ตอนที่ 257 – ก่อเกิดตานสำเร็จ
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่านี่คือความฝันหรือไม่
แต่ปลายนิ้วอบอุ่น อากาศหอมหวาน
“ท่านป้า!”
นางหันศีรษะไป เห็นเจินจีวิ่งมาหานาง ยังคงตัวเล็ก ๆ ไม่มีท่าทางของผู้ใหญ่
นางรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง แต่เจินจีพุ่งมาถึงตรงหน้านางแล้ว หัวเราะฮี่ ๆ กอดแขนของนาง ความรู้สึกอ่อนโยนเช่นนี้เป็นความจริงแท้
“ท่านป้า ท่านไปไหนมา ข้าหลอมรวมพลังวิญญาณห้าชั้นแล้วนะ!” เยี่ยเจินจีตัวเล็ก ๆ อวดโอ่เช่นนี้
นางยิ้ม “ข้า….ไปฝึกตน” คล้ายจะเป็นดังนั้นใช่หรือไม่ นางยังจดจำได้ถึงความรู้สึกว่าพลังวิญญาณอิ่มเอิบ หายใจเข้าหายใจออก
เยี่ยเจินจีดึงนาง ยิ้มกล่าวว่า “ท่านป้า เจ้าเอาแต่ฝึกตน ๆ ตลอดเลย ไม่รู้สึกน่ารำคาญเลยหรือ ซือจู่บอกว่าเรื่องการงานต้องถ่วงดุลระหว่างทำงานกับพักผ่อน จะฝึกตนตลอดเวลาก็ไม่ดี ท่านไปเล่นกับข้าเถอะ”
“นี่….” นางพูด “ซือจู่มีวิธีการฝึกตนของซือจู่ แต่ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ล้วนนำไปใช้ได้ ป้าเพียงสนใจในการฝึกตน การฝึกตนเป็นเรื่องที่ป้ารู้สึกว่ามีความสุขที่สุด”
“แต่ว่า….” เยี่ยเจินจีตัวเล็ก ๆ ก้มหน้าลง
นางหัวเราะแล้วดึงเสี่ยวหั่วออกมาจากกระเป๋าสัตว์วิญญาณ “เอ้า เสี่ยวหั่วจะไปเล่นกับเจ้า ดีหรือไม่ เจ้าไปหาฮัวหลิง พวกเจ้าไม่ใช่ว่าเล่นด้วยกันหรอกหรือ”
“…..ขอรับ”
เยี่ยเจินจีหายไปในพริบตา คล้ายกับว่าหายไปในความว่างเปล่า นางกลับไม่รู้สึกผิดปกติแม้แต่ครึ่งส่วน
นางก็ไม่ได้กลับไปฝึกตน ทว่าในทิวทัศน์วสันต์อันสว่างงดงาม เหยียบย่ำบนน้ำค้างยามเช้าตรู่ของยอดเขาชิงฉวน เดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมาย
นางรู้สึกว่าตนเองคล้ายกับไม่มีเรื่องอะไร แล้วก็คล้ายกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
สายลมพัดโชย ในอากาศมีกลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้าซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร มีคนเหยียบย่ำพื้นหญ้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา ฝีเท้ารวดเร็ว ท่วงท่าผ่อนคลาย
“มาแล้วทำไมไม่เรียกข้า” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบางเบา
นางเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้ม เอียงศีรษะไปด้านข้าง มองดูบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาท่วงท่าสงบนิ่งผู้นี้
คิ้วของเขาเข้มลึกดั่งเช่นจรดจากปลายพู่กัน รูปหน้าคมชัดดั่งเช่นใช้มีดสลัก แต่เครื่องหน้าของเขากลับอ่อนโยนและสง่างาม เป็นความอ่อนโยนและสง่างามที่ทำให้คนมองแวบเดียวก็จะยอมศิโรราบ
เขายิ้มกล่าวว่า “ก่อเกิดตานแล้ว?”
