ตอนที่ 13 อร่อยมากเลย

อาการบาดเจ็บที่ขาของเผยจี้ฉือร้ายแรงกว่าที่จี้จือฮวนคาดเอาไว้ นางเริ่มจากการห้ามเลือดก่อน จากนั้นก็ทำความสะอาดบาดแผลและฆ่าเชื้อ หลังจากเอาหนองออกก็เย็บบาดแผลจนเรียบร้อย และฉีดยากันบาดทะยักเพื่อป้องกันการติดเชื้อให้เขาด้วย

หลังจากจัดการคนและทำความสะอาดกล่องยาเรียบร้อยแล้ว จี้จือฮวนจึงได้ลุกขึ้นไปล้างมือ อาอินที่เดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจตั้งนานแล้ว เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบพุ่งเข้ามา เห็นเผยจี้ฉือนอนอยู่บนเตียงนิ่ง ๆ ไม่ขยับเขยื้อนไม่ต่างจากเผยยวน ก็ตกใจจนน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา

“พี่ใหญ่เป็นอะไรไป เขาตายแล้วหรือ?” อาอินหันมาถาม

จี้จือฮวน “…”

“แค่ฉีดสลบให้เฉย ๆ อีกครึ่งชั่วยามก็คงฟื้นแล้ว”

ยาสลบคืออะไร? อาอินที่อายุยังน้อยยังไม่เข้าใจคำศัพท์นี้ นางยื่นมือไปตรวจดูลมหายใจของเขา เมื่อพบว่าเผยจี้ฉือยังหายใจอยู่ นางจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะกุมมือเขาเอาไว้และนั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ

อาชิงเองที่ตามเข้ามา ก็รออยู่ข้างเตียงอย่างสงบ

“พี่หญิง เหตุใดพี่ใหญ่ถึงยังไม่ตื่นอีกขอรับ เขาจะเป็นเหมือนท่านพ่อหรือไม่…”

“ไม่หรอก พี่ใหญ่ไม่ได้ถูกคนวางยาพิษ สตรีผู้นั้นบอกว่านี่เป็นเพราะยาสลบอะไรนั่น พวกเราต้องรอไปก่อน” แม้นางจะไม่ได้เชื่อใจจี้จือฮวนมากนัก แต่นางก็หวังว่าพี่ใหญ่จะหายดี เขาจะหลับไม่ตื่นอย่างท่านพ่อไม่ได้เด็ดขาด

ด้านนอก

จี้จือฮวนก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ นางเข้าไปในห้องครัว ล้างผักและข้าวสารจนสะอาด ก่อนจะหยิบหม้อตุ๋นใบเล็ก ๆ ออกมาสี่ใบ ทาน้ำมันบาง ๆ ที่ก้นหม้อ จากนั้นก็ใส่ข้าวสารที่ล้างแล้วลงไป เทน้ำใส่ในปริมาณที่พอเหมาะ ก่อนจะแช่เอาไว้หนึ่งชั่วยาม

ของป่าในตะกร้าก็ต้องเอาออกมาจัดการด้วย หลังจากแบ่งประเภทของเรียบร้อยแล้ว นางก็เก็บเอาไว้ในช่องว่างมิติเพื่อรักษาความสด

ในเวลานี้เผยจี้ฉือก็ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือหลังคาที่มีรอยรั่วที่คุ้นเคย ตามมาด้วยอาอินและอาชิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

“พี่ใหญ่ ท่านฟื้นแล้ว” อาอินร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา

“ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว เมื่อครู่ข้ากับอาชิงกลัวมากเลย”

เผยจี้ฉือรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย หลังจากปลอบน้องสาวแล้วก็เอ่ยออกมาว่า “ข้าอยากดื่มน้ำ”

อาชิงรีบไปรินน้ำบนโต๊ะ ก่อนจะวิ่งมาส่งให้เขา

เผยจี้ฉือเป็นคนช่างสังเกต เขาพบว่าชามนั่นเป็นชามกระเบื้องที่สะอาด บ้านของพวกเขาไม่มีของดีแบบนี้ แต่ตอนนี้เขากระหายน้ำมาก ดื่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“พี่ใหญ่ ท่านรู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง ขายังเจ็บอยู่หรือไม่ ยังมึนหัวอยู่หรือไม่?” อาอินถามติด ๆ กันหลายคำถาม

เผยจี้ฉือมองไปที่ขาของตัวเองที่ถูกพันเอาไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะยื่นมือไปลูบเบา ๆ “ใครทำแผลให้ข้า ใช่สตรีผู้นั้นหรือไม่?”

