ตอนที่ 15 นายมีความสุขก็ดีแล้ว

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 15 นายมีความสุขก็ดีแล้ว

การสอบวิชารัฐศาสตร์เมื่อตอนเช้านั้น พบว่ามีหลายหัวข้อที่เหมือนกับในหนังสือของเซียวซิ่วหรง แม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่สันทัดวิชารัฐศาสตร์นัก แต่ก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว

ข้อใหญ่ที่จำเป็นต้องท่องจำมาพวกนั้น ไป๋เยี่ยเองก็ท่องจนจำขึ้นใจแล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรนัก

แต่สำหรับคะแนนเยอะๆ แล้ว…ไป๋เยี่ยไม่ได้คาดหวังกับมันเลย

อย่างไรวิชานี้ก็ไม่ใช่วิชาที่ไป๋เยี่ยถนัดอยู่แล้ว วิชาต่อไปต่างหากที่สำคัญสุดๆ

ตอนบ่ายจะมีการสอบวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาอังกฤษของไป๋เยี่ยอยู่ที่เลเวลสาม คงจะไม่มีปัญหากับการสอบเท่าไหร่

รางวัลของภารกิจระดับไม่มีดาวจะคิดตามคะแนนสุดท้ายที่ได้ ไป๋เยี่ยจึงหวังว่าจะได้คะแนนเยอะ

คนส่วนมากจะสอบภาษาอังกฤษได้ประมาณสี่สิบถึงเจ็ดสิบคะแนน ถ้าอยากได้มากกว่าเจ็ดสิบล่ะก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ยกเว้นว่าจะเป็นพวกที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีมากๆ

ส่วนพวกที่ได้มากกว่าแปดสิบนั้น คือพวกเทพ เทพ แล้วก็เทพ…

วิชาภาษาอังกฤษไม่มีข้อสอบฟัง หลังจากที่ข้อสอบถูกแจกแล้ว ไป๋เยี่ยก็เริ่มทำส่วนที่สำคัญที่สุดในข้อสอบวิชานี้ก่อน นั่นก็คือส่วนเรียงความภาษาอังกฤษ

ข้อสอบแบ่งออกเป็นสองตอน ตอนที่หนึ่งคือเรียงความสั้น โดยปกติจะเป็นข้อความ ประกาศ รายงาน หนังสือขอบคุณเป็นต้น

ซึ่งองค์กรการสอบก็ได้สรุปออกมาว่าเรียงความสั้นเหล่านั้นมีรูปแบบอยู่ แม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ได้ท่องรูปแบบมา แต่เขาก็ได้อ่านรูปแบบของตัวข้อความมา

เรียงความสั้นของวันนี้เป็นจดหมายตอบรับจดหมายเชิญฉบับหนึ่ง ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งเชิญชวนให้นักศึกษาเขียนแนะนำเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีน

ด้วยพื้นฐานภาษาอังกฤษของไป๋เยี่ยแล้ว การเขียนจดหมายตอบกลับนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย

ส่วนเรียงความสั้นมีคะแนนเต็มเพียงสิบคะแนน แค่เขียนไปตามรูปแบบก็น่าจะได้สักประมาณเจ็ดคะแนนแล้ว

ไป๋เยี่ยมีข้อดีอย่างหนึ่งนั่นก็คือลายมือสวย ทั้งพ่อและแม่ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องการเขียนตัวอักษรของไป๋เยี่ยมาตั้งแต่เด็ก เขาคัดตัวอักษรมาไม่รู้กี่เล่มแล้ว

ผางจงหวา[1]คือฝันร้ายในวัยเด็กของเขามาโดยตลอด…

จนแม้แต่ตอนต่อมาที่ต้องเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ก็ยังคงมีกลิ่นอายของผางจงหวาซ่อนอยู่ด้วย…ไม่รู้ว่าหลังจากที่ผางจงหวาได้ยินเรื่องนี้ เขาจะขอบคุณไป๋เยี่ยที่ช่วยขยายกิจการ หรือว่า…

แต่ก็ต้องบอกว่าลายมือภาษาอังกฤษของไป๋เยี่ยนั้นสวยมากจริงๆ

เรียงความข้อใหญ่มีรูปภาพมาให้ หัวข้อคือจำนวนพิพิธภัณฑ์ในประเทศและจำนวนผู้เข้าชมระหว่างปี 2013 ถึง 2015

สำหรับเรียงความยาวแล้ว ทุกๆ ปีจะมีองค์กรคอยออกรูปแบบให้เสมอ

แบบแรกคือเชิงบวก แบบที่สองเชิงลบ และแบบที่สามเป็นกลาง

รูปแบบทั่วๆ ไปในท่อนแรกคือ There has been a discussion recently about a picture in which ____The pictures convey a clear and strong message to us that_____. (เร็วๆ นี้มีการอภิปรายเกี่ยวกับรูปภาพรูปหนึ่ง โดยที่ ____ รูปภาพนั้นได้สื่อข้อความอันชัดเจนและแข็งกร้าวว่า _____ )

ดูว่ารูปภาพกำลังอธิบายถึงสิ่งใด จากนั้นก็ให้นึกว่าตนเองได้รู้สิ่งสำคัญใดแล้วบ้าง และอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นนี้

ต่อไปคือความคิดเห็นและการวิเคราะห์ความสำคัญของผู้คนและองค์กรในสังคมต่อปัญหาดังกล่าว

ส่วนสุดท้ายคือข้อสรุป โดยให้เขียนปัญหาลงไปด้วย

ตอนแรกไป๋เยี่ยไม่ค่อยเข้าใจนัก พ่างจื่อเอาแต่อ่านเรื่องนี้ทั้งวัน และเขียนเรียงความมาไม่น้อยเลย ไป๋เยี่ยจึงใช้คำพูดของพ่างจื่อ ‘นี่เป็นประสบการณ์และบทสรุปของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งดีๆ ที่เหลือไว้ให้ดับคนรุ่นหลัง’

ภาษาอังกฤษของไป๋เยี่ยนั้นดีเลิศทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์ การพูด หรือไวยากรณ์

คนทั่วๆ ไปมักจะเริ่มทำข้อสอบอ่านหลังจากที่ทำเรียงความยาวและข้อสอบแปลเสร็จแล้ว

เพราะเป็นส่วนที่มีคะแนนเยอะ มีบทอ่านสี่บท มีช้อยส์ยี่สิบข้อ สี่สิบคะแนน มีคนเคยพูดว่าผู้ที่อ่านจะได้ครองโลก คงจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วแน่นอน

ไป๋เยี่ยทำเรียงข้อตั้งแต่แรก เขามีความสามารถในการทำทุกอย่างโดยไม่สนใจว่าสิ่งนั้นจะยากหรือง่าย…ซึ่งนี่แหละคือการเป็นเด็กเรียนอย่างแท้จริง

ไม่ว่าไป๋เยี่ยจะเรียน หรือทำโจทย์ เมื่อเข้าสู่สภาวะนี้เขาก็จะทำมันได้เร็วเสมอ

คนส่วนใหญ่มักจะทำข้อสอบไม่เสร็จ จึงทำและเขียนคำตอบลงไปแบบลวกๆ

ไป๋เยี่ยทำข้อสอบเสร็จก่อนหมดเวลาสอบประมาณครึ่งชั่วโมง เขาตรวจคำตอบไปมาจนมั่นใจแล้วจึงถอนหายใจออกมา อีกสามนาทีจะเก็บข้อสอบแล้ว ทว่าอาจารย์คุมสอบกลับไม่ใช่สาวสวยเมื่อเช้าแล้ว

ตอนนี้ทุกคนต่างรีบร้อนพลิกข้อสอบ และฝนคำตอบลงในกระดาษ

แต่ละฤดูที่มณฑลจิ้นซีนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน ฤดูหนาวของที่นี่จะหนาวเป็นพิเศษ มันหนาวแห้ง! หนาว!

แม้ตอนนี้ลมหนาวจะพัดเข้ามาในห้องสอบที่เปิดโล่งอยู่เรื่อยๆ

แต่ความร้อนรนและไฟที่กำลังปะทุในใจทุกคนนั้นร้อนแรงจนกลบความหนาวเย็นจากด้านนอกไปหมด

เพราะว่าข้อสอบภาษาอังกฤษของวันนี้นั้นยากกว่าของปีก่อนๆ มาก

โดยเฉพาะส่วนข้อสอบอ่าน คำศัพท์ใหม่ๆ หลายคำทำให้ทุกคนวิเคราะห์ไม่ถูกว่าควรจะเลือกตอบอะไร

ยาก!

ยากไปแล้วโว้ย!

ความเครียดและกังวลผุดขึ้นในใจของทุกคน ที่พยายามมาหนึ่งปีจะมาพังลงที่นี่จริงๆ เหรอ

ราวกับว่าภายในใจของทุกคนในห้องสอบถูกปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้ม

ทว่าทุกเรื่องก็มีข้อยกเว้นทั้งนั้น เช่น หวังโหย่วฝูนั่นเอง

ระหว่างนั้น เจ้าหมอนั่นก็เอาแต่พนมมือเหมือนกับกำลังไหว้พระ พร้อมกับพึมพำบางอย่างอยู่ จากนั้นจึงยื่นใบหน้าท้วมๆ มาเป่าลม เพี้ยง! ใส่มือ

ทันใดนั้นกระดาษแผ่นหนึ่งก็ร่วงลงมา

พ่างจื่อตาลุกวาว รีบหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาเปิดแล้วจึงฝนคำตอบลงในกระดาษ

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ใกล้ถึงเวลาส่งข้อสอบแล้ว อาจารย์คุมสอบก็พูดขึ้น

“ทุกคนลุกขึ้น วางปากกาลง แล้วส่งข้อสอบมาได้แล้ว!”

ถึงแม้คนรอบข้างจะพากันลุกขึ้นแล้ว แต่ก็ยังคงไม่หยุดมือลง ทุกคนต่างกำลังพยายามดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย

ราวกับว่า…ช่วงเวลาเพียงหนึ่งสองนาทีนี้คือความหวังสุดท้ายของชีวิต

เมื่อส่งข้อสอบแล้ว ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อก็เดินออกมา

ตอนนี้ทุกคนต่างพูดคุยกันเสียงจ้อกแจ้กจอแจ

“ยากชะมัด!”

“ใช่! ฉันไม่เคยเห็นคำศัพท์พวกนี้มาก่อนเลย…”

“ฉันท่องศัพท์เป็นสิบรอบ แต่ก็ไม่เคยเจอศัพท์พรรค์นั้นเลยนะ…”

“เฮ้อ ข้อที่ถามศัพท์ก็ยังพอทำได้อยู่หรอก แต่ประโยคยาวๆ แบบนั้นน่ะ…มันเกินไปไหม…”

ได้ยินเสียงผู้คนรอบๆ บ่นออดแอด พ่างจื่อก็หันมามองไป๋เยี่ยและถามขึ้น “เยี่ยจื่อ…นายว่ายากไหม”

ไป๋เยี่ยนึกถึงที่พ่างจื่อเล่นสุ่มคำตอบ ก็ถอนหายใจ “ก็ไม่ยากนี่”

พ่างจื่อส่ายหัว “ไม่อะ! ยากโคตรๆ…”

ไป๋เยี่ยชะงัก หรือว่าพ่างจื่อจะรู้ตัวแล้วว่าข้อสอบมันยาก

พ่างจื่อพูดต่อ “เฮ้อ…เพราะว่าตอนที่ฉันเป่ากระดาษหาคำตอบน่ะ ฉันต้องเป่าตั้งหลายทีกว่าคำตอบจะออกมา…นี่มัน…ลางร้ายชัดๆ! ฉันว่าแล้วว่าข้อสอบภาษาอังกฤษมันต้องยากมากแน่ๆ!”

ไป๋เยี่ยหัวเราะแห้ง “นายมีความสุขก็ดีแล้ว!”

พ่างจื่อรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข “ฉันรู้ดีว่านายรักฉันน่า ปะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”

[1] ผางจงหวา เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคัดลายมือ นักวิชาการ และกวีผู้มีชื่อเสียงในประเทศจีน