นางพยักหน้า “ก่อเกิดตานแล้ว”
ไม่มีการพูดอะไรอีก คนสองคนเดินหาอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วก็เดินเคียงกันบนพื้นหญ้าช้า ๆ
เดินผ่านลมวสันต์อันสว่างงดงาม เดินผ่านคิมหันต์อันเขียวขจี เดินผ่านแสงแห่งสารทอันตระการตา เดินผ่านเหมันต์อันเงียบงัน……
ปีแล้วปีเล่า
เดินจูงมือข้ามผ่านหลายร้อยปี นับปีที่เคลื่อนคล้อย เพียงพริบตาก็ผูกจิตวิญญาณแปลงเทพ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมนุษย์โลก
เขายิ้ม พูดว่า “ชั่วชีวิตเป็นเช่นนี้ดีหรือไม่”
“ชั่วชีวิต? หลังจากแปลงเทพ อย่างน้อยที่สุดก็มีอายุขัยเป็นหมื่นปี ชั่วชีวิตที่ท่านยินดีอย่างแท้จริงเป็นเช่นนี้หรือ”
“…..ยินดี ถ้าหากพวกเราสามารถทะยานขึ้นก็จะยังอยู่ด้วยกัน ถ้าหากไม่สามารถ เช่นนั้นชีวิตก็เป็นอย่างนี้เถิดนะ”
……………….
โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นมา จ้องมองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอันเวิ้งว้างว่างเปล่า มีเพียงนางคนเดียว
การดูดกลืนพลังวิญญาณยุติลงแล้ว ตลอดร่างสงบสันติ
หลังผ่านม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ นางไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับเงามืดของวัยเยาว์อีกแล้ว แต่ความลับในก้นบึ้งของหัวใจกลับถูกกระตุ้นให้ปรากฏออกมา โชคดีที่ท้ายที่สุดนางยังหลุดพ้นได้ ความฝันเป็นสิ่งสวยงาม แต่ความเป็นจริงก็ใช่ว่าจะเลวร้ายขนาดนั้น
ชั่วฟ้าดินสลายเป็นเพียงตำนาน จนทะเลแห้งเหือดก้อนหินอ่อนนุ่มก็เป็นสิ่งที่แม้แต่สตรีปุถุชนยังไม่เชื่อ มีเพียงมรรคาสวรรค์ที่ไม่แปรผัน วัฏจักรเวียนวน สรรพชีวิตถือกำเนิดอย่างไร้จุดสิ้นสุด
ลุกขึ้นมา โบกแขนเสื้อ พลังวิญญาณที่รุนแรงสายหนึ่งหมุนวนระหว่างแขนเสื้อ
นางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว
ยิ้มแย้มบางเบา ทิ้งจิตมารเหล่านั้นที่ทำให้นางเคยหมกมุ่นไว้ในอดีต ออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
ขณะที่กำลังจะวางเล่ห์กลบางอย่างสร้างสิ่งที่คล้ายคลึงกับมายาสวรรค์ของการก่อเกิดตานมาหลอก กลับได้ยินเสียงฟ้าร้องที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นกลางอากาศ เสียงของวายุอัสนีร้องคำราม เมฆรวมตัวลมพัดกระโชก แสงวิญญาณวูบวาบ
ฉินซีผุดลุกขึ้นทันที จิตหยั่งรู้แผ่ขยาย แสดงสีหน้าที่ทั้งยินดีและจนใจ พึมพำออกมาว่า “นาง…..ก่อเกิดตานสำเร็จแล้ว…..”
