“…แสดงว่า พวกเธอเองก็ไม่รู้ทางออกเหมือนกันงั้นเหรอ?”

“ค- ค่ะ พวกเราเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าอะไรทำให้พวกเรามาอยู่ที่โลกนี้เหมือนกัน…”

 

คำตอบของฉันทำให้ร้อยโทเดรคส่ายหัวเลย

 

“น่าเสียดาย ผมนึกว่าพวกเราอาจจะสามารถหนีจากขุมนรกนี่ได้ซักที”

 

พวกเราเดินไปตามรางรถไฟ โดยมีทหารเรือล้อมรอบ ; ฉันยังรู้สึกถึงความรู้สึกต่อต้านจากจ่าสิบเอกเกร็กมาจากข้างหลังอยู่เลย ถึงเขาจะลดปืนลงไปแล้วก็เถอะ―สำหรับตอนนี้―เขายังไม่ละความระแวงจากพวกเราไปเลยซักนิดเดียว

แต่ก็ไม่ใช่แค่เขาหรอก ฉันจะบอกว่าทหารเรือคนอื่นๆ เป็นมิตรกับเราก็คงไม่ได้เหมือนกัน ฉันคิดว่าถ้าได้คุยกันดีๆ พยายามให้พวกเขาสบายใจก็คงดีนะ แต่ถ้าเกิดฉันพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป ทุกอย่างคงยิ่งแย่กว่าเดิมอีก เพราะงั้น ฉันก็เลยตัดสินใจไม่ทำแบบนั้น

หลังจากที่ร้อยโทเอามือที่สวมถุงมืออยู่ลูบไปตามตอเคราของเขา ก่อนจะพูดต่อ

 

“ต้องขอโทษพวกเธอด้วยนะที่ต้องพูดแบบนี้ แต่พวกเราอาจจะช่วยพวกเธอกลับไปที่โลกฝั่งที่พวกเธอจากมาไม่ได้ พวกเราอยู่ที่ออเธอร์ไซด์นี่มาเกินเดือนนึงแล้ว แต่ก็ยังหาทางหนีออกไปไม่ได้เลย”

 

[ออเธอร์ไซด์ (Otherside)] ในภาษาอังกฤษ เป็นคำที่พวกเขาใช้เรียกโลกเบื้องหลังสินะ พอเขาถอดหมวกออก ผมยุ่งๆ กับตาเศร้าๆ ก็แสดงตัวตนของเขาออกมาอย่างชัดเจนเลย เขาดูเหมือนจะเป็นคนเงียบๆ นะ หรืออาจจะแค่เหนื่อยก็ได้ ; ถุงใต้ตาเขาช่วยตอบให้เลยว่าเขาล้าขนาดไหน

 

“แล้วพวกคุณมาอยู่ที่โลกฝั่งนี้ได้ยังไงหรอคะ…?”

 

ฉันถาม

 

“พวกเรากำลังฝึกอยู่บนเขา แล้วทหารทั้งกองก็มาอยู่ที่นี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ในตอนที่พวกเราสังเกตเห็นว่าต้นไม้โดยรอบต่างออกไปจากพันธุ์ที่พบได้ในโอกินาว่า มันก็สายเกินไปแล้ว พวกเรารวบรวมกองร้อยที่กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางให้กลับมารวมกัน และใช้อาคารของสถานีรถไฟตั้งเป็นฐานที่มั่น แต่ว่า เราก็มีผู้เสียชีวิตไปไม่น้อย”

 

ในน้ำเสียงของเขา แฝงความโกรธเอาไว้ด้วย

โทริโกะก็หันกลับไปมองตามทางที่พวกเราเดินมา

 

“ผู้เสียชีวิต? เพราะพวกสัตว์ประหลาดเมื่อกี้นี้น่ะเหรอคะ?”

