ในขณะที่อาเซียเอียงหัวอย่างงุนงงให้ข้อสรุปอันแปลกประหลาดขององค์จักรพรรดิ มหาดเล็กที่เคยนิ่งเงียบไม่ไหวติงก็สะดุ้ง
หลานสาวงั้นเหรอ
พระจักรพรรดิทรงเรียกพระราชนัดดาของตนเองว่าองค์หญิงองค์ชายเพียงอย่างเดียวตลอดมา
และกับเหล่าพระราชโอรสเองก็เช่นเดียวกัน เพราะต้องการสื่อว่าไม่ได้มองเป็นครอบครัว แต่มองเป็นเพียงสมาชิกในราชวงศ์เท่านั้น
“ไม่กี่วันหลังจากนี้จะมีของชิ้นหนึ่งมา เราจะส่งมันไปให้เธอ”
ถึงกับมอบของขวัญให้เป็นการส่วนพระองค์เสียด้วย มหาดเล็กลองนึกย้อนดูว่าพระจักรพรรดิเคยทำตัวแบบนี้หรือเปล่า แต่แล้วก็นึกออกว่า องค์หญิงองค์ชายที่ทรงอนุญาตให้อยู่ในพระราชวังต่อตั้งแต่แรกคือองค์รัชทายาท และนับจากนั้นมา ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกเลย
ทั้งยังจำได้ว่าไม่เคยมอบอะไรให้องค์รัชทายาทเป็นการส่วนพระองค์เลยแม้แต่อย่างเดียวด้วย
“เพคะ? มะ ไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่ลุงหัวหน้าคนครัวก็ช่วยเหลือหม่อมฉันเยอะ แล้วทีนี้หม่อมฉันก็ต้องกลับบ้าน…”
ในตอนที่อาเซียกำลังจะพูดต่อโดยไม่ได้รู้เลยว่ามหาดเล็กกำลังคิดอะไรด้วยความสับสนอยู่
อาเซียก็หยุดพูดแล้วเบิกตากว้าง
สิ่งที่คล้ายกับภาพหลอนสะท้อนเข้ามาในดวงตาของอาเซีย ผ้าคลุมไหล่กึ่งโปร่งแสงที่พระจักพรรดิคลุมอยู่กลับพลิ้วไหวไปมาราวกับเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบ
เอ๊ะ…เอ๊ะะะ
มันกระเพื่อมแผ่วเบาและนุ่มนวล ส่วนปลายของผ้าคลุมที่แผ่สยายออกขยับเข้ามาใกล้เธอทีละนิด แล้วในที่สุดก็เฉียดผ่านหน้าผากกับแก้มของเธอ
แม้ว่าอาเซียจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่พระจักรพรรดิก็ชี้นิ้วไปด้านนอกห้องหนังสือโดยไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว
“หัวหน้าคนครัวคือพาเวลล์ มาร์ก้าใช่ไหมนะ เราจะมอบรางวัลให้เขาด้วย เอาเป็นตามนั้น ดึกมากแล้ว เธอพาองค์หญิงไปส่งที่ห้องบรรทมได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
มหาดเล็กโค้งคำนับอย่างว่องไว โดยระงับความดีอกดีใจที่รอดพ้นจากประตูสู่นรกไปได้
อาเซียอ้าปากพะงาบๆ เพราะสถานการณ์ถูกกำหนดอย่างกะทันหันและแน่นอนแล้ว ว่าเธอจะต้องพักที่พระราชวังต่อ สุดท้ายเธอจึงหันหลังกลับไปทั้งที่ไหล่ตก
ประตูห้องหนังสือถูกปิดลงด้านหลัง ประตูบานนั้นเป็นเหมือนกับกำแพงที่เป็นสัญลักษณ์ของความไม่เข้าใจกันระหว่างเธอก็พระจักรพรรดิ
แล้วทำไมพระจักรพรรดิถึงได้สงสัยว่าใครทำเค้กกันแน่นะ
เธอเสนอตัวมาเพราะกลัวว่าจะทำให้หัวหน้าคนครัวตกที่นั่งลำบาก แต่เรื่องราวกลับจบลงโดยที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องอะไร
ถ้าเป็นแบบนี้ แค่ส่งตัวหัวหน้าคนครัวมาเฉยๆ ซะก็ดี!
แล้วผ้าคลุมไหล่นั่นมันอะไรกันแน่
มหาดเล็กดูท่าทางมองไม่เห็นอะไรเลย ตาของเธอมองเห็นเพียงคนเดียวอย่างนั้นเหรอ
อาเซียสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของผ้าคลุมนั้น แต่ถึงไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เธอคิดอย่างเงียบงันในใจว่าอยากรีบกลับบ้าน
***
สมเด็จพระจักรพรรดิก้มลงทอดมองถ้วยว่างเปล่านิ่งๆ
เค้กที่มีรสชาติหอมหวานทว่าติดขมนิดๆ เหมือนจะกรอบแต่ไม่นานเนื้อสัมผัสอันชุ่มฉ่ำก็หลั่งไหลเข้ามา เค้กที่แสนมหัศจรรย์นั้น ตัวเขาซึ่งเป็นถึงองค์จักรพรรดิก็เพิ่งเคยลองลิ้มรสเป็นครั้งแรก
พระจักรพรรดิมองว่าของหวานเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยและมีอุปนิสัยที่พยายามจะไม่เพลิดเพลินไปกับมัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาหารเลิศรสเลย
เขาเรียกหัวหน้าคนครัวมา เพราะคิดว่าหากทำของระดับนี้ได้ก็ควรค่าที่จะตบรางวัลให้
ทว่า…
‘หม่อมฉันทำเพราะตั้งใจจะถวายฝ่าบาทเพคะ!’
ลูกชายคนเล็กของเขาฉลาดหลักแหลมเสียจนเคยถูกหมายตาให้เป็นผู้สืบราชบัลลังก์ แต่หลังจากที่เจ้าลูกคนนั้นทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วออกจากวังไป พระจักรพรรดิก็คอยตรวจสอบข่าวคราวของอีกฝ่ายอยู่เป็นครั้งคราว ข่าวเรื่องที่หลานสาวคนเล็กกำเนิดแล้วก็ได้ยินมาด้วยวิธีการนั้น
แต่ในช่วงนั้น เขาไม่ได้สืบเพียงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับยูเลียและหลานสาวคนนั้นเพียงอย่างเดียว เรื่องเกี่ยวกับหลานคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
แม้บอกว่าปู่หลานได้เจอกันครั้งแรกในรอบสิบปีก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกพิเศษใดๆ
ทว่า หากบอกว่าไม่สนใจดวงตาสีเขียวอ่อนของหลานสาวตัวน้อยที่พูดจาชัดถ้อยชัดคำ นั่นก็คงเป็นคำพูดโกหก
“ชามาล”
<เป็นอะไรไป>
เมื่อพระจักรพรรดิพึมพำชื่อดังกล่าวขึ้นมาราวกับพูดคนเดียว สายลมก็โหมแรงพัดเข้ามาอย่างกะทันหัน สายลมที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในห้องหนังสือที่ปิดประตูทุกบาน
“เด็กคนนั้นมองเห็นเธอด้วยเหรอ”
<สิ่งที่เหมือนกับลูกพีชจิ๋วนั่นน่ะเหรอ>
สิ่งที่ตอบคำถามขององค์จักพรรดิ คือผ้าคลุมไหล่กึ่งโปร่งแสงที่คลุมตัวเขาอยู่จนถึงตอนนี้
สิ่งนั้นพลิ้วไหวราวระลอกคลื่นแล้วแปรเปลี่ยนเป็นสายลมในทันที
สายลมนั้นโหมแรงแต่ไม่พัดพาฝุ่นมาเลยแม้แต่เศษผง มวลพลังงานกึ่งโปร่งแสงเปลี่ยนรูปร่างไปมาอย่างวุ่นวายตรงหน้าพระจักรพรรดิ เริ่มจากรูปร่างของเด็กผู้ชายไปจนถึงคนชรา เป็นภาพที่ประหลาดตามากจริงๆ
สิ่งนี้คือหัวข้างหนึ่งของอินทรีสองหัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ไคเย รูส
ซึ่งก็คือ ‘เจ้าแห่งดวงวิญญาณทั้งปวง’ นั่นเอง
เป็นดวงวิญญาณที่เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักร และมีเพียงพระจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถเรียกออกมาได้ ผู้ที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะท้าชิงราชบัลลังก์
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพระจักรพรรดิคือเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งวาโย ชามาล
หลังพิธีเรียกดวงวิญญาณ พระจักรพรรดิใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะมองเห็นรูปร่างของดวงวิญญาณที่ว่ากันว่าไม่มีตัวตนที่แท้จริงด้วยตาเปล่าได้
ในราชอาณาจักรน่าจะไม่มีใครรู้ว่าเราสามารถมองเห็นตัวต้นที่แท้จริงของดวงวิญญาณได้ เหล่านักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิเพียงจัดให้มันเป็นเรื่องเล่าแต่โบราณและทำการวิจัยเท่านั้น
ทว่าเด็กผู้หญิงที่อายุเพิ่งจะสิบขวบปี กลับมองเห็นร่องรอยของเจ้าแห่งดวงวิญญาณอย่างนั้นเหรอ ต่อให้บอกว่าเห็นเป็นแค่เงาก็เถอะ
ต้องคอยจับตาดูแล้วสิ
“…ว่าแต่ ลูกพีชจิ๋วเหรอ”
<เส้นผมสีชมพูกับดวงตาสีเขียวอ่อน ก็เหมือนกับลูกพีชเลยไม่ใช่เหรอ>
พอลองคิดดูก็ไม่ผิดเลยสักนิด ในขณะที่พระจักรพรรดิหัวเราะจนรอยตีนกาขึ้น สายลมก็พัดผ่านไปทั่ว
รูปร่างของมันกลายเป็นสุนัข แล้วก็กลายเป็นวัว จากนั้นก็กลายเป็นมนุษย์ แล้วก็กลายเป็นนก สลับไปมาไม่ได้หยุดหย่อน
<แค่ประหลาดใจก็เลยกะว่าจะลองแตะดูสักหน่อยเท่านั้นเอง>
“ประหลาดใจอะไร”
สำหรับดวงวิญญาณดวงนี้ที่ใช้ชีวิตมาเนิ่นนานจนมนุษย์นึกไม่ถึง ยังเหลือเรื่องที่ทำให้สงสัยและประหลาดใจอยู่อีกหรือ
คำถามของพระจักรพรรดิทำให้รูปร่างของสายลมหยุดนิ่งไปชั่วขณะเป็นครั้งแรก
<ก็ต้องประหลาดใจสิ เป็นครั้งแรกที่เห็นมนุษย์ที่ไม่มีความสนใจต่อตัวเจ้าขนาดนี้>
“อะไรนะ”
<จะให้ถูกก็ต้องพูดว่า ‘เป็นครั้งแรกที่เห็นมนุษย์ที่ไม่มีความสนใจต่อตัวผู้ทำพันธสัญญากับข้า’ สินะ>
เมื่อพระจักรพรรดิเลิกคิ้ว สายลมก็ระเบิดเสียงหัวเราะก๊ากๆ ออกมา
<สิ่งที่เจ้าเด็กลูกพีชจิ๋วนั่นสนใจก็แค่เจ้ากินขนมของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อยมากแค่ไหนเท่านั้น เจ้าบอกว่าจะให้รางวัลใช่ไหม เจ้าลูกพีชมีความสนใจไหมนะว่ารางวัลนั้นคืออะไร>
“โฮ่”
<สิ่งที่คิดนอกเหนือจากนั้นก็น่าจะประมาณว่า ‘จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่’ หรือเปล่า>
“…”
พระจักรพรรดิเงียบไปชั่วครู่ เขารู้เป็นอย่างดีว่าครอบครัวของลูกชายคนเล็กที่ออกจากวังไป ใช้ชีวิตกันมาอย่างขัดสน