ไม่เหมือนกับตอนที่นางสร้างฐานพลัง ตอนนั้นพลังวิญญาณรวมตัวเมฆมงคลก่อตัว วันนี้ตอนก่อเกิดตานกลับเป็นวาตะเมฆาสุดลูกหูลูกตา อัสนีคำรณดั่งแสดงความยินดี
พวกเขาล้วนไม่รู้ว่ารากวิญญาณต้นกำเนิดของยุคปฐมกาล ศาสตร์แห่งต้นกำเนิดของยุคปฐมกาล แล้วยังบวกกับสภาพแวดล้อมในการฝึกตนของยุคปฐมกาล เงื่อนไขในการก่อเกิดตานของโม่เทียนเกอรวมกันว่าจึงจะมีมายาสวรรค์อันกล้าแกร่งเช่นนี้ เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่งที่เจ็ดยอดเขาทั่วทั้งเขาไท่คังล้วนถูกปกคลุมอยู่ในม่านเมฆ พลังวิญญาณนับไม่ถ้วนล้วนโถมเข้าใส่วังซ่างชิงยอดเขาชิงฉวน ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณที่การฝึกตนอ่อนแอหน่อยทานรับไม่ได้ จิตใจสั่นไหวอย่างใหญ่หลวง หายใจยากลำบาก
“นี่คือก่อเกิดตานหรือว่าผูกจิตวิญญาณ” มีคนร้องออกมา
ผู้ฝึกตนระดับสูงของหกยอดเขาพากันเดินออกจากถ้ำพำนัก จ้องมองไปทางยอดเขาชิงฉวนอย่างครุ่นคิด
ในบรรดาคนเหล่านี้ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางจ้องมองม่านเมฆแสงวิญญาณเหนือยอดเขาชิงฉวน ถอนหายใจว่า “ก่อเกิดตาน มีคนก่อเกิดตานแล้ว”
ไป๋เยี่ยนเฟยที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาอึ้งไป ถามว่า “ซือฟุ เหตุใดก่อเกิดตานจึงมีมายาสวรรค์ที่กล้าแกร่งเยี่ยงนี้หรือขอรับ”
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางลูบเครายิ้มแย้ม “จิ้งเหอซือซูของเจ้าช่างโชคดีนัก ศิษย์หนึ่งคนที่รับมาอย่างส่ง ๆ ถึงกับมีพรสวรรค์เช่นนี้ คิดว่าไม่ช้าไม่นานยอดเขาชิงฉวนจะเกิดผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อย่างน้อยที่สุดอีกสองคน”
ไป๋เยี่ยนเฟยเงยหน้าขึ้นจ้องมองยอดเขาชิงฉวน สายตาไม่รู้ว่าผิดหวังหรือว่าอิจฉา
ยอดเขาชิงฉวนอีกแล้ว หรือว่าจะเป็นโม่ซือเจี่ยผู้นั้น
คิดถึงตรงนี้ ในใจของเขายิ่งอึดอัดคับข้อง เดิมนึกว่าด้วยคุณสมบัติรากวิญญาณเดี่ยวของตนเองจะเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของรุ่นนี้ กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบมีคนยืนอยู่ข้างหน้าเขาเสมอ
เขาคิดถึงในปีนั้น บนเนินเขาไร้ผู้คนนั้นของยอดเขาชิงฉวน สตรีผู้นั้นที่ชี้ใส่เขาผู้เป็นบุตรแห่งสวรรค์เอ่ยใส่หน้าอย่างเย็นชา เขาที่มีอายุยี่สิบกว่าปียังอ่อนเยาว์เกินไป เพียงรู้สึกโกรธแค้นและอับอาย แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปกลับเพียงเป็นการพิสูจน์คำพูดของนางอีกละอย่าง
ปีนั้นเขาสร้างฐานพลัง นางอยู่สร้างฐานพลังขั้นกลางแล้ว เขาสร้างฐานพลังขั้นปลาย นางกลับก่อเกิดตานแล้ว เขาไป๋เยี่ยนเฟยถึงแม้จะครอบครองพรสวรรค์ขั้นสุดยอด ถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่ใช่อัจฉริยะอันแท้จริง
ซือฟุพูดว่า ยอดเขาชิงฉวนยังจะเกิดผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อีกสองคน คนหนึ่งน่าจะเป็นฉินโส่วจิ้งผู้นั้น ผูกจิตวิญญาณตลอดมาไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จในชั่วคืน เขาไม่เป็นอย่างศิษย์สายตาแคบสั้นเหล่านั้นที่เชื่อว่าเขาพังพินาศแล้ว เพิ่งจะสองร้อยปี เขายังมีวันเวลายาวนานที่จะสามารถลองผูกจิตวิญญาณ ส่วนอีกคนหนึ่ง…… คงจะเป็นโม่ซือเจี่ยผู้นี้ ภายหลังเขาจึงได้รู้ว่าที่แท้โม่ซือเจี่ยผู้นี้พรสวรรค์ยอดเยี่ยมกว่าแม้แต่เขา คำพูดพวกนั้นที่ตนเองพูดไปในปีนั้น……ล้วนเป็นเรื่องตลก…….
