บทที่ 13 ออโรร่าน้อยกับคำภาวนาที่ยิ่งใหญ่

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“สวัสดียามเช้าค่ะ ออโรร่า”

เมื่อผมลืมตาตื่น ผมก็เจอมาเรียที่นั่งส่งยิ้มให้มาจากเตียงฝั่งตรงข้าม พร้อมกับเสียงทักทายยามเช้าที่ดูสดใสผิดกับสาวน้อยขี้อายที่เจอกันเมื่อคืน

คนเรามันเปลี่ยนเร็วขนาดนั้นเลยเรอะ!

เปลี่ยนเร็วจนน่าสงสัยจริงๆ จากเด็กน้อยที่ขี้อายเมื่อวาน ไหงมายิ้มอย่างสดใสร่าเริงมีความสุขได้ในเวลาข้ามคืน แล้วนี่อะไร พระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้นแล้วไหงหน้าเจ้าหล่อนถึงมีสีแดงๆ ปนด้วยได้ล่ะนั่น?

ยิ่งกว่านั้น เจ้าที่ติดผมที่ผมให้ไปตั้งแต่เมื่อวาน มาวันนี้มาเรียก็ยังไม่ยอมถอดออกเลย ซึ่งการกระทำในครั้งนี้ของเธอทำเอาผมแอบเสียวๆ

ถึงใบหน้าตอนนี้ที่ยิ้มอย่างสดใสจะน่ารักน่ากอดก็เถอะ แต่แบบนี้มันน่าสงสัยเกินไป หรือว่าที่แท้จริงแล้วเธอคือสายลับมือเซียนของทางบ้านที่มาแอบเก็บข่าวผมไปข่มขู่จริงๆ?

ส่วนไอ้อาการเขินอายนั่นคือการทำนิสัยให้ผมหวาดระแวงน้อยที่สุด แต่เมื่อผมจับได้เลยเปลี่ยนกลับมานิสัยเดิมอย่างงั้นเหรอ?

นั่นมันดูจะเป็นหนังเกินไปมั้งออโรร่า อย่าลืมนะว่าตรงหน้านายมันคือเด็ก 6 ขวบ ไม่มีทางคิดอะไรที่มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนได้แบบนั้นหรอกน่า

ใจร่มๆ ก่อนนะออโรร่า ทั้งหมดนี้อย่าเพิ่งด่วนตัดสินไป เรามารอสังเกตดูเป็นวันๆ ไปน่าจะดีกว่า ส่วนตอนนี้รีบทักกลับไปก่อน เพราะตั้งแต่เมื่อครู่ ผมจ้องเธอตาไม่กะพริบจนเธอเริ่มทำอาการแปลกๆ อย่างบิดตัวไปมาแล้ว

“สวัสดีค่ะคุณมาเรีย”

เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยผมจะหันกลับไปยิ้มให้ตามสไตล์ที่ยิ้มอยู่ประจำ จากนั้นเพื่อไม่ให้มาเรียเห็นหน้าของผมที่เริ่มเหงื่อตกจากอาการหวาดระแวง ผมจึงได้รีบหันหลังแล้วจัดเสื้อผ้าก่อนจะเตรียมพุ่งตัวไปอาบน้ำทันที

ก็นับว่าโชคดีอย่างหนึ่ง เพราะว่านี่คือมหาวิหารของศาสนจักร ดังนั้นแล้วอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างจึงพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้แต่ห้องน้ำที่เป็นห้องน้ำส่วนตัวซึ่งมีหนึ่งห้องต่อหนึ่งห้องนอน ไม่ต้องไปใช้ห้องน้ำรวม

ก็นะ จากเท่าที่ทราบมา ที่มหาวิหารแห่งนี้ ส่วนใหญ่คนที่มาศึกษาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าไม่ใช่พวกกรณีพิเศษแบบผมแล้ว มันก็มีแต่ลูกขุนนางชั้นสูงกันทั้งนั้น ครั้นจะให้พวกลูกคุณหนูมาใช้ห้องน้ำรวมก็คงไม่ชินกัน

