ตอนที่ 9 ให้ที่พักพิง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 9 ให้ที่พักพิง

หลินม่ายหุบยิ้มบนใบหน้าลง เธอกอดสมุดทะเบียนบ้านของตัวเองไว้ในอ้อมอก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “จะให้ฉันออกไปแต่ตัว? ไม่ให้เก็บเสื้อผ้าเลยรึไง? แล้วนายไม่คิดจะให้เงินติดตัวฉันไปสักหน่อยเหรอ?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนสบนัยน์ตากับเธอด้วยความขุ่นเคืองอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะคลำเจอเงินจำนวนหนึ่ง “มีแค่นี้ จะเอาหรือไม่เอา!”

จากนั้นก็วางเงินจำนวนนั้นไว้บนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งริมทางเหมือนเธอเป็นพวกขอทานแล้วเบือนหน้าหนีจากไป

หลินม่ายไม่สนใจ หยิบธนบัตรเหล่านั้นขึ้นมานับ ซึ่งมีจำนวนแค่ 1 หยวน 30 เหมา เท่านั้น

แม้ว่าจะน้อย แต่ขอแค่มีเงินค่าเดินทางเข้าเมืองก็นับว่าดีมากแล้ว

ในเมืองมีครอบครัวคู่รักหลายคู่ที่ตรากตรำทำงานอย่างขะมักเขม้น เธอเสนอตัวเองไปเป็นพี่เลี้ยงให้แก่ครอบครัวคู่รักเหล่านี้

แม้ว่ายุคสมัยนี้จะให้เงินเดือนพี่เลี้ยงน้อยมาก แต่ขอแค่ได้อยู่ในเมือง หนทางย่อมมากกว่าปัญหาอยู่แล้ว

เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านสกุลอู๋ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เป็นฝ่ายเก็บข้าวของของหลินม่ายด้วยตัวเอง

ทุกอย่างถูกบรรจุใส่ถุงกระสอบใบหนึ่ง แม้แต่อาหารมื้อค่ำก็ไม่มีเตรียมให้เธอ ไล่เธอออกจากลานบ้านในทันทีพร้อมกับโยนถุงกระสอบใส่เธอ ให้เธอรีบไสหัวไปให้ไว ก่อนจะปิดประตูบ้านดัง ‘ปัง’ จนแน่นสนิท

วันนั้นคือวันสุดท้ายของปี 1981 เกล็ดหิมะกำลังโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า หลินม่ายถูกไล่ออกจากบ้านสกุลอู๋ในชุดที่ดูมอมแมมหาส่วนดีไม่ได้  สุดท้ายก็ทรุดตัวลงอยู่ท่ามกลางกองหิมะที่หนาตา

เธอนอนคว่ำกลั้นเสียงหัวเราะให้เงียบที่สุดท่ามกลางหิมะ เฉลิมฉลองที่ตัวเองได้รับอิสระแม้จะยังไม่ได้หย่าร้าง นับแต่นี้ตัวเองอยากไปไหนก็ได้ไปแล้ว

สะใภ้ตัวน้อยที่อยู่บ้านหลังถัดไปคนหนึ่งมีนามว่า โจวไฉ่อวิ๋น ซ่อนตัวแอบเฝ้าสังเกตการณ์เธอด้วยความเห็นใจอยู่ในห้องมาตลอด

เมื่อเห็นเธอไหล่สั่นระริกไม่หยุด จึงคิดว่าเธอกำลังร้องไห้

จึงถือโอกาสตอนที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว หนีออกมาจากห้อง จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างกายเธอพลางกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “อย่าร้องเลย เห็นว่าใครเป็นที่หลบภัยได้ก็ให้รีบไปหาคนนั้นซะ อีกหนึ่งเดือนก็ค่อยกลับมาฉลองปีใหม่”

จากนั้นหล่อนก็ยัดเงินก้อนหนึ่งและมันเทศแห้งถุงหนึ่งใส่มือเธอ “ถือโอกาสตอนที่หิมะยังไม่ค่อยหนักนัก รีบไปเสีย”