โม่เทียนเกอออกจากกระท่อม พลังวิญญาณทั้งร่างปกคลุมส่องแสงวูบวาบเจ็ดสีดั่งเช่นสายรุ้ง นกสาลิกาที่เกิดจากพลังวิญญาณบินโฉบอยู่ข้างกายนาง
นางยิ้ม ยื่นนิ้วออกไปจิ้มเบา ๆ นกสาลิกาวิญญาณจิ้มแล้วแตกกระจายกลับกลายเป็นแสงวิญญาณใหม่อีกครั้ง
เงยหน้าขึ้น ทั่วทั้งบ้านพักหมิงซินเต็มไปด้วยพลังวิญญาณเจิดจรัสที่ไหววูบงดงามอย่างที่สุด มองทะลุกำแพงหินที่แตกออกซึ่งแสงสวรรค์สาดเข้ามาสามารถมองเห็นแสงวิญญาณอย่างเดียวกันเต็มท้องฟ้า พัดพลิ้วอยู่สูงในอากาศ
ผ่านไปครึ่งวัน เสียงของลมสายฟ้าเมฆเคลื่อนในที่สุดก็สงบลงช้า ๆ เมฆมงคลกระจัดกระจาย แสงวิญญาณก็นิ่งไป
ศิษย์ของยอดเขาชิงฉวนหรือแม้กระทั่งศิษย์ของทั้งโรงเรียนเสวียนชิงล้วนรับทราบเรื่องหนึ่ง
ศิษย์ปิดสำนักของประมุขเต๋าจิ้งเหอ โม่ซือซูผู้นั้น สร้างตานทองคำสำเร็จ จากนี้ก้าวสู่ทำเนียบของผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน
โม่เทียนเกอยังไม่ทันก้าวออกจากบ้านพักหมิงซินก็ได้รับเครื่องรางสื่อสารแสดงความยินดีนับไม่ถ้วน มีของเหล่าสหายที่นางคุ้นเคยเช่น เยี่ยจิ่งเหวิน, หลัวเฟิงเสวี่ย, หันชิงอวี้, ค่วงจู๋, จั่นไป๋ ฯลฯ แล้วก็มีของเหล่าซือเกอซือเจี่ยระดับก่อเกิดตานที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดคุยกันเลย
ตอนที่อยู่ระดับสร้างฐานพลัง ถึงนางจะเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ เมื่อพบกับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานร่วมโรงเรียนต้องเรียกเพียงว่าซือเกอหรือซือเจี่ย แต่ถึงที่สุดแล้วมีความต่างกันของระดับชั้น คนเหล่านี้เพียงสุภาพต่อนางเล็กน้อย แต่จะไม่พูดคุยกับนาง จนกระทั่งวันนี้ นางกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานอย่างเป็นทางการ เหล่าซือเกอซือเจี่ยระดับก่อเกิดตานพวกนี้จึงหยิบยื่นความกระตือรือร้นในการสร้างมิตรภาพของผู้เท่าเทียมโดยการส่งข้อความแสดงความยินดีมาให้
โม่เทียนเกอมองดูทีละอัน ส่งเครื่องรางสื่อสารขอบคุณเหมือน ๆ กันออกไป แล้วจึงออกจากบ้านพักหมิงซินเข้าห้องโถงใหญ่
ประมุขเต๋าจิ้งเหอนั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างหาได้ยาก จับจ้องนางอย่างยิ้มแย้ม
ถึงแม้ว่าศิษย์คนนี้จะไม่ใช่ผู้ที่เขาสั่งสอนด้วยตัวคนเดียว เขาใช้ทัศนคติปล่อยไปตามอิสระมาโดยตลอดให้นางได้พัฒนาตามใจชอบ แต่เขากลับชี้แนะหนทางที่ถูกต้องให้นางก้าวเดินไปทีละก้าว ๆ