“อืม ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ไม่เพียงแต่นางจะช่วยทำแผลให้ท่านเท่านั้น ท่านพ่อ นางก็เป็นคนเช็ดตัวและดูแลเองเช่นกัน ทั้งยังนำผ้าห่มที่เป็นสินเดิมของตัวเองออกมาห่มให้ท่านพ่อด้วย ท่านดูเครื่องนอนนี่สิทั้งนุ่มทั้งสะอาด” อาอินพูดไปก็กัดริมฝีปากไป

นี่มันแปลกมากจริง ๆ

เผยจี้ฉือกำลังคิดที่ตรวจสอบบาดแผลเพราะกลัวว่าสตรีผู้นั้นจะมีแผนร้าย ทว่าเสียงของจี้จือฮวนก็ดังมาจากด้านนอก “แผลเพิ่งเย็บเสร็จ อย่าขยับ”

“…”

อาอินมองไปนอกหน้าต่าง พบว่าจี้จือฮวนกำลังยุ่งอยู่ นางจึงไล่ให้อาชิงให้ออกไปดู จากนั้นจึงหันมากระซิบถามเผยจี้ฉือ “ท่านพี่บอกว่าจะออกไปตามหมอมารักษาท่านพ่อไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า?”

เผยจี้ฉือได้ยินดังนั้นดวงตาก็มีประกายความกังวลพาดผ่าน เมื่อมองไปที่น้องสาวที่ยังเด็กของเขาที่ถูกเรื่องวุ่นวายในบ้านบังคับให้โตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร เขาจึงตัดสินใจปิดบังเรื่องนี้เอาไว้

“ข้าหาหมอไม่เจอ เงินก็ใช้ไปหมดแล้ว จึงตัดสินใจใช้ทางลัด แต่สุดท้ายเมื่อฟ้ามืดก็เลยมองไม่ชัดทำให้ตกลงไปในหลุม และแผลนี่ก็เป็นเพราะว่าถูกกับดักล่าสัตว์หนีบมา”

ความจริงแล้วเงินไม่กี่ทองแดงจะเชิญหมอมาได้อย่างไร เขาออกไปตามหาองครักษ์ลับของท่านพ่อต่างหาก แต่สุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าท่านพ่อคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน

“จริงสิ หลายวันมานี้ที่ข้าไม่อยู่ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าบ้าง?”

อาอินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง “นางเปลี่ยนไปมากเลย ท่านเห็นสีหน้าของท่านพ่อที่ดีขึ้นใช่หรือไม่ อีกทั้งนางยังไม่สนใจฉีเทียนชางด้วย เมื่อก่อนแค่เห็นเขาก็แทบจะเอาเงินไปประเคนให้บุรุษผู้นั้นแล้ว”

เผยจี้ฉือขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกว่านางแปลกจริง ๆ แต่เขาก็ไม่ได้บอกอาอิน ว่าความจริงแล้วฉีเทียนชางผู้นั้นเขาเป็นคนล่อมาเอง และก็เป็นเขาที่บอกกับฉีเทียนชางว่าแม่เลี้ยงมีสินเดิม

เขาก็แค่บอกความจริงกับฉีเทียนชางไป ส่วนต่อไปทั้งสองคนจะพัฒนาไปอย่างไร ล้วนเป็นทางเลือกของพวกเขาเอง ไม่เกี่ยวกับอะไรเขา

แต่สตรีผู้นี้กลับลงมือทำร้ายฉีเทียนชาง และยังทำแผลให้ท่านพ่อ อีกทั้งในผ้าห่มของท่านพ่อยังมีปลิงดูดเลือดด้วยอย่างนั้นหรือ? เขาไม่เคยได้ยินว่ามีสัตว์ชนิดนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ

“พี่ใหญ่ พวกเราเชื่อใจนางได้หรือไม่?” อาอินเอ่ยถามอย่างลังเล

ความจริงแล้วสองมาวันนี้ ความรู้สึกของนางเอกก็เริ่มสั่นคลอนแล้วเช่นกัน หากว่าสตรีผู้นี้กลับตัวเป็นคนดีแล้วจริง ๆ เล่า?

“เรื่องนี้ไม่ปกติ ต้องมีลับลมคมนัยอย่างแน่นอน พวกเรารอดูไปก่อนเถอะ” ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในบ้านตอนนี้…ก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งรอความตาย

สตรีผู้นี้วางแผนจะทำอะไรกันแน่?