หลินม่ายพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลังพลางกล่าวขอบคุณหล่อนในเวลาเดียวกัน จากนั้นหล่อนก็วิ่งกระเสือกระสนกลับบ้านไป

แม้ว่าหลินม่ายจะอยู่บ้านสกุลอู๋แค่สองเดือน แต่เพราะเป็นเพื่อนบ้านกัน จึงพอเข้าใจสถานการณ์ของโจวไฉ่อวิ๋นอยู่บ้าง

หล่อนเป็นสะใภ้ตัวน้อยผู้อ่อนแอจนต้องยอมก้มหน้ารับความลำบากคนหนึ่ง

พ่อแม่สามีและสามีของหล่อนตบตีหล่อนสารพัด  เพราะหล่อนแต่งงานเข้ามาอยู่หลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่ตั้งครรภ์ แม้แต่พี่สะใภ้ก็ยังรังแกหล่อน เป็นหญิงสาวที่โชคร้ายมากคนหนึ่ง

หลินม่ายนำธนบัตรกองหนึ่งที่โจวไฉ่อวิ๋นให้ยัดใส่กระเป๋า เก็บมันเทศแห้งถุงหนึ่งใส่ในถุงตาข่าย จากนั้นก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นและเดินต่อ แล้วรูปร่างบอบบางอรชรก็ได้หายไปท่ามกลางหิมะที่หนาตาอย่างรวดเร็ว

ประตูลานกว้างของบ้านสกุลอู๋ถูกเปิดอย่างเบามือ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเดินออกมาจากด้านใน แอบตามหลังหลินม่ายไป

หลินม่ายวิ่งออกมาจากหมู่บ้านในเพียงอึดใจเดียว กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าปากทางแยกอย่างนิ่งงันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปยังเมืองซื่อเหม่ย(สี่หญิงงาม)

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังได้ถอนหายใจอย่างโล่งใจ

เมืองซื่อเหม่ยตั้งอยู่ทิศทางตรงกันข้ามกับหมู่บ้านสกุลหวังบ้านเกิดของหลินม่าย

หลินเพ่ยศึกษาอยู่ในอำเภออวิ๋นไหลซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านสกุลหวัง หลินม่ายไม่เดินตรงไปยังหมู่บ้านสกุลหวัง นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้ไปอำเภออวิ๋นไหล และไม่ได้จะไปรายงานเรื่องหล่อน

นับว่านังแพศยาคนนี้ยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร!

ตราบใดที่เธอกล้าสร้างความลำบากใจให้เทพธิดาน้อยของตน เขาไม่มีวันปล่อยเธอไปแน่!

หลินม่ายไม่มีทางปล่อยหลินเพ่ยไปเช่นกัน เพียงแต่หลังออกจากบ้านสกุลอู๋ เธอต้องหาที่ลงหลักปักฐานให้ตัวเองก่อนแล้วค่อยกลับมาแก้แค้น อดทนแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องรีบร้อน

หลังจากเดินมาได้ 5 กิโลเมตร หลินม่ายก็มาถึงปากทางเข้าเมืองซื่อเหม่ยแล้ว

หิมะหยุดตกไปนานแล้ว มีแค่ลมหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกที่พัดผ่าน ‘ฟิ้ว ๆ’ ไปมา บาดผิวหน้าอันบอบบางจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด

จากปากทางเข้าเมืองไม่ไกลนักมีทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แต่คนทั่วไปในท้องที่กลับเรียกมันว่าอ่างเก็บน้ำ

มณฑลหูซึ่งเป็นมณฑลแห่งทะเลสาบ มาตรฐานของอ่างเก็บน้ำย่อมแตกต่างจากมณฑลอื่น

สาเหตุที่เมืองซื่อเหม่ยถูกเรียกว่าเมืองซื่อเหม่ย นั้นเพราะอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ถูกเรียกว่าอ่างเก็บน้ำซื่อเหม่ย

ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่นได้จับตัวหญิงสาวสี่คนไว้ บังคับให้พวกหล่อนพาไปหากองทัพเส้นทางที่แปดของกองทัพปฏิวัติแห่งสาธารณรัฐจีน