โม่เทียนเกอสำนึกขอบคุณจากใจจริง คุกเข่าลงคำนับ “ศิษย์ขอบคุณซือฟุสำหรับการสั่งสอนหกสิบปีเจ้าค่ะ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอรับการคำนับของนาง สะบัดแขนเสื้อเบา ๆ ยกตัวนางขึ้น “หนทางฝึกเซียนขรุขระ ทุกสิ่งล้วนต้องให้เจ้าไปประสบพบเจอด้วยตนเอง เหวยซือสามารถชี้แนะให้เจ้าได้เพียงเท่านี้ หลังจากนี้ยังต้องให้เจ้าไปพยายามด้วยตัวเอง”
“เจ้าค่ะ ศิษย์จะจดจำใส่ใจ”
ศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงพากันทราบว่าศิษย์คนสุดท้ายของประมุขเต๋าจิ้งเหอยอดเขาชิงฉวนอายุเพียงแปดสิบสี่ปี ก่อเกิดตานสำเร็จ เข้าสู่ทำเนียบผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน
เวลาผ่านไปร้อยกว่าปี โรงเรียนเสวียนชิงหลังจากอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง, อาจารย์เต๋าหลิงซี ได้ปรากฏผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่ก่อเกิดตานในร้อยปีอีกหนึ่งคนแล้ว
เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่งที่แม้แต่ข่าวที่อาจารย์เต๋าหลิงซีกักตนผูกจิตวิญญาณก็ไม่ดึงดูดผู้คนอีกแล้ว
เพราะว่าสุดท้ายแล้วอาจารย์เต๋าหลิงซีก็ผูกจิตวิญญาณล้มเหลว เร็ว ๆ นี้เพิ่งจะออกจากการกักตน
ดังนั้นเพียงแค่สามปี นามของศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดรุ่นใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงก็ได้เปลี่ยนเจ้าของไปอีกครั้ง
หลังจากโม่เทียนเกอได้ทราบเรื่องก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่รู้ว่าควรจะหลั่งน้ำตาสงสารอาจารย์เต๋าหลิงซีผู้อับโชคคนนี้ดีหรือไม่ ในร้อยกว่าปีที่เขาควรจะเปล่งประกายที่สุดได้ถูกฉินโส่วจิ้งที่อยู่วัยเดียวกันกดหัวมาโดยตลอด รอจนฉินโส่วจิ้งถูกดึงออกจากแท่นบูชา เขาได้รับชื่อว่าเป็นฉัจฉริยะมาอย่างไม่ง่ายดายเลย แต่กลับมีนางผุดขึ้นมาเสียได้
สำหรับนามของอัจฉริยะที่ว่ากันนี้ โม่เทียนเกอเพียงหัวเราะปล่อยผ่าน
ที่เทียนจี๋ โรงเรียนเสวียนชิงขึ้นชื่อด้านการสร้างผู้ฝึกตนอัจฉริยะ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเมื่อพันปีก่อน ประมุขเต๋าเมี่ยวอีหลายร้อยปีหลัง ถึงอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง, อาจารย์เต๋าหลิงซีร้อยกว่าปีก่อน ถึงโม่เทียนเกอ, ไป๋เยี่ยนเฟยที่อายุอ่อนเยาว์ที่สุด