ในครัว

อาชิงยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็กมองดูจี้จือฮวนทำอาหาร

เมื่อข้าวสารที่แช่ไว้ได้ที่แล้ว จี้จือฮวนจึงเติมน้ำมันลงไปครึ่งช้อนโต๊ะและคนให้เข้ากัน ก่อนนำไปต้มด้วยไฟแรง เมื่อข้าวเริ่มสุกก็ลดไฟลง จากนั้นก็นำไส้กรอกและขิงฝานแผ่นออกมาจากช่องว่างมิติใส่ลงไปต้มในหม้อ รอจนน้ำในหม้อใกล้จะแห้งก็วางไส้กรอกไว้บนข้าว ตอกไข่ลงไป ปิดฝาหม้อ อุ่นต่ออีกสักพัก

เวลานี้น้ำลายของอาชิงเอ่อล้นออกมาที่มุมปากแล้ว เห็นดังนั้นจี้จือฮวนจึงหยิบหม้ออีกใบมา พลางคีบกวางตุ้งฮ่องเต้ต้นเล็ก ๆ ขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันเบา ๆ แล้วใส่ลงไปในหม้อที่มีน้ำเดือด

เมื่อเทน้ำซอสที่เตรียมเอาไว้ใส่ลงไปในหม้อตุ๋น สักพักก็มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยออกมา

ตอนนี้มีวิธีหาเงินแล้ว จี้จือฮวนจึงไม่จำเป็นที่จะต้องตระหนี่ถี่เหนียวอีกต่อไป ดังนั้นจึงตอกไข่ไก่สี่ฟองลงไปในหม้อ โดยด้านบนของแต่ละฟองนั้นมีไส้กรอกกองอยู่จนเต็ม

อาชิงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “ท่านแม่ มีส่วนของอาชิงหรือไม่ขอรับ?”

จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นว่าร้อนได้ที่แล้ว จึงเปิดฝาหม้อและใช้ช้อนตักข้าวที่แต่ละเม็ดเคลือบไปด้วยน้ำมันฉ่ำวาวขึ้นมาหนึ่งช้อน ป้อนให้อาชิง “ระวังร้อน”

เด็กตัวน้อยผู้ชื่นชอบการกิน ไฉนเลยจะสนใจว่ามันจะร้อนหรือไม่ เมื่อกัดคำแรกเข้าไป เขาก็พบว่ามันเป็นรสชาติที่อธิบายไม่ได้ ข้าวไม่เย็นเหมือนเคย และไม่ใช่ข้าวนิ่ม ๆ ดั่งที่เคยกินในจวนเมื่อกาลก่อน เขาอธิบายไม่ถูก ขาเล็ก ๆ รีบก้าวเข้าไป “ท่านแม่ ให้พี่ใหญ่กับพี่หญิงกินด้วยนะขอรับ”

เจ้าเด็กคนนี้ คงไม่ได้กำลังคิดว่านางจะกินข้าวในหม้อพวกนี้เองคนเดียวหรอกกระมัง?

จี้จือฮวนหยิบถาดมาใบหนึ่ง ก่อนจะใช้ผ้ารองที่ก้นหม้อแล้วยกออกไปที่ห้องใหญ่ เด็กสองคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงนางก็รีบปิดปากทันที จี้จือฮวนเองก็ไม่ได้สนใจ นางแค่นั่งลงและเริ่มกินข้าว

อาชิงปีนขึ้นมาบนเก้าอี้ด้วยตัวเองและเอ่ยขึ้นมา “พี่หญิงรีบมากินสิขอรับ ข้าวที่ท่านแม่ทำอร่อยมากเลย!”

อาอินจำรสชาติของบะหมี่เตาเซียวก่อนหน้านี้ได้ นางจึงเลียริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปหาอาชิง พลางมองหม้อบนโต๊ะด้วยความสงสัย

นี่คือสิ่งใดกัน ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?

อาอินเห็นจี้จือฮวนไม่ได้ว่าอะไร นางจึงเลียนแบบอาชิง ใช้ช้อนตักขึ้นมาชิมหนึ่งคำ พลันนั้นดวงตากลมโตก็เปล่งประกายออกมา เมื่อครู่นางได้กลิ่นหอมตั้งแต่อยู่ในห้องแล้ว หลังจากกินเข้าไปแล้วเท่านั้น จึงได้รู้ว่ามันอร่อยมากขนาดไหน!

อาอินยังไม่ทันจะกินอย่างจริงจัง ก็รีบยกไปป้อนให้เผยจี้ฉือก่อน

ตอนแรกเผยจี้ฉือคิดที่จะปฏิเสธ แต่เขาทำใจหักหน้าอาอินไม่ได้ จึงกินเข้าไปคำหนึ่งอย่างสงวนท่าที แต่ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง มีทั้งกลิ่นหอมและรสชาติที่กลมกล่อม รสสัมผัสเหล่านั้นล้วนติดอยู่ในปาก

อร่อยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!

สตรีผู้นี้เมื่อก่อนก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำอาหาร ทว่าอาหารที่นางทำกลับไม่ต่างอะไรจากอาหารหมูเลยสักนิด!