หากถามว่าทำไมพวกขุนนางถึงชอบส่งลูกตัวเองมาเข้าศึกษาในมหาวิหารนี้ตั้งแต่เด็กนั้นมันก็คงหนีไม่พ้นเรื่องอื่นใดนอกจากการเมืองล้วนๆ

ถึงพวกนักบวชจะเป็นคนของพระเจ้า แต่ก็ไม่ใช่คนของพระเจ้าแบบเดียวกับยุคสมัยที่ผมจากมา เพราะพวกเขาเหล่านี้นั้นเป็นคนของพระเจ้าที่ดันมีอำนาจการเมืองในมือซะงั้น

เนื่องจากประเทศนี้มันเป็นประเทศที่คนคลั่งศาสนาพอตัว ดังนั้นหากพวกนักบวชพูดอะไรไป โดยเฉพาะพวกนักบวชชั้นสูงด้วยแล้ว พวกเขาก็มักจะทำตาม

นอกจากเรื่องอำนาจทางการเมืองแล้ว พวกนักบวชยังมีเงินก้อนโตอีกด้วย ก็นะ เงินก็ไม่ได้มาจากไหนหรอก มาจากเงินบริจาคล้วนๆ และเพราะมันเป็นเงินบริจาคเลยไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้นความร่ำรวยของพวกเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง แถมตรวจสอบยากอีกต่างหาก

ก็เคยได้ยินสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพศาสนากับกองทัพขุนนางจากปัญหาที่ว่ามาอยู่หรอก แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งก็อยู่ในระดับที่ดีเลยทีเดียว

และก็เพราะเรื่องที่ว่ามา ดังนั้นพวกขุนนางเลยจัดการส่งบุตรหรือบุตรีคนรองเข้ามาในศาสนจักร เพื่อสานสัมพันธ์แล้วก็สร้างฐานอำนาจ เพราะงั้นหากลองไปสำรวจดูดีๆ จะรู้ว่าแม้กระทั่งนักบวชเองก็ยังมีแบ่งฝ่าย

ยอมใจจริงๆ

แต่เรื่องพวกนั้นสำหรับผมที่เป็นเด็กก็ขอช่างหัวมันไปก่อน เพราะถึงยังไงผมก็ยังรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันน่าปวดหัว ดังนั้นขออยู่สบายๆ ดีกว่า

ว่าแล้วผมก็จัดการแต่งตัวให้เสร็จสรรพ หากดูจากสภาพแล้วตอนนี้ก็ค่อยดูสมเป็นคนที่มาศึกษาอยู่ในมหาวิหารขึ้นมาหน่อย เพราะว่าชุดที่ผมใส่ตอนนี้ไม่ใช่ชุดสีขาวลายดอกฟูฟ่องแต่เป็นชุดสีดำขาวแบบที่เคยใส่ ต่างกันก็แต่เนื้อผ้าที่ชุดนี้มันดีกว่ามาก

ก็เป็นชุดที่ขุนนางสักคนมันโยนมาให้ล่ะนะ

“ไปกันเถอะ”

ว่าแล้วผมก็จัดการรีบเดินออกจากห้อง ส่วนมาเรียที่แต่งตัวเสร็จก่อนนานแล้วจึงค่อยๆ เดินตามผมออกมาเพื่อไปรวมกลุ่มกับพวกเด็กน้อยตรงห้องสวดภาวนาตอนเช้า

อารมณ์ประมาณทำวัตรเช้าล่ะมั้ง

เมื่อเดินเข้าไปข้างใน พวกผมก็เจอกับเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายที่กำลังคุกเข่าก้มสวดให้กับไม้กางเขนสัญลักษณ์แทนตัวของเจ้าพระเจ้าบ้านั่น

“ปะ….ไปร่วมสวดภาวนากันเถอะ…..ค่ะ”

อ้าว จู่ๆ ไม่รู้ว่าทำไม แต่เสียงของมาเรียเริ่มกลับมาตะกุกตะกักเหมือนเดิมแล้ว แค่นั้นไม่พอ เธอยังก้มหน้าลงต่ำคล้ายอยากหลบสายตาผู้คนอีกด้วย

สรุปนี่ขี้อายของจริงเรอะ!