ขณะนี้ฉินโส่วจิ้งกับหลี่หลิงซีสองคนล้วนเผชิญกับความล้มเหลวในการผูกจิตวิญญาณ ไป๋เยี่ยเฟยอายุแปดสิบสองปี ยังอยู่เพียงระดับชั้นสร้างฐานพลังขั้นปลาย คิดจะก่อเกิดตานก็ต้องร้อยปีขึ้น มีเพียงโม่เทียนเกอที่อายุแปดสิบสี่ปีก่อเกิดตานสำเร็จ เพียงแย่กว่าฉินโส่วจิ้งเล็กน้อย เทียบกับหลี่หลิงซีแล้วยังเร็วกว่ามาก
แต่แล้วอย่างไรเล่า ถึงเทียนจี๋จะมีผู้ฝึกตนระดับสูงน้อยยิ่ง ที่ขึ้นถึงจิตวิญญาณใหม่ก็มีหนึ่งร้อยกว่าคน ถ้าหากไม่สามารถผูกจิตวิญญาณ จะอย่างไรก็ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นฉินโส่วจิ้ง, หลี่หลิงซี หรือว่าโม่เทียนเกอและไป๋เยี่ยนเฟยล้วนเป็นเช่นนี้
นี่ก็คือโลกของการฝึกเป็นเซียน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ชื่อเสียงอันหนึ่งก็ยังเป็นจริงเป็นจังเช่นนี้
“เทียนเกอ ศิษย์ทุกคนที่ก่อเกิดตานล้วนจะต้องได้รับมอบนามทางเต๋า เจ้าก่อเกิดตานสำเร็จ พวกเรามาเลือกวันจัดพิธีก่อเกิดตาน เฉลิมฉลองให้กับเจ้า”
“ซือฟุ…..” โม่เทียนเกอกลับลังเลอยู่บ้าง “ข้า…..ไม่อยากให้มันเอิกเกริกเช่นนี้”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับยิ้ม “ไม่เกี่ยวกับความเอิกเกริก ศิษย์คนใดที่ก่อเกิดตานล้วนต้องเป็นเช่นนี้ ถึงเวลาจะมีประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่ไม่เพียงคนเดียวมาเป็นพยานให้กับเจ้า ผู้ที่มีอาจารย์ อาจารย์ก็จะมอบนามทางเต๋า หากไม่มีอาจารย์ หัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดจะมอบนามทางเต๋า เจ้าไม่ต้องหลบเลี่ยง ศิษย์ทุกคนล้วนต้องผ่านขั้นตอนนี้”
“……เจ้าค่ะ” ในเมื่อเขาพูดขนาดนี้ โม่เทียนเกอก็ได้แต่น้อมรับ
“นอกจากนั้น เจ้าก่อเกิดตานแล้ว ตามหลักซือฟุควรจะมอบถ้ำพำนักให้เจ้า พอดีว่าหลังจากเสวียนอินซือซูของเจ้าผูกจิตวิญญาณ ถ้ำพำนักของเขายังไม่มีคนรับไป เช่นนั้นหลังจากนี้ถ้ำพำนักนั้นก็จะมอบให้เจ้าแล้ว”
โม่เทียนเกอตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง “ขอบคุณเจ้าค่ะซือฟุ”
อดีตถ้ำพำนักของประมุขเต๋าเสวียนอินนางรู้จักอยู่ ถ้ำหลักกว้างขว้างอย่างยิ่ง รอบบริเวณยังมีถ้ำเล็ก ๆ จำนวนมากรายล้อมสำหรับให้ศิษย์พักอาศัย ถึงพลังวิญญาณเมื่อเทียบกับวังซ่างชิงแล้วจะแย่กว่าหน่อย แต่กลับเป็นระดับที่หายากในหมู่ถ้ำพำนักของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้ม “เอาล่ะ เจ้าเพิ่งจะก่อเกิดตาน ก่อนอื่นไปปรับรากฐานให้มั่นคงก่อน ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ถึงเวลาแล้วย่อมจะมีคนไปแจ้งกับเจ้าเอง”
“เจ้าค่ะ ซือฟุ”
…………………………………..
ตอนที่ 258 – พิธีฉลองก่อเกิดตาน