สถานีคิซารากิเป็นเรื่องเล่าบนอินเตอร์เน็ตที่ดังพอควรเลย ; ฉันรู้เวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป็นที่รู้จักกันภายใต้ชื่อนั้นแบบเป๊ะเลย มันเกิดขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 2004 เวลา 23:00 น. ฉันบอกได้เพราะเหตุการณ์นี้ถูกโพสต์แบบเรียลไทม์บน 2channel ในกระดานข่าวไม่ระบุตัวตน
ทุกอย่างมันเริ่มจากโพสต์ที่ว่า [มีบางอย่างแปลกๆ กับรถไฟที่ฉันกำลังนั่งอยู่] รถไฟขบวนนั้นไม่ยอมจอดในสถานีที่ควรจะจอด แล้วในตอนที่ในที่สุดมันก็จอดซักที ที่สถานีรกร้างกับป้ายชื่อที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ป้ายนั้นเขียนว่า ‘สถานีคิซารากิ’ แต่รถไฟสายนั้นไม่ควรจะมีสถานีชื่อนี้อยู่เลย…
คนที่เจอกับเหตุการณ์แบบนั้นเข้าก็ใช้มือถือโทรหาครอบครัว แล้วก็โพสต์ลงออนไลน์เพื่อพยายามหาทางกลับบ้าน แต่หลังจากที่คนคนนั้นถูกพาขึ้นรถคนน่าสงสัยคนนึง แบตโทรศัพท์ก็หมด ช่องทางการติดต่อทั้งหมดก็สูญหายไป ตอนปี 2004 ฉันยังเด็กอยู่เลย ก็เลยเพิ่งจะได้อ่านรายละเอียดพวกนี้ทีหลัง แต่หลังจากที่เรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นมา ก็มีเรื่องเล่าแนว [หลงไปโลกอื่น] เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลเลย ไม่แน่ นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าตามอินเตอร์เน็ตแนวนั้นก็ได้นะ
ว่ากันตามตรง ฉันรู้สึกประทับใจนิดๆ เหมือนกันนะ รู้สึกเหมือนการเข้าไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนเส้นทางแสวงบุญเลย… นี่มันคนละระดับกับการไปเจอคุเนะคุเนะหรือท่านฮัชชาคุอีกนะ แน่นอนว่าพวกมันดูใกล้เคียงกับรูปร่างของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเล่าอยู่ในตำนานพวกนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกมันเรียกตัวเองด้วยชื่อๆ นั้นซักหน่อยนี่นา นี่น่ะไม่เหมือนกัน―นี่น่ะ มันเขียนเอาไว้จริงๆ เลยว่า [คิซารากิ] สถานีนี่ไม่ควรจะมีอยู่จริงนะ แต่มันมีอยู่จริง! จะว่าฉันเหรอที่จะมีความรู้สึกถาโถมแบบนี้น่ะ?
แต่ว่า ถึงจะได้เจออะไรแบบนี้ก็เถอะ มันยิ่งกว่าที่สิ่งที่ฉันคาดว่าจะได้เจอซะอีก ที่สถานีรถไฟที่ไม่ควรจะมีอยู่จริง กลายเป็นค่ายพักของกลุ่มนาวิกโยธิน USFJ (United States Forces Japan) ไปซะแล้วน่ะ
พวกเราเดินผ่านจุดตรวจตั๋วที่ไม่มีคนประจำอยู่ ผ่านจุดนั่งรอที่มีม้านั่งสีฟ้าอยู่ 2-3 อัน เมื่อเดินออกมาจากอาคารสถานีเล็กๆ นี่ ก็เป็นค่ายพักที่มีทหารเพียบเลย พอพวกเราเดินผ่านไปตามเต็นท์สีเขียวมะกอก นายทหารเฝ้ายามก็ตะเบ๊ะทักทายกับร้อยโท แต่ตาของเขาก็เบิกโพลงเลยตอนที่เห็นพวกเรา
กลิ่นน้ำมันก๊าดลอยอยู่ในอากาศด้วย ได้ยินเสียงเครื่องปั่นไฟดังลอยมา ดูท่าพวกเขาจะมีไฟฟ้าใช้นะ แต่ในค่ายพักก็ยังมืดอยู่ดี แถมก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพยายามสร้างแสงไฟให้น้อยที่สุดด้วย
ภาพโครงเงาดำใหญ่โตที่ฉันมองเห็นอยู่ข้างหลังเต็นท์ที่เรียงเป็นแถว มันคือรถหุ้มเกราะสินะ? ถัดไปก็มีกำแพงที่ก่อขึ้นมาจากกระสอบทราย แล้วบนนั้นก็มีปืนกลกระบอกใหญ่สุดๆ เลยด้วย
“ทำไมไม่มีใครเฝ้าอยู่ที่ชานชะลาเลยล่ะคะ?”
โทริโกะถาม พลางมองกลับไปที่จุดตรวจตั๋ว
“เพราะมันอันตรายน่ะสิ เวลาที่รถไฟมาน่ะ”
เวลาที่รถไฟมา…?
ฉันกับโทริโกะหันมามองหน้ากัน
ร้อยโทพาพวกเรามาหยุดที่หน้าเต็นท์หลังนึง ก่อนที่จะหันไปคุยกับเกร็กที่ตามมาข้างหลังพวกเรา
“Sergeant Major, this is far enough. (จ่าสิบเอก พอแค่นี้) Let the men rest. (ให้ทุกคนเลิกกองได้)”
“It’s dangerous, Lieutenant. (มันอันตรายนะครับ ร้อยโท) I can’t trust them. (ผมไม่ไว้ใจพวกเธอเลย)”
เกร็กพูดเสียงดังให้พวกเราได้ยินเสียงเขาด้วย ร้อยโทก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางส่ายหน้า
“Don’t make me repeat myself, Sergeant Major. (อย่าให้ต้องพูดซ้ำ จ่าสิบเอก)”
“…Understood. (ทราบแล้วครับ) Be careful, sir. (ระวังตัวด้วยนะครับ)”
“I know. (รู้แล้ว) Good work out there. (ทำได้ดีมาก)”
จ่าสิบเอกเกร็กยกมือขึ้นมาตะเบ๊ะ แล้วก็ใช้ 2 นิ้วชี้ไปที่ตาของตัวเอง และหันนิ้วชี้มาที่พวกเรา ก่อนจะเดินออกไป ฉันเดานะ เขาจะบอกกับพวกเราว่า ฉันจับตาดูพวกแกอยู่ แบบนั้นล่ะมั้ง
“ขอโทษแทนลูกน้องของผมที่หยาบคายใส่ด้วยนะครับ พวกเขาน่ะ ถึงขีดจำกัดกันแล้ว―แย่หน่อยที่ผมต้องขอแบบนี้ แต่พยายามอย่าไปทำอะไรที่ยั่วโมโหพวกเขาจะดีที่สุดนะครับ”
ร้อยโทบอกพวกเราด้วยเสียงอ่อนล้า ก่อนจะตะโกนเข้าไปในเต็นท์
“Major, I’m back. (พันตรี กลับมาแล้วครับ)”
“Come in. (เข้ามาเลย)”
ร้อยโทเข้าไปในเต็นท์นั้น แล้วพวกเราก็เดินตามเขาเข้าไปด้วย
ผู้ชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ ก็เงยหน้าขึ้น เขาเป็นชายตาแหลมคม ผมสีบลอนด์ทึบที่หวีไปข้างหลังอย่างเรียบร้อย เขาลุกขึ้นพรวดเลยตอนที่เห็นพวกเรา ร่างกายเขาบึกบึน แล้วก็ตัวสูงด้วย พอเขายืน เส้นผมเขาก็แทบจะไปถูกับหลังคาเต็นท์แล้ว
“Lieutenant. (ร้อยโท) Who are these girls? (เด็กผู้หญิงพวกนี้เป็นใคร?)”
“Civilians we encountered on return from our topographical survey, sir. (ประชาชนที่พวกเราบังเอิญไปพบเข้า ระหว่างเดินทางกลับจากการออกสำรวจพื้นที่ครับ) They claim that, about an hour ago, they came to the Otherside from Tokyo. (พวกเธออ้างว่า ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อน พวกเธอเข้ามาที่ออเธอร์ไซด์จากโตเกียวครับ)”
“Their entry point? (เอนทรีพ็อยต์ของพวกเธอล่ะ?)”
“Unclear. (ไม่แน่ชัดครับ) By the time they noticed, they were already here. (ตอนที่พวกเธอรู้ตัว พวกเธอก็มาอยู่ที่นี่แล้ว)”
“Do you have a rough location? (มีตำแหน่งโดยคร่าวหรือเปล่า?)”
“I could make an estimate, but it’s likely in the territory of the wild things. (พอจะกะประมาณได้อยู่ครับ แต่เหมือนว่าจะเป็นอาณาเขตของพวกไวลด์ธิงส์) The Horned Man, Face Dogs, and the Walking Gallows was chasing them. (ฮอร์นแมน, พวกเฟซด็อก แล้วก็วอล์กกิ้งแกลโลวส์ไล่กวดพวกเธอมา)”
พันตรีที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า
“Send a scouting team out when the sun’s up. (ดวงอาทิตย์ขึ้นเมื่อไหร่ ก็ส่งหน่วยลาดตระเวนออกไป) You choose the members. (เรื่องสมาชิก นายเลือกเลย)”
“Got it. (รับทราบครับ) The place is full of bear traps, though. (เพียงแต่ว่า ที่นั่นมันมีแบร์แทรปอยู่เต็มไปหมดเลย)”
พันตรีมองมาที่พวกเรา ตาสีอ่อนที่จ้องตรงมาที่ฉันมันทำเอารู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาซะเฉยๆ เลย
“พวกเธอ 2 คนวิ่งฝ่าทุ่งที่เต็มไปด้วยแบร์แทรปมาได้ยังไงกันเนี่ย?”
ฉันอึกอัก พยายามคิดหาคำตอบที่จะพูด คำตอบเหรอ แน่นอน ก็เพราะฉันสามารถมองเห็นสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่า [แบร์แทรป] ได้ยังไงล่ะ แต่บอกพวกเขาไปจะดีเหรอ? ดูจากที่เกร็กมีทีท่าแบบนั้นก่อนหน้านี้ การพูดออกไปแบบตรงไปตรงมามากเกินไปน่ะมันบ้าชัดๆ ในตอนที่ฉันยังหาคำตอบดีๆ ที่จะพาเราออกจากสถานการณ์ตรงนี้ไปได้ไม่เจอ ร้อยโทก็พูดขึ้นมาแบบไม่ทันขาดคิดเลย
“The girls were following the tracks. (เด็กสาวพวกนี้เดินมาตามรางรถไฟครับ) We haven’t found any bear traps on the tracks so far. (จนถึงตอนนี้ เรายังไม่เคยเจอแบร์แทรปบนรางรถไฟเลย) Before that… (ส่วนก่อนหน้านั้น…)”
ร้อยโทหยุดพูดไป ก่อนจะหันมามองที่พวกเราอย่างสงสัยเหมือนกัน โทริโกะก็เลยตอบข้อสงสัยนั้น ก่อนที่ฉันจะทันพูดตอบได้
“พวกเราคงโชคดีล่ะมั้งคะ”
พันตรีได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว
“ฉันว่าการมาอยู่ที่นี่ก็โชคร้ายพอแล้วล่ะนะ เอาเป็นว่า ยินดีต้อนรับ ฉันเรย์ บาร์คเกอร์ ผู้บังคับบัญชาของกองกำลังนี้ในตอนนี้”
โทริโกะกับฉันก็พูดชื่อของตัวเองเหมือนกัน ก่อนจะเสริมไปว่า พวกเราเป็นแค่นักศึกษามหาลัยก็เท่านั้น
“นักศึกษามหาวิทยาลัยในโตเกียวงั้นเรอะ ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ ที่จะเชื่อว่าพวกเราแค่หลงทางและร่อนเร่อยู่บนเขาในโอกินาว่าน่ะ”
ถ้าให้ถูก มหาลัยที่ฉันเรียนอยู่น่ะอยู่ในไซตามะต่างหาก แต่ฉันไม่ไปพูดขัดเขาให้วุ่นวายหรอก
“ในตอนนี้นี่ คุณหมายถึง…?”
“พวกเราเสียกำลังคนไปมากเลยตลอดทางมานี่ คนที่เสียสติไป ไม่ก็หายสาบสูญไปน่ะก็ไม่ได้มีน้อยๆ ที่เลวร้ายที่สุด ก็คนที่ร่างกายหรือจิตใจได้รับผลกระทบจากแบร์แทรปนี่แหละ ส่วนใหญ่ พรรคพวกของเราก็จะเป็นคนปลิดชีวิตของพวกเขาไปซะ แต่บ้างก็ทำให้ผู้เสียชีวิตยิ่งเพิ่มขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งหายเข้าไปในพื้นที่รกร้าง”
พันตรีหันสายตาอิดโรยมามองที่พวกเรา
“พวกเธอ 2 คนไม่เป็นไรใช่มั้ย? ไม่มีอะไรแปลกๆ เกิดกับร่างกายนะ? ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว ร่างกายและจิตใจก็แปรเปลี่ยนไปในทางแปลกประหลาดแล้ว ถ้าเกิดเธอรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ฉันแนะนำให้เธอบอกพวกเราซะตั้งแต่ตอนนี้เลย”
โทริโกะกับฉันส่ายหน้าตอบพร้อมกันเลย
“ไม่เลยค่ะ”
“ม- ไม่มีค่ะ”
พันตรีมองเพ่งมาที่เรา ก่อนจะพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว ถ้าในหน่วยเรายังเหลือผู้หญิงคนไหนที่ยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็อยากให้พวกเธอเข้ารับการค้นตัวนะ แต่ดูท่า ฉันจะทำได้แค่เชื่อใจพวกเธอเท่านั้นล่ะ”
“เป็นสุภาพบุรุษ… จังเลยนะคะ”
คำพูดที่เคลือบแคลงสงสัยหลุดปากฉันไป อะไรซักอย่างมันคงไปทำให้เขาทึ่งอยู่นะ เพราะรอยย่นก็เกิดขึ้นตรงหางตาของพันตรีเลย
“ถ้าเราไม่พยายามทำตัวให้มีอารยธรรม มันก็คงจะทำให้เราทั้งหมดกลายเป็นสัตว์ร้ายได้ง่ายๆ เลย และถ้าเป็นแบบนั้นเข้าจริงๆ ความหวังที่จะหนีไปทั้งหมดของพวกเราก็จะหมดไปในทันที”
“พวกเราไม่รู้เลยว่าเราจะพุ่งเข้าไปในป่ารกร้างตามพวกพ้องคนอื่นๆ กันตอนไหน ต่อให้เราไม่เป็นแบบนั้น เสบียงของพวกเราก็จะหมด จนอดตายกัน หรือไม่ พวกไวลด์ธิงส์ก็อาจฝ่าแนวการป้องกันของพวกเราเข้ามาได้และฆ่าพวกเราทั้งหมด ถ้าพวกเราใช้เส้นทางที่พวกเธอใช้เข้ามาได้ก็คงดี”
ร้อยโทพูดเสริม
“ฉันเห็นพวกคุณมีรถหุ้มเกราะด้วย ใช้พวกมันไม่ได้เหรอคะ?”