สงสัยว่าเพราะผมเป็นรูมเมทให้เธอ เธอจึงไว้วางใจผมจนพูดด้วยแบบปกติได้ล่ะมั้ง แต่พอมาเจอกับพวกเด็กคนอื่นแล้วก็เลยกลับมาเป็นเหมือนเดิม?

เข้าใจยากจัง

มาเรียไม่พูดอะไรต่อ นอกจากจับชายเสื้อของผมก่อนจะสะกิดเบาๆ เป็นเชิงบอกให้ผมเป็นคนเดินนำหน้าไป

เอ้า ไหงผมกลายมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปซะแบบนั้นล่ะ

หรือว่า…..หรือว่านี่คือการทดสอบว่าผมจะเป็นพี่สะใภ้ที่ดีได้หรือเปล่างั้นเหรอ!

เพราะเมื่อคืนผมได้เผลอแสดงสภาพน่าอายออกไปแล้ว ดังนั้นมันคงทำให้เธอมั่นใจแน่ๆ เลยว่าคราวหน้าเมื่อถึงช่วงเยี่ยมของครอบครัวเมื่อไหร่เธอจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งพ่อของเธอ

และหลังจากนั้นก็บังคับผมหมั้นและจากนั้นก็แต่งงาน และเพราะเชื่อว่าเรื่องแบบนั้นมันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอนเลยคิดทดสอบผมในฐานะว่าที่พี่สะใภ้สินะ

มาเรียนี่เธอ…นี่เธอช่างน่ากลัวยิ่งนัก

ตัวผมที่ตอนแรกเริ่มวางใจในระดับหนึ่ง เมื่อคิดเรื่องนี้ได้ก็ทำให้ระดับความระวังตัวของผมนั้นพุ่งสูงขึ้นไปอีก จนผมเริ่มตัวเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง

“คือ…คือเรา…เราไปนั่งกันเถอะค่ะ”

น่ารัก!

มาเรียที่ตอนนี้ตัวสั่นแถมที่ขอบตายังแอบมีน้ำตาคลอเบ้าทำให้เรื่องความหวาดระแวงเมื่อครู่ของผมระเบิดหายกลายเป็นฝุ่น

มาเลยมาเรีย พี่สาวคนนี้จะดูแลเธอเอง!

ว่าแล้วผมก็หันไปยิ้มให้มาเรียแบบไม่ทันคิดก่อนจะลากเธอไปนั่งอยู่ตรงมุมที่ดูไม่น่ามีใครมารบกวนได้ และเมื่อได้ที่นั่ง มาเรียก็ยกมือสวดภาวนาขึ้นมา

ส่วนผมน่ะเหรอ……จ้องเจ้าไม้กางเขนนั่นด้วยความลังเลว่าจะยกมือภาวนาตามน้ำแบบชาวบ้านเลยดีไหม เพราะหากไม่ทำคงได้โดนสงสัย แต่ถ้าทำไปคงนับเป็นความพ่ายแพ้ของผมต่อเจ้าพระเจ้าบ้านั่นแน่นอน

แถมอีกอย่าง เมื่อผมมองไปที่เจ้าไม้กางเขนนั่น ผมเริ่มจะเห็นภาพของเจ้าพระเจ้าบ้านั่นแบบรางๆ ที่ตอนนี้กำลังแสยะยิ้มอย่างสะใจพร้อมกับตะโกน

“เอ้า ไหว้ฉันสิ ไหว้ฉันเลย”

ไม่มีทางหรอกโว้ย หัวเด็ดตีนขาดไงผมคนนี้ก็ไม่มีทางไหว้แกหรอกน่าไอ้พระเจ้าหัวเกรียน…เฮ้ย งานงอก