 

เธอถาม

 

“นั่นเป็นแค่จำนวนน้อยครับ พวกคุณเห็นหรือเปล่า? ศพที่ห้อยอยู่ใต้ท้องของมันน่ะ”

“ห- เห็นค่ะ”

“นั่นเคยเป็นพวกพ้องของพวกเราครับ เจ้าล่อตัวนั่นก็ด้วย”

“ล่อ? คุณหมายถึงยีราฟไม่มีหัวตัวนั้นน่ะเหรอคะ?”

“แต่เดิม มันเป็นหุ่นยนต์แบกสัมภาระของหน่วยเราครับ ในระหว่างที่มันแบกศพของพวกเขาอยู่ มันไปเหยียบแบร์แทรปแปลกๆ เข้า แล้วก็หยุดเคลื่อนไหวไปเลย พวกเราก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปล่อยมันทิ้งเอาไว้แบบนั้น แล้วต่อมา มันก็โผล่มาในรูปร่างแบบนั้น และเริ่มจู่โจมใส่ผู้คน”

 

เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมาอย่างเรียบนิ่ง จนความประหลาดของเนื้อหามันไม่ทันเข้าหัวฉันไปซักพักนึงเลย ก็แปลว่า เจ้า 4 ขานั่น ที่จริงเป็นเครื่องจักรที่กลายสภาพไปงั้นเหรอ! พอคิดดูว่าเสียงเหมือนจักจั่นร้องนั่น จริงๆ คือเสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์แล้วนี่ มันก็เข้าเค้าอยู่นะ แต่ถึงยังไงก็เถอะ… อึ้งเลยนะเนี่ย จนถึงตอนนี้ สิ่งที่ฉันเชื่อฝังหัวคือ มีแค่สิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่สามารถได้รับผลจากโลกเบื้องหลังได้ [แบร์แทรป] ที่เขาหมายถึงอาจจะเป็นกลิตช์ก็ได้… จินตนาการไม่ออกเลยแฮะว่ากระบวนการแบบไหนที่ทำให้เครื่องจักรบิดเบี้ยวไปเป็นแบบนั้นก็ได้

ระหว่างที่ฉันยังอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก โทริโกะก็ยังคุยกับร้อยโทต่อ

 

“จะว่าไป คุณพูดถึงสถานีรถไฟด้วยเหรอคะ?”

“ใช่แล้วครับ Station February เป็นสถานีเล็กๆ เก่าๆ น่ะครับ”

“ทำไมถึงเป็น ‘เฟบูรารี่’ ล่ะคะ?”

“มันเขียนไว้แบบนั้นน่ะครับ”

 

พวกเราเดินไปตามรางรถไฟ และหักเลี้ยวไปทางขวา สถานีถูกซ่อนอยู่หลังหมู่ต้นไม้เล็กๆ ก็โผล่ออกมาให้เห็น มีแสงไฟเล็กๆ ฉายออกมาจากชานชะลาเดี่ยว พอได้เห็นแสงไฟในที่มืดมิดแบบนี้ซักที ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเยอะเลยล่ะ

พวกเราปีนบันไดขึ้นไปบนชานชะลา พวกเราก็ยืนอยู่บนพื้นคอนกรีตที่แตกร้าว มีม้านั่งสีขาวที่สีลอกออกไปแล้ว กับตัวอาคารสถานีที่สร้างจากไม้ ดูเหมือนกระต๊อบที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบกะทันหัน แสงสว่างเดียวที่ฉายออกมาก็มีแค่พวกหลอดไฟสีเลืองนวลเท่านั้นเอง

 

“ที่นี่มีไฟฟ้าด้วยเหรอคะ?”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ ไฟมันติดอยู่ตั้งแต่ตอนที่เรามาถึงที่นี่แล้ว แต่ก็ไม่มีร่องรอยของสายไฟเลย”

 

รางรถไฟยังวิ่งยาวเลยจากสถานีไป พอฉันลองเพ่งมองเลยไปทางนั้น ก็รู้สึกยังกับว่ามