บทที่ 13 รักษาขา

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

เฝิงหลินเดินออกมาอย่างผิดหวัง ขณะกำลังจะเดินออกจากโถงใหญ่ไป ก็ได้ยินน้ำเสียง

นอบน้อมดังขึ้นตรงหน้า “คุณท่านชายมาหาหมอหรือขอรับ”

“เอ๊ะ” เฝิงหลินชะงักไป หันไปมองอีกฝ่าย คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าหรูหรา ท่าทาง

น่าเกรงขาม ทว่ากลับพูดจาอ่อนน้อม

เฝิงหลินไม่รู้จักเขา “ท่านคือ…”

เหล่าคนงานรู้จักเขา พากันเดินเข้ามาคำนับ ทว่าถูกเถ้าแก่รองส่งสายต้าปรามไว้

“อ๋อ ข้าเป็นคนของหุยชุนถัง” เถ้าแก่รองเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านคุณชายไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ”

เฝิงหลินส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก ข้าไม่ได้ป่วย ข้ามาตามหาหมอแทนสหายของข้า”

“ขอถามได้หรือไม่ว่าคุณท่านชายมีนามว่าอะไร”

“ข้าชื่อเฝิงหลิน” เฝิงหลินยกสองมือขึ้นคำนับ

“ข้าน้อยแซ่หู” เถ้าแก่รองคำนับกลับ

“ที่แท้ก็หมอหูนี่เอง” อีกฝ่ายบอกว่าตนเองเป็นคนของโรงหมอ เฝิงหลินจึงทึกทักไปเองว่าอีกฝ่ายคงเป็นหมออยู่ที่นี่แน่ๆ

เถ้าแก่รองไม่ได้ปฏิเสธเขา ยิ้มบางก่อนจะเอ่ยต่อ “เช่นนั้นขอถามได้หรือไม่ว่าสหายของท่าน

ไม่สบายตรงไหน”

เฝิงหลินเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ครึ่งปีก่อนขาของเขาได้รับบาดเจ็บ ไปหาหมอยามาตั้งมากมายแต่ก็รักษาไม่หาย ข้าว่าคงมีแต่หมอจางที่โรงหมอแห่งนี้เท่านั้นที่รักษาเขาได้ แต่ข้าได้ยินมาว่า…หมอจางจะไม่มาที่โรงหมอแห่งนี้แล้ว”

“ผู้ใดบอกว่าเขาจะไม่มากัน” เถ้าแก่รองส่งเสียงฮึดฮัดพลางเอ่ย “เขามา วันพรุ่งนี้ก็มาแล้ว!”

“ค่ารักษา…”

“ราคาเดียว หนึ่งร้อยอีแปะ”

คนงานทั้งโถงแทบจะสำลัก

เฝิงหลินเองก็เสียงอึกอัก “หนึ่ง หนึ่งร้อยอีแปะอย่างนั้นหรือ”

“แพงไปหรือ” เถ้าแก่รองกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้น “ข้าพูดผิดไปเอง สิบอีแปะ!”

เฝิงหลิน “…”

บรรดาคนงาน “…”

แม้เฝิงหลินจะไม่ได้ฉลาดหลักแหลมมากนักแต่ก็พอรู้ว่าค่ารักษานั้นแพง อย่าว่าแต่หมอจางที่มาจากเมืองหลวงเลย แม้แต่หมอพเนจรในหมู่บ้าน สิบอีแปะยังไม่รับรักษาเลย

“ไม่ใช่ว่าหมอจางคิดค่ารักษาสิบตำลึงหรอกหรือ” เขาถามอย่างสงสัย

เถ้าแก่รองหน้านิ่ง “รักษาที่โรงหมอถูกกว่าไปรักษาที่บ้าน”

“ถูกลง…ขนาดนั้นเชียวหรือ”

“หมอที่โรงหมอของพวกข้าทำคนตาย ค้าขายไม่ได้กำไร ซบเซานัก!”

เฝิงหลินนิ่งไปอีกครั้ง “…”

เถ้าแก่รองก็เช่นกัน “…”

เฝิงหลินรีบรุดไปยังหมู่บ้านเพื่อบอกข่าวการรักษากับเซียวลิ่วหลัง “…ค่ารักษาแค่สิบอีแปะ

ค่ายาแยกต่างหาก ตอนนี้กิจการพวกเขาไม่ดีนัก ข้าว่าค่าหยูกยาก็คงไม่แพงนักหรอก”

กิจการของโรงหมอได้รับผลกระทบก็จริง เพียงแต่จู่ๆ ก็ถูกลงขนาดนี้ ใครที่ไหนจะเชื่อกัน

เฝิงหลินเอ่ยกับเขาอย่างตื่นเต้นดีใจ “จากนั้นข้าก็ไปถามผู้ดูแลหวัง ผู้ดูแลหวังก็บอกเช่นเดียวกัน เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน ท่านทำใจให้สบายแล้วรอเถิด สิ้นเดือนวันนั้นข้าหยุดเรียนพอดี ข้าจะไปกับท่านเอง!”

แม้แต่วันเวลาก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ท่าทางคงจะเป็นเรื่องจริง

สามวันต่อมา คะแนนสอบประกาศ กู้ต้าซุ่นสอบได้เป็นอันดับที่สอง

ผู้เข้าสอบในคราวนี้มาจากทั่วทุกสารทิศ รวมแล้วกว่าหลายร้อยคน ในนั้นมีลูกหลานจากตระกูลใหญ่มากมาย พวกเขาจ้างอาจารย์มาสอนตั้งแต่เล็ก มีโอกาสได้ร่ำเรียนมากกว่ากู้ต้าซุ่น แต่กู้ต้าซุ่นยังสอบได้ถึงที่สอง เป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลกู้โดยแท้

ยิ่งคราวนี้ใต้เท้าเจ้าสำนักเป็นคนออกข้อสอบเองด้วย ทั้งสำนักบัณฑิตต่างลือไปทั่ว ว่าอาจารย์ของใต้เท้าเจ้าสำนักลงเขามาแล้ว และจะคัดเลือกบัณฑิตที่สอบได้ในคราวนี้เป็นลูกศิษย์

กู้ต้าซุ่นรู้สึกว่าตนเองนั้นมีโอกาสค่อนข้างสูง

“แล้วลิ่วหลังสอบเป็นอย่างไรบ้าง” นายใหญ่กู้ถาม

กู้ต้าซุ่นยิ้มเอ่ย “เขาก็สอบติดเหมือนกันขอรับ”

ได้ลำดับที่สองเหมือนกัน เพียงแต่นับจากท้ายขึ้นมา

คราวนี้รับทั้งหมดหนึ่งร้อยคน เซียวลิ่วหลังสอบได้อันดับที่เก้าสิบแปด

พอนึกว่าตัวเองทิ้งห่างเซียวลิ่วหลังขนาดนั้น กู้ต้าหยวนก็ลำพองใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ทว่าปากกลับพูดว่า “เขาไม่ได้ไปเรียนที่สำนักกว่าครึ่งปี ตั้งใจอ่านตำราที่เรือนเอง สอบได้คะแนนระดับนี้ก็ถือว่าเยี่ยมยอดแล้วขอรับ”

“เขาพากเพียรร่ำเรียนมาตั้งนาน แต่ก็เกือบสอบไม่ติด เห็นได้ชัดว่าเรียนหนังสือนั้นเป็นเรื่องของพรสวรรค์ด้วย เรื่องนี้เจ้าเหนือกว่าลิ่วหลังมากนัก” น้อยนักที่นายใหญ่กู้จะพูดมากขนาดนี้ เดิมทีเขาก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากมายกับกู้ต้าซุ่น แต่พอผลคะแนนออกมาในวันนี้ เขาก็เชื่อว่าการสอบ

ขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าของกู้ต้าซุ่นต้องผ่านไปอย่างราบรื่นแน่นอน

นายใหญ่กู้ดีใจยิ่งนัก จึงใช้ให้ลูกชายคนรองเข้าอำเภอไปซื้อหมูสามชั้นมาหนึ่งกิโล

วันนี้เป็นคราวของบ้านรองที่ลงครัว แม่นางหลิวรู้ว่าหมูสามชั้นที่ยกขึ้นโต๊ะนั้น เกินกว่าครึ่งคงลงท้องของกู้ต้าซุ่นเป็นแน่ จึงแอบเก็บเนื้อสองชิ้นไว้ในไห

“ท่านแม่ ท่านแอบซ่อนเนื้อหรือ!”

สายตาแหลมคมของกู้เสี่ยวซุ่นมองลอดเข้ามา

แม่นางหลิวตกใจตัวสั่น จนเกือบจะทำไหคว่ำ นางหันหลังไปฟาดกู้เสี่ยวซุ่นอย่างแรง “เบาๆ หน่อย! จะตะโกนทำไม!”

กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยพลางยักคิ้วหลิ่วตา “ข้าอยากกินเนื้อ”

“ไม่ได้!” แม่นางหลิวหันหลังกอดไหไว้แน่น

กู้เสี่ยวซุ่นส่งเสียงฮึดฮัด “หากไม่ให้ ข้าจะบอกท่านปู่ ว่าท่านแอบซ่อนเนื้อไว้!”

“เจ้า…” แม่นางหลิวโมโหจดกำหมัดยกขึ้น คนอื่นมีลูกแล้วมีแต่เรื่องให้ชื่นอกชื่นใจ

เหตุใด

ลูกของนางถึงได้กวนโมโหแบบนี้

แม่นางหลิวรู้ดีว่ากู้เสี่ยวซุ่นกล้าทำเรื่องหักหลังนาง แม้จะเจ็บใจแต่ก็ต้องจำใจเปิดไหแล้วใช้มีดหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เขา

กู้เสี่ยวซุ่นยังไม่ทันได้รู้รส เนื้อก็หมดเสียแล้ว “เหตุใดถึงให้ข้าแค่ครึ่งคำ ในไหมีตั้งสองชั้นใหญ่!”