โทริโกะถามขึ้นมา ก็ได้คำตอบจากพันตรี
“ก็จริงที่พวกเรามี MRAP อยู่จำนวนหนึ่งเลย แต่เราไม่มีดีเซลพอใช้เป็นเชื้อเพลิงหรอกนะ เราต้องให้ความสำคัญกับเครื่องปั่นไฟเป็นลำดับแรก ต่อให้เรามีดีเซลพอก็ตาม ตอนนี้ เราก็รู้ว่าแบร์แทรปนั้นสามารถกลายสภาพยานพาหนะได้ เพราะอย่างนั้น เราก็เลยไม่สามารถเอามันไปใช้โดยไม่ระวังได้”
TN: MRAP หรือ Mine-Resistant Ambush Protected คือรถหุ้มเกราะต้านทานทุ่นระเบิดและซุ่มโจมตี เป็นคำที่ใช้เรียกยานพาหนะทางยุทธวิธีขนาดเบาของกองทัพสหรัฐ ซึ่งผลิตขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเอ็มแรป (MRAP) ที่ออกแบบมาให้ทนต่อการโจมตีของระเบิดแสวงเครื่อง (IED) และการซุ่มโจมตีโดยเฉพาะ
“กล่าวคือ พวกผมติดอยู่กลางทุ่งระเบิดล่องหน ผลก็คือ ไม่สามารถออกไปจากสถานีนี้ได้ยังไงล่ะครับ”
ร้อยโทพูดรวบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยตัวเอง อารมณ์ในดวงตาลึกโหลของเขามีความเหนื่อยล้าอยู่มากกว่าความหวังซะอีก มันชวนให้ฉันคิดเลยว่า เขาอาจจะยอมแพ้ที่จะหนีไปแล้วก็ได้
“แต่ตามรางรถไฟไม่มีแบร์แทรปใช่มั้ยคะ? ทำไมถึงไม่เดินทางไปตามรางเพื่อหาทางออกล่ะคะ?”
“แน่นอนครับ พวกเราลองทำแบบนั้นแล้ว ผมส่งทหารกองหนึ่งไปทั้งทางซ้ายและทางขวา แต่มีเพียงชายคนเดียวที่สามารถรอดกลับมาได้ เขาเดินมาด้วยฝีเท้าสบายๆ พลางฮัมเพลงไปด้วยราวกับเป็นการเดินเล่น พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาใช้มีดคาบาร์ของตัวเองกรีดใบหน้าของเขาไปด้วย”
TN: KA-BAR เป็นบริษัทผลิตมีดยุทธวิธีที่โด่งดังแห่งหนึ่งครับ ยี่ห้อนี้มีการนำเข้าไปใช้ในนาวิกโยธินสหรัฐเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1942 แล้ว
การที่เขาเล่าบรรยายภาพที่น่าสยดสยองแบบนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแบบนี้ มันทำให้ฉันสะดุ้งเลย
“เดี๋ยวพวกเราจะให้พวกเธอใช้เต็นท์ที่ว่างอยู่หลังนึงนะ ฉันรับรองเลย จะไม่มีใครเขาไปใกล้แน่นอน วางใจเถอะ พอเช้าเมื่อไหร่ ถ้าพวกเธอเข้าร่วมกับทีมสำรวจจุดเอนทรีพอยต์ของพวกเธอด้วย ก็จะดีมากเลย”
“ค- ค่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“อ้อ แล้วก็ อีกเรื่องนึง…”
พันตรีทักขึ้นมา ในตอนที่ร้อยโทกำลังจะพาเราออกไป
“ฉันขอแนะนำไม่ให้พวกเธอใช้โทรศัพท์มือถือนะ”