“ตัวข้าผู้โง่เขลาต่ำต้อย ผู้ซึ่งหลงมัวเมาอยู่ในความไม่รู้ ขอนอบน้อมทั้งกายและใจอันเต็มไปด้วยมลทินให้แด่พระองค์ผู้ชาญฉลาดเหนือผู้ใด ขอพระองค์ทรงใช้ความบริสุทธิ์ของพระองค์ชำระล้างจิตใจอันโง่เขลานี้ของข้าด้วยเถิด”

ด้วยความเผลอตัวด่ามันในใจไป ทำให้ผมตอนนี้ได้พูดสรรเสริญมันออกมารัวเหมือนปืนกล แค่นั้นยังไม่พอ นอกจากเจ้าคำสาปบ้านี่จะทำให้ผมต้องสรรเสริญมันแล้ว ไอ้พระเจ้าบ้านั่นมันยังเติมคำพูดให้ผมด่าตัวเองว่าโง่แล้วไปชมมันว่าฉลาดขึ้นมาอีก

เจอหน้าเมื่อไหร่จะตบให้ตายเลย

“ขอพระหัตถ์ของพระองค์ส่งเรี่ยวแรงอันแสนบริสุทธิ์สู่ใบหน้าซึ่งหยาบกระด้างของข้าด้วยเถิด”

มันด่าผมหน้าด้าน! แถมยังมาบังคับให้ผมพูดขอให้มันตบผมอีก

ไอ้!!!….ไม่ได้ ออโรร่า ขันติลูก ขันติ

ใจร่มๆ เข้าไว้ ยิ่งเราพูดอะไรมากไป ความซวยจะยิ่งมากกว่าเดิมนะลูก

ผมพยายามพูดปลอบอารมณ์ของตัวเองให้เบาลงมา เพราะตอนนี้ด้วยคำสวดอันแสนพิสดารของผม ส่งผลให้พวกเด็กที่อยู่รอบๆ ห้องเริ่มหันมาฟังกันอย่างสนใจ

“สุดยอด…มากเลยค่ะ…ออโรร่า สามารถพูดบทสวดที่ยากขนาดนั้นได้ด้วย”

มาเรียหันมามองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม แม้เธอจะเสียงสั่นแต่เสียงที่ออกมานั้นบ่งบอกได้ชัดเจนว่าชื่นชมและตื่นเต้นกับสิ่งที่ผมทำอยู่ขนาดไหน

ฮืออออ…มาเรียเอ๋ย นี่เธอยังเด็กอยู่สินะ ถ้าโตพอที่จะเข้าใจที่ผมพูดล่ะก็คงไม่พูดอะไรแบบนั้นออกมาแน่นอน แล้วเจ้าพวกเด็กหัวกระโปกคนอื่นก็ด้วย ไม่ต้องทำมาตื่นเต้นแล้วสวดตามเลยนะเฮ้ย นี่พวกแกกำลังด่าตัวเองว่าหน้าด้านแบบไม่รู้ตัวอยู่นะ!

“ขอพระหัตถ์ท่าน…เอ่อ….ส่งพลัง…สู่ใบหน้าที่หยาบกระด้างของข้า”

ด้วยความที่เด็กพวกนี้ยังไม่ได้เรียนภาษาขั้นสูง เพราะฉะนั้นเลยลอกเลียนแบบผมไปแบบผิดๆ ถูกๆ แต่ด้วยความซวยอะไรไม่ทราบ มันถึงลอกได้แค่ข้อความที่ฟังแล้วได้ใจความว่า….ขอพระเจ้าตบหน้าด้านๆ ของผมด้วยจ้า….โคตรแย่!

“โอ้ นี่มันท่านนักบุญไม่ใช่หรือขอรับ”

จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็พบกับบาทหลวงหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนยิ้มให้กับผมพร้อมแววตาที่มองผมด้วยความศรัทธาและสนใจ

“เอ่อคุณคือ?”