“นั่นเก็บไว้ให้เอ้อซุ่น!” ลูกสองคนมีเพียงเอ้อซุ่นคนเดียวที่ตั้งใจเรียนหนังสือ แม่นางหลิวหวังว่าวันหน้าหากเอ้อซุ่นได้ดิบได้ดีขึ้นมา นางเองก็พลอยจะสุขสบายไปด้วย ส่วนเสี่ยวซุ่นนั้น นางเองก็ไม่รู้จะหวังพึ่งอะไรได้ เกเรเป็นที่สุด หากวันหน้าเขาไม่ทำเรื่องอับอายให้แก่ตระกูล นางก็นับว่าเป็นบุญแล้ว

กู้เสี่ยวซุ่นอยากจะแบ่งเนื้อไปให้พี่สาวของตน แต่เขาก็ไม่กล้าถึงขั้นแย่งไหมาจากมือ

แม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง ทำได้เพียงรอจังหวะแม่เผลอ เปิดฝาหม้อแล้วคว้าหมั่นโถวเปล่าไปสองสามลูก

“ลูกไม่รักดี!” แม่นางหลิวโกรธควันออกหู

หมั่นโถวเปล่าก็นับว่าเป็นของดี ปกติแล้วมีแต่กู้ต้าซุ่นเท่านั้นที่ได้กิน ส่วนพวกเขาได้กินแค่แป้งข้าวโพด

แม่นางหลิวโมโหจนคว้าไม้มาไล่ฟาดเขา ทว่ากู้เสี่ยวซุ่นนั้นวิ่งเร็วนัก พริบตาเดียวก็ไม่เห็น

แม้แต่เงา

กู้เสี่ยวซุ่นฮึดวิ่งมาถึงบ้านของพี่สาว ฝ่ามือถูกหมั่วโถวร้อนนาบจนแดงไปหมด

“ท่านพี่!” เขาพรวดเข้ามาในครัว ทว่าพอได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ร่างทั้งร่างก็ชะงักไป

เขาสูดกลิ่นนั้น “หอมชะมัด ท่านพี่ ท่านกำลังต้มอะไรอยู่หรือ”

“ไก่ป่าน่ะ”

ไก่ป่าสามตัวเมื่อคราวก่อน เธอขายไปสองตัว ส่วนตัวที่เหลือนี้เลี้ยงไว้อีกสองสามวันจึงได้ลงมือเชือดในวันนี้

“เจ้าเอาอะไรมาด้วย” กู้เจียวมองมือเขา

“หมั่นโถวน่ะ” กู้เสี่ยวซุ่นหางลู่หูตก เดิมทีคิดว่าจะเอาของกินมาให้นางแท้ๆ ใครจะไปคิดว่าพี่สาวตัวเองจะมีเนื้อไก่กิน พริบตาเดียวหมั่นโถวพวกนี้ก็ดูไร้ค่าไปเสียแล้ว…

กู้เจียวหยิบชามมาแล้วบอกให้เขาวางหมั่นโถวลงไป ก่อนจะตักน้ำใส่กะละมังอีกหนึ่งใบ

“มือ จุ่มลงไป”

“เอ๊ะ” กู้เสี่ยวซุ่นไม่ถามว่าเพราะเหตุใด ทำตามอย่างว่าง่าย พอจุ่มมือลงไปในน้ำก็หายเจ็บทันที

“กินข้าวที่นี่สิ” กู้เจียวพูดกับเขาอีกครั้ง

“ห้ะ” กู้เสี่ยวซุ่นชะงักไป

“ทำเผื่อเจ้าไว้ชามหนึ่ง ว่าจะเอาไปให้อยู่พอดี เจ้ามาถึงที่แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาข้าเทียวไป

เทียวมา” กู้เจียวเอ่ยพลางเปิดตู้เก็บชาม ก่อนจะหยิบชามเนื้อไก่ออกมาแล้วเทลงไปในหม้อ

กู้เสี่ยวซุ่นเห็นเนื้อไก่ชามนั้น ก็รู้ว่าพี่สาวของเขาไม่ได้พูดไปตามมารยาทเพียงเพราะเห็นเขามา ทว่าทำเผื่อเขาไว้จริงๆ

กู้เสี่ยวซุ่นแสบจมูกขึ้นมาในทันใด

เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังกู้เจียว โน้มตัวลงมาแล้วใช้หน้าผากซบกับแผ่นหลังของนาง

พลางถูไถ “ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงได้ดีกับข้าเพียงนี้ ท่านว่า หรือว่าความจริงแล้วท่านคือแม่แท้ๆ ของข้า”

กู้เจียว “…”