หญิงสาวทั้งสี่คนไม่ยอม แต่ต่อให้หนีก็หนีไม่พ้น ทำได้แค่ต้องฉวยโอกาสตอนที่ทหารญี่ปุ่นไม่ทันสังเกตเห็นกระโดดอ่างเก็บน้ำฆ่าตัวตาย

ต่อมาผู้คนต่างพากันรำลึกถึงหญิงสาวทั้งสี่คน และตั้งชื่ออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เหมือนทะเลสาบแห่งนี้ว่าอ่างเก็บน้ำซื่อเหม่ย ชื่อเมืองก็เปลี่ยนเป็นเมืองซื่อเหม่ย

หลินม่ายมองไปด้านหน้า เธอเหมือนจะเห็นอนาคตที่สดใสดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่ง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเดินเข้าเมืองไป

แม้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่หมู่บ้านชนบทในยุค 80 กลับไม่ได้ฉลองเทศกาลตามปฏิทินสุริยคติ

ประกอบกับหิมะที่ตกหนัก เมืองจึงเข้าสู่ความเงียบสงัด มองออกไป ไม่เห็นแม้แต่เงาคนสักคนเดียว

หมินม่ายเดินตรงไปยังโรงแรมเพียงแห่งเดียวของเมือง เพราะอยากนอนพักสักคืน อาบน้ำอุ่น ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมมนี้

การแกล้งคลุ้มคลั่งในช่วงนี้ทำให้เธอสกปรกมอมแมมไปทั้งตัว 

พนักงานต้อนรับของโรงแรมเห็นหลินม่ายในเครื่องแต่งกายที่สกปรก หอบถุงกระสอบซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงสถานะของชาวบ้านเข้ามา จึงมีท่าทางดูย่ำแย่ลง

เอ่ยปากถามหาด้วยประโยคเดิมถึงจดหมายแนะนำตัว ไม่มีจดหมายแนะนำตัวก็ไม่อนุญาตให้เธอเข้าพัก

หลินม่ายจำได้อย่างแม่นยำว่าตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 70 ทุกพื้นที่ไม่ได้เข้มงวดเรื่องจดหมายแนะนำตัวนัก

ถึงไม่มีจดหมายแนะนำตัว แต่ดูจากภายนอกไม่เหมือนคนเลวทราม โรงแรมและบริษัทนำเที่ยวก็อนุญาตให้เข้าพักได้  ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีสมุดทะเบียนบ้านติดตัวมาด้วย

ผู้หญิงคนนี้กลับใช้อำนาจมาข่มเหงผู้อื่นเก่งยิ่งนัก!

หล่อนจะอวดเก่งได้สักกี่ปี อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้โรงแรมที่เปิดโดยรัฐบาลแห่งนี้ก็จะถูกปิดตัวลง หล่อนก็จะว่างงานไปโดยปริยาย

เมื่อเดินออกจากโรงแรมรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ หลินม่ายก็ตรงไปยังร้านอาหารขนาดเล็กของรัฐแห่งหนึ่ง ตั้งใจจะให้ท้องอิ่มก่อนแล้วค่อยหาที่พักต่อไป

เธอสั่งบะหมี่หยางชุนที่ถูกที่สุดในร้านหนึ่งชาม แต่กลับได้รับการกลอกตามองบนจากบริกรคนหนึ่ง

ถึงกระนั้นปริมาณของบะหมี่หยางชุนชามนี้ช่างอุดมสมบูรณ์มาก หลายสิบปีให้หลังของเธอยังไม่เคยเจอบะหมี่หยางชุนที่มีปริมาณมากขนาดนี้มาก่อน

หลินม่ายกินบะหมี่พลางหยิบธนบัตรที่โจวไฉ่อวิ๋นให้เธอไว้เหล่านั้นออกมาจากกระเป๋าเพื่อตรวจนับ 

ทั้งหมดคิดเป็นเงินจำนวนสองเฟินโดยพื้นฐาน แม้แต่ธนบัตรเหมาก็ยังมีน้อยมาก

ธนบัตรที่มีมูลค่ามากที่สุดในนั้น กลับมีจำนวนแค่สองหยวนสองเหมาหกเฟินและคูปองแลกข้าวไม่กี่ใบ