“อ๊ะ ต้องขออภัยจริงๆ ที่ไม่ได้แนะนำตัวขอรับ ตัวกระผมชื่อปิแอร์ขอรับ ส่วนศักดิ์ของกระผมนั้นเป็นแค่นักบวชชั้นต้นที่มีหน้าที่ฝึกสอนเหล่าเด็กพวกนี้แค่นั้นล่ะครับ”

ปิแอร์พูดแนะนำตัวกับผมด้วยท่าทีที่สุภาพมาก ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะศักดิ์ของผมในศาสนจักรนั้นสูงจนเกือบติดเพดานอยู่แล้ว

“ค่ะ ออโรร่าค่ะ”

“ครับผม ท่านนักบุญสินะครับ ทราบเรื่องนี้จากท่านสังฆราชและท่านนักบวชชั้นสูงทุกคนแล้วล่ะครับ”

ปิแอร์ซึ่งเป็นนักบวชหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ แต่ก็ดูใจดีเข้าถึงได้ง่าย จึงไม่แปลกอะไรที่จะได้รับหน้าที่สอนเด็กที่ต้องใช้ความสามารถในการเข้าหาคนได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเด็กเหล่านั้นคือขุนนาง

ว่าแต่ดูเหมือนการมาของผมที่นี่ จะทำเอาพวกนักบวชหลายคนตื่นเต้นน่าดูเลยนะ เล่นกำชับเรื่องผมกับปิแอร์กันหลายต่อหลายคนแบบนี้

“ตอนแรกกระผมได้ยินก็ยังไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วถึงได้เข้าใจครับ”

ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ ปิแอร์ก็พูดทักขึ้นมาแบบแปลกๆ เพราะถ้าเมื่อครู่ผมใช้เวทแล้วเขาพูดแบบนี้คงไม่น่าแปลกใจ แต่นี่ที่ผมทำก็แค่พูดสรรเสริญเจ้าพระเจ้าบ้านั่นแบบเมาๆ ดูไร้ความหมายอื่นใดนอกจากด่าตัวเองเท่านั้น

หรือว่า….หรือว่า!

“เหล่าผู้ศึกษาวัยเยาว์ทั้งหลาย กระผมดีใจมากที่พวกเธอสนใจท่องบทสวดตามท่านนักบุญ แต่จะดีกว่าถ้าพวกเธอท่องมันอย่างเข้าใจนะ”

ไม่นะ….ไม่นะปิแอร์ ขอร้องล่ะ

ผมได้แต่ภาวนาบางอย่างอยู่ในใจพลางมองปิแอร์ที่เหมือนกำลังพูดแบบคุณครูสอนเด็กให้กับพวกเด็กหัวกระโปกพวกนี้ ซึ่งพวกเขาดูสนใจมากๆ ด้วย

“ความหมายเหรอครับครูปิแอร์ ที่ท่านนักบุญพูดมีความหมายว่าอย่างไรเหรอครับ พอบอกพวกเราได้ไหมครับ?”

เด็กน้อยคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความใสซื่อ ช่างน่าเศร้าที่อาจารย์ของเขาดูจะตอบรับความคาดหวังของเขาได้เป็นอย่างดี สวนทางกับความคาดหวังของผมแบบฟ้ากับเหว

“แน่นอนทุกคน เรามาอธิบายกันเป็นอย่างๆ นะ มาที่ประโยคแรก “ตัวข้าผู้โง่เขลาต่ำต้อย ผู้ซึ่งหลงมัวเมาอยู่ในความไม่รู้ ขอนอบน้อมทั้งกายและใจอันเต็มไปด้วยมลทินให้แด่พระองค์ผู้ชาญฉลาดเหนือผู้ใด ขอพระองค์ทรงใช้ความบริสุทธิ์ของพระองค์ชำระล้างจิตใจอันโง่เขลานี้ของข้าด้วยเถิด””