การที่หลานสาวคนนั้นอยากกลับบ้านทั้งที่ได้เห็นพระราชวังอันโอ่อ่า เขาคิดว่าอาจเป็นเพราะยังเด็กจึงต้องการแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกัน เสี้ยวหนึ่งในใจกลับสั่นคลอนขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
รู้สึกราวกับได้เห็นเงาของลูกชายคนเล็กที่เขาทั้งรักทั้งหวงแหน
ไม่ใช่ว่าได้รับถ่ายทอดมาแต่นิสัยต่อต้านหรอกนะ
<เพิ่งจะเคยเห็นคนที่คิดเรื่อยเปื่อยแบบนั้นทั้งที่อยู่ต่อหน้าเจ้าเป็นครั้งแรก ข้าย่อมประหลาดใจในเรื่องนั้นอยู่แล้ว>
“…นิสัยแบบนั้นคงจะเหมือนพ่อของตัวเองน่ะสิ”
<อ๋อ ลูกคนเล็กสุดของเจ้าที่พูดเสียงแข็งแล้วออกจากวังไปเมื่อวันก่อน… เดี๋ยวนะ เจ้าลูกพีชนั่นคือลูกสาวของเขางั้นเหรอ>
พระจักรพรรดิจิ๊ปาก ในระหว่างนั้น รูปร่างของสายลมก็เปลี่ยนแปลงไปหลากหลายรูปพรรณ
“วันก่อนของเธอช่างยาวนานซะจริงนะ”
ทว่า สำหรับพระจักรพรรดิเองก็เป็นเรื่องที่เหมือนเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนเช่นเดียวกัน ลูกชายคนเล็กในความทรงจำของเขายังคงมีใบหน้าที่ดูหนุ่มอยู่เลย
แต่ตอนนี้ ลูกสาวของลูกชายคนเล็กคนนั้นมาเยือนพระราชวังเสียแล้ว
เด็กผู้หญิงที่เหมือนกับหลุดออกมาจากโพรงกระต่ายที่ไหนสักแห่ง และอบเค้กชิ้นเล็กมาโดยบอกว่าทำมันเพราะตั้งใจจะมอบให้เขา
“…เห็นบอกว่าทำพันธสัญญากับนกน้อย ถูกต้องแล้วใช่ไหม”
<ดวงวิญญานกน้อยเหรอ>
ชั่วขณะหนึ่ง รูปร่างของชามาลที่เคยเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้งก็หยุดลงทันควัน มันหยุดลงในวินาทีที่แปรเปลี่ยนจากตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่มาเป็นดอกกุหลาบ รูปร่างจึงแปลกพิลึก
ในตอนที่พระจักรพรรดิขมวดคิ้วให้กับภาพพิลึกพิลั่นนั้น ชามาลก็พูดขึ้นอีกครั้ง
<บอกว่าเจ้าลูกพีชจิ๋วทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณนกงั้นเหรอ ใครบอก>
“มาร์ควิสเซเรเนเตฟ เพราะเขาทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณแห่งการตัดสิน”
พระจักรพรรดิกล่าวถึงลูกชายของตัวเองราวกับเอ่ยชื่อของคนอื่น
<หืม…>
รูปร่างของชามาลเปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง เชื่องช้าต่างกับก่อนหน้านี้
<ดวงวิญญาณแห่งการตัดสินไม่มีทางที่จะทายผิดได้นะ…>
“ฟังดูเหมือนบอกว่าครั้งนี้ทายผิดเลยนะ”
<นั่นก็เป็นเรื่องที่แปลกไม่น้อย>
สายลมไม่ตอบกลับคำพูดของพระจักรพรรดิ แล้วปรากฏให้เห็นรูปลักษณ์กึ่งโปร่งแสงทางนี้ทีทางนู้นทีพร้อมกับพูดคนเดียว
<นกน้อยเหรอ ฟังดูแล้วก็อาจมองแบบนั้นได้>
“เห็นเธอพูดแบบไม่มั่นใจเป็นครั้งแรกเลยนะ”
<ข้าก็ครั้งแรกเหมือนกัน>