ไม่ง่ายเลยที่โจวไฉ่อวิ๋นจะสะสมเงินได้จำนวนเหล่านี้ แต่กลับยกให้เธอทั้งหมด

รอให้ตนร่ำรวยก่อน จะต้องกลับไปขอบคุณหล่อนแน่นอน

หลังจากกินบะหมี่หยางชุนหมดแล้ว หลินม่ายก็เริ่มหาที่พัก

เธอเดินวนไปมาอยู่ในเมืองหลายรอบ จนในที่สุดก็เป็นที่ดึงดูดความสนใจผู้อาวุโสคู่หนึ่ง

หญิงชราเรียกหลินม่าย และไถ่ถามอย่างเมตตา “แม่หนู หิมะตกขนาดนี้ทำไมไม่กลับบ้าน เดินไปเดินมาทำไม?”

ประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวดสารพัดในอดีต ทำให้หลินม่ายหยุดหลั่งน้ำตาเพราะเรื่องเหล่านั้นมานานแล้ว

หลั่งน้ำตาไปก็ไร้ประโยชน์ แก้ไขอะไรไม่ได้

แต่วินาทีนี้เธอตัดสินใจขายความเวทนาเหล่านั้น ไม่อย่างนั้นคืนนี้ไม่มีที่พักขึ้นมาจะทำอย่างไร?

หลินม่ายจอมตีบทแตกได้ทำการบ่มอารมณ์ครู่หนึ่ง ไม่นานน้ำตาก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นปานขาดใจ “คุณยาย ฉัน….ฉันไม่มีบ้าน….”

หญิงชรารีบพาเธอเข้ามาในบ้าน ให้เธอนั่งอยู่ข้างเตาผิง และไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง “ทำไมถึงไม่มีบ้านละ?”

หลินม่ายเล่าเรื่องสุดน่าเวทนาด้วยเสียงสะอื้นว่าพี่สาวเล่นงานเธอ เอาเธอมาแลกกับสินสอดและผ้าเพื่อปรนเปรอให้ตัวหล่อนเองได้เรียนหนังสือและแต่งตัว แม่สามีไม่ชอบเธอหาว่าเธอเป็นบ้า จึงไล่เธอออกจากบ้านให้หญิงชราฟัง

อย่าว่าแต่หญิงชราที่ได้ฟังแล้วน้ำตาหลั่งรินตามเลย แม้แต่คู่ชีวิตของนางก็พลอยตาแดงก่ำไปด้วย

ชายชราตั้งใจยกน้ำขิงน้ำตาลทรายแดงที่กำลังร้อนกรุ่นแก้วหนึ่งมาให้หลินม่าย

หลินม่ายรู้สึกเกรงใจ

แม้ว่าประสบการณ์ของเธอจะน่าเวทนา  แต่เธอได้กลับมาเกิดใหม่ ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกทุกข์ใจมากขนาดนั้น แต่ผู้อาวุโสที่ดูเมตตาคู่นี้กลับจริงจัง

หญิงชราเอ่ยถามเธอ “หนูคือสะใภ้ตัวน้อยที่ถูกพ่อแม่สามีจากหมู่บ้านอู๋เจียคู่นั้นบีบให้ต้องคลุ้มคลั่งใช่ไหม?”

หมู่บ้านอู๋เจียห่างจากเมืองซื่อเหม่ยไม่ไกลมากนัก ประกอบกับเรื่องที่สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ก็เป็นที่เลื่องลือจนหนาหู ดังนั้นอาวุโสคู่นี้จึงย่อมได้ยินข่าวลือนั้น

หลินม่ายพยักหน้าทั้งน้ำตาได้อย่างพอเหมาะ “ใช่ค่ะ”

ท่าทางนั้นน่าสงสารจับใจ

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เย้ มีที่พักแล้ว โชคดีจริงๆ ที่มีคนเห็นใจ

ไหหม่า(海馬)