ผมที่ฟังปิแอร์พูดขึ้นมาก็ได้แต่ตัวสั่นด้วยความอายกับประโยคสุดบ้าของตัวเอง

“นี่นับเป็นประโยคเริ่มสวดภาวนาที่ต้องเรียกได้ว่ามีแต่ผู้ที่เปี่ยมด้วยความศรัทธาเป็นอย่างมากเท่านั้นถึงจะสามารถร่ายออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจเช่นนี้ เพราะความหมายนั้นคือการที่พวกเราเหล่าสาวกทุกคน โดยเฉพาะเด็กๆ ที่เกิดมาในโลกใบนี้ทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความไม่รู้ เปรียบเหมือนผู้โง่เขลาและมีจิตใจมลทินซึ่งมีติดตัวมาแต่กำเนิดทุกคน”

พวกเด็กๆ ยังทำหน้างงๆ อยู่ ซึ่งปิแอร์เองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายไงให้เข้าใจต่อดี ซึ่งผมก็ได้แต่บ่นในใจของตัวเอง

อย่านะ อย่าว่าเด็กๆ แบบนั้น เด็กๆ ทุกคนน่ะคือผ้าขาว ไอ้คนที่มีมลทินน่ะมันคือไอ้……

“ทุกผู้ล้วนมีความผิดบาปแต่กำเนิด มีเพียงพระองค์ท่านผู้ประเสริฐเหนือสิ่งใดเท่านั้นที่ใสบริสุทธิ์นับแต่ปฐมกาล”

อ้ากกกก กลายเป็นว่าผมไปซัพพอร์ทคำพูดสอนเมากาวของเจ้าปิแอร์ไปซะแบบนั้น

“เอ่อ…ขอบคุณมากครับท่านนักบุญ ทีนี้เข้าใจหรือยังเด็กๆ”

“ครับ เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยครับ เพราะเรามีบาปแต่กำเนิดเลยต้องเข้าหาพระองค์เพื่อชำระบาปนั่นสินะครับ”

“ถูกต้องแล้วล่ะ”

ถูกกับผีเซ่ นี่ถามจริงเถอะ อาณาจักรนี้มันให้เด็กเรียนรู้แกทเชื่อมโยงมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่หรือไง ถึงยอมรับอะไรบ้าๆ แบบนี้ได้โดยไม่สงสัยน่ะ!

“สุดยอดจริงๆ ขอรับ แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็สามารถเข้าใจถึงความลึกซึ้งในคำสอนและยังอธิบายได้อย่างเก่งกาจ สงสัยตัวข้าต้องเรียนรู้จากท่านนักบุญบ้างซะแล้ว”

ม่ายยย ผมไม่รับสอน ออกไป ออกไปให้พ้น ไอ้เจ้านักบวชเมากาว

“งั้นมาต่อประโยคที่สองนะ”

พอเถอะ!

“ขอพระหัตถ์ของพระองค์ส่งเรี่ยวแรงอันแสนบริสุทธิ์สู่ใบหน้าซึ่งหยาบกระด้างของข้าด้วยเถิด”

อ้ากกกก ใครก็ได้ เอามีดมาปาดคอผมที ผมรับมันไม่ไหวอีกต่อไปแล้ววววว

“คำนี้ช่างลึกซึ้ง แม้ตัวกระผมที่ฝึกมานานยังต้องใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานว่าหมายถึงอะไร แต่สุดท้ายก็เข้าใจจนได้”

ไม่ นายไม่ได้เข้าใจอะไรทั้งนั้น!