หลังจากนั้น สายลมก็พัดโหมอยู่พักหนึ่งกว่าจะสงบลง
<ปริศนาน่ะ คงจะต้องแก้ไปทีละนิด แต่ถ้าบอกว่ามีเรื่องหนึ่งที่แน่ใจก็คือ มาร์ควิสคนนั้นของเจ้าดูท่าจะเอ็นดูเจ้าลูกพีชมากทีเดียว>
ชามาลพรางกายลงในรวดเดียวหลังจากพูดแบบนั้นจบ บทสนทนาจบลงโดยที่สายลมเย็นเยียบพัดโฉบเข้ามาอย่างรุนแรง
พระจักรพรรดิถอนหายใจพร้อมกับค่อยๆ กวาดตาดูบริเวณลิ้นปี่
เมื่อเห็นท่าทีของชามาลแล้ว ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นคงยังไม่คิดจะบอกความจริง
ไม่ใช่ว่าพระจักรพรรดิไม่เคยเสียใจทีหลังกับตัวเลือกของตนเองในช่วงเวลาที่มีชีวิตมา แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีลางสังหรณ์ไม่ชี้ชัด ราวกับว่าการตัดสินใจที่จะให้หลานสาวคนเล็กอยู่ที่นี่ต่อ อาจทำให้ได้รับสิ่งตอบแทนกลับมาเป็นลมมรสุมลูกใหญ่
***
ในตอนที่อาเซียกลับมาที่ห้องอย่างระมัดระวังพร้อมกับมหาดเล็กผู้ซึ่งดูเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว โชคดีที่ลิสดูเหมือนจะยังอยู่ที่ห้องครัวทางฝั่งพระตำหนักใหญ่
อาเซียฟังเสียงปิดประตูแผ่วเบาแล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียง
คงเพราะได้ลองทำขนมครั้งแรกในชีวิต หัวใจของเธอจึงเต้นแรงจนไม่ง่วงเลย
ของรางวัลที่จะมอบให้คืออะไรนะ ถ้าเป็นของที่แลกเป็นเงินสดได้ก็คงดี
ถ้าเป็นแบบนั้น เมื่อได้กลับบ้านก็จะขายมันทันที แล้วซื้อน้ำตาล เนย กับแป้งมาอบขนม…
ถ้าเป็นของใหญ่ก็อาจจะซื้อบ้านได้เลย…
เธออาจได้รับบ้านที่สามารถใช้ชีวิตกับพ่อแม่อย่างสงบสุขมาก็ได้ ไม่ใช่บ้านที่ต้องซ่อมหลังคาทุกปี ไม่อย่างนั้นก็จะเปียกฝนแม้อยู่ในตัวบ้านก็ตาม
อาเซียคิดถึงตรงนั้นแล้วจู่ๆ ก็คลำมือบนลายผ้าของชุดนอนตัวเอง
ตอนโวยวายกันว่าเค้กสองถ้วยหายไปจากในครัว เจ้านกก็หายตัวไปราวกับไม่ชอบเรื่องน่ารำคาญ แล้วเข้าไปอยู่ในลายของชุดนอนเธอตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
อาเซียใช้ปลายนิ้วกดย้ำๆ บนลายเสื้อที่นูนขึ้นอย่างเด่นชัด
“เฮ้อ นี่ๆ เพราะเธอ ฉันถึง…”
<คนที่อยากทำเค้กช็อกโกแลตลาวาคือเจ้าต่าง…>
“แว้กกก!”
เกิดความวุ่นวายขึ้นในชั่วขณะหลังเสียงกรีดร้องของอาเซีย
หญิงรับใช้แปลกหน้าผลุนผลันเข้ามาก่อน หลังจากที่หญิงรับใช้คนนั้นเรียกลิสมา ไม่นานลิสก็วิ่งเข้ามาในห้อง อาเซียชี้แจงกับพวกเขาว่าฝันร้าย
ลิสปลอบเธอ เสร็จแล้วก็ลังเลอยู่พักใหญ่ถึงออกไปอีกครั้ง อาเซียต้องนอนลงกับเตียงพร้อมผ่อนลมหายใจให้สงบ
เมื่อรอบข้างเงียบสงบลงได้อย่างยากลำบาก อาเซียก็ดันตัวขึ้นแล้วตีหัวของตัวเองตุ้บๆ
“หูฝาดเหรอ”
<ไม่ใช่หูฝาด ตัวข้าผู้นี้คือมหาดวงวิญญาณแห่งความรู้สึก!>