อยโล่งใจหน่อย”
บนเค้กสีน้ำตาลเข้มจนแทบเห็นเป็นสีดำมีใบไม้สีเขียววางอยู่ คงวางเพื่อตกแต่ง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้เพื่อดมกลิ่น กลิ่นหอมมันและดูมีรสนิยมอย่างประหลาดก็ลอยฟุ้งขึ้นมา
มันคือเค้กที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่มหาดเล็กก็จัดเค้กใส่ถาดสองถ้วยอย่างไม่สงสัยอะไร
มหาดเล็กครุ่นคิดว่าจะนำอะไรไปเป็นเครื่องดื่ม แต่เมื่อมองเห็นแก้วนมที่เหลือครึ่งแก้วกับถ้วยเค้กว่างเปล่าสองใบ เขาจึงรินนมใส่แก้วแล้วจัดใส่ถาดทันที
มหาดเล็กออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าตอนเข้ามา
***
ปู่ของอเล็กเซย์หรือสมเด็จพระจักรพรรดิมิคาอิล กวาดสายตามองรายงานด้วยท่วงท่าสง่างามซึ่งมีร่องรอยของการผ่านกาลเวลา
อเล็กเซย์ตอบคำถามขององค์จักรพรรดิเสร็จแล้ว และกำลังรอคอยการประเมินจากปู่ของตนท่ามกลางความเงียบงัน
“สงครามกับเอลฟ์น็อคทิสก็ยุติกันได้เสียที คาร์โน นอยสแตทเตอร์พยายามได้ดีทีเดียว”
องค์จักรพรรดินึกถึงดวงตาสีม่วงอันเย็นชาที่ไม่อาจคิดได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มในวัยเดียวกันกับอเล็กเซย์ซึ่งตอนนี้น่าจะอายุสิบห้าปีแล้ว
ตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นทำพันธสัญญากับ ‘ดวงวิญญาณแห่งความตาย’ ราวกับว่าลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักขนาดใหญ่ลูกหนึ่งมันเอนเอียงไป
และลูกตุ้มลูกนั้นก็เอนไปอยู่ด้วยกันกับหลานชายตรงหน้าเขาในตอนนี้
“แต่ในกลุ่มคนที่คาร์โนไว้ชีวิต มีทาสอยู่คนหนึ่งนี่ แล้วเธอก็เขียนว่าให้ประทานอภัยโทษทาสคนนั้น”
พระจักรพรรดิเอียงศีรษะพร้อมกับถาม อเล็กเซย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลโดยไร้ซึ่งความหวั่นไหว
“เขาเป็นเด็กอายุเกือบจะสิบขวบพ่ะย่ะค่ะ ความผิดของพ่อแม่รุนแรงมาก แต่เขาก็อยู่เป็นทาสรับใช้ของอีกอร์ อะคินเฟ และเพียงแค่ปักผ้าตามที่เจ้านายสั่งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“การที่พวกนั้นสั่งให้ปักผ้า เป็นการทำสัญลักษณ์ที่ใช้เรียก ‘ความมืด’ ให้เข้ามา เธอจะบอกว่าการไม่รู้ไม่ใช่ความผิดอย่างนั้นเหรอ”
“…หากความไม่รู้คือความผิด ก็เป็นบาปกรรมของชนชั้นปกครอง ไม่ใช่บาปกรรมของชนชั้นต่ำไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“สิ่งที่คนเขลาคนนั้นเย็บปัก คร่าชีวิตราษฎรของเราไปสามร้อยคน เรื่องนั้นจะทำยังไงดีล่ะ”
“สิ่งที่สังหารผู้คนคือคนที่มีประสงค์จะทำแบบนั้น หาใช่ฝีมือของมีดดาบพ่ะย่ะค่ะ ทรงลงโทษคนที่ตั้งใจสังหารเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“สัตว์ที่กัดขย้ำผู้คนย่อมถูกฆ่าทิ้ง มีดที่ฟันแทงผู้คนก็ย่อมถูกหักแล้วนำไปหลอมในเตาหลอมเหล็กเช่นกัน”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของอเล็กเซย์ไม่ลบเลือนหายไป ทว่าไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา
พระจักรพรรดิวัยชราปริปากพูดขึ้นราวกับหัวเราะเยาะ จากที่เคยทอดมองอีกฝ่ายนิ่งๆ
“ต่อให้ไว้ชีวิตชนชั้นต่ำคนนั้น แล้วคิดว่าเขาจะซาบซึ้งน้ำตาไหลกับบุญคุณของเธอเหรอ”
“กระหม่อมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นพ่ะย่ะค่ะ พ่อแม่ของชนชั้นต่ำผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้วด้วยบาปที่ตนเองไม่รู้อะไรเลย อีกอร์ อะคินเฟผู้เป็นคนสั่งให้ทำแบบนั้นก็ฉีกแขนขาทั้งสองข้างแล้วฆ่าให้ตายไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้างั้น ไว้ชีวิตเด็กคนนั้นแล้วจะทำยังไง”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
องค์จักรพรรดิเอียงศีรษะ
“พ่อแม่คือคนนำพา ‘ความมืด’ มา แล้วถูกตัดหัวประหารชีวิตด้วยความผิดที่เป็นไส้ศึกให้เอลฟ์น็อคติส เขาน่าจะใช้ชีวิตอยู่ทางตอนเหนือไม่ได้อีกต่อไป และถึงแม้จะเป็นทาสในหน่วยงานราชการไหน ก็น่าจะไม่มีใครใช้งาน”
“…!”
“ต่อให้เข้าไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็ก พวกเด็กกำพร้าก็น่าจะใช้หินทุบตีเขาจนตาย ส่วนพ่อแม่ที่จะรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมก็น่าจะไม่มีอยู่ในโลกนี้เลยแม้แต่คนเดียวเช่นกัน ถ้าไว้ชีวิตแล้วจะทำยังไงล่ะ ยังไงก็คงจะต้องอดอยากนอนตายอยู่บนพื้นถนน”
“…”
คำพูดของพระจักรพรรดิวัยชราเย็นชามากเกินไปจนดูทะนงตัว
ในระหว่างที่อเล็กเซย์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พระจักรพรรดิวัยชราก็เท้าคางแล้วพูดต่อ
“ดีล่ะ เธอบอกว่าทาสคนนั้นอายุสิบขวบใช่ไหม เห็นว่าตอนนี้ลูกสาวของยูเลียก็สิบขวบเหมือนกัน อายุเท่าๆ กันก็น่าจะสนิทกันง่ายใช่ไหมล่ะ”
“…ท่าน…ปู่…”
“ลูกสาวของยูเลียดูเหมือนจะตัวเล็กและอ่อนแอ แต่ก็ดูฉลาดหลักแหลม เพราะฉะนั้นเราจะให้อยู่ในวังต่อไป ส่วนเด็กทาสที่เธอไว้ชีวิต เราจะเลี้ยงไว้ให้เป็นทาสของลูกสาวของยูเลีย ถึงแม้ไม่รู้ว่าเจ้าชนชั้นต่ำคนนั้นจะตัดสินใจทำเรื่องชั่วร้ายแล้วฆ่าลูกสาวของยูเลียเป็นการแก้แค้นหรือเปล่าก็เถอะ”
รอยยิ้มที่เหมือนกับใส่หน้ากาก เลือนหายไปจากใบหน้าของอเล็กเซย์เป็นครั้งแรก นัยน์ตาสีฟ้าดูเย็นยะเยือก
ดวงตาของจักรพรรดิสูงวัยที่คล้ายคลึงกันกับหลานชายทอแสงวาววับและสบมองกับหลานผู้นั้น