“หน้าที่หยาบกระด้างของเรานั้นก็คือตัวเราผู้ดื้อดึงยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ไม่ยอมรับความจริงอันแสนประเสริฐซึ่งอยู่ตรงหน้า ยิ่งพวกเราทุกคนที่นี่เป็นคนสูงศักดิ์ ก็ยากที่จะยอมรับฟังผู้อื่น ดังนั้นแล้วคำพูดนี้จึงเป็นการให้ระลึกว่าเหนือเราแล้วยังมีพระองค์ ยังมีคำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ซึ่งอยู่เหนือสิ่งอื่นใด”

“เอ๋ งั้นเหรอครับ ถ้างั้นแปลโดยรวมแล้วหมายถึงอย่างไรหรือครับครู”

ขอถามจริงเถอะ ไม่ทราบว่าคุณปิแอร์สอบได้คะแนนแกทเต็มเท่าไหร่กัน ถึงได้สามารถเชื่อมเรื่องเชื่อมราวให้มันเป็นได้ถึงขนาดนั้น แล้วก็พวกนายทั้งหลาย พวกนายอย่าเออออทำเป็นเข้าใจกับประโยคบ้าๆ แบบนี้สิ!

“สรุปแล้วก็คือพวกเราจงละทิ้งความยึดมั่นถือมั่นของตัวเองแล้วเปิดใจรับคำสอนของพระองค์อย่างไรเล่า เพราะฉะนั้นคำพูดนี้ที่ท่านนักบุญพูดมาไม่ได้พูดแค่เพื่อเป็นคำเปิดของการภาวนา แต่ต้องการสอนพวกเธอด้วยยังไงล่ะ”

มันล้ำเกินไปแล้วววว นี่มันไม่ใช่แค่สอบแกทเต็มแล้ว เจ้าปิแอร์นี่มันต้องสอบคะแนนแกทเต็มได้ 150 ได้ 300 แน่นอน เพราะนอกจากจะเชื่อมคำของผมได้มั่วซั่วแล้ว มันยังตีความหมายของการพูดผมไปได้ไกลจากความหมายเดิมสุดๆ สุดๆ แบบที่เดินจากขั้วโลกเหนือไปใต้ยังใกล้กว่า

โอ้ย ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ผมรับเรื่องพวกนี้ไม่ไหวแล้ว

และระหว่างที่ผมกำลังจะบ้าตายนั้นเอง ผมก็เหมือนเห็นเจ้าพระเจ้าบ้านั่นกำลังมองมาที่ผมด้วยอาการกลั้นขำแบบสุดชีวิต

“ขอบคุณมากครับท่านนักบุญ พวกเราจะจำคำสอนไม่รู้ลืม ว่าพวกเรา…”

อย่าพูดนะเด็กๆ ทั้งหลาย ขอร้องล่ะ อย่าพูดมันออกมานะ

“เป็นผู้มีใบหน้าหยาบกระด้างต้องได้รับการสอนจากพระองค์เพื่อแก้ใบหน้าที่หยาบกระด้างนั่น”

ตัวผมถึงขั้นช็อคไปเลยทีเดียวเมื่อเห็นเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายพูดว่าตัวเองหน้าด้านออกมาด้วยแววตาอันแสนใสซื่อ เพราะฉะนั้น ในเมื่อผมไม่สามารถรับความโหดร้ายนี้ต่อไปได้ จึงขอ…ชิงนอนหลับเลยแล้วกัน

ผมค่อยยกมือขึ้นมาพนมแบบตอนไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรมก่อนจะค่อยๆ ยกขึ้นให้เหมือนคนไหว้แล้วทำการวางมือที่พนมลงพื้นก่อนจะเอาหัวตามลงไปหนุนแล้วแอบหลับมันทั้งแบบนั้น หลับแบบเดียวกับตอนที่แอบหลับตอนทำวัตรเช้านั่นล่ะ

และระหว่างที่ผมยังนอนไม่หลับ ผมก็ต้องทนทรมานกับประโยคอันแสนโหดร้ายซึ่งมาจากปากของเด็กน้อยที่ใสซื่อดุจผ้าขาวต่อไป

 

——————————————————————————————————

จบไปแล้วนะครับกับตอนเมาเบาๆ 555+

ช่วงนี้อาจจะแต่งช้านิดนึงนะครับ พอดีกำลังติดเกม 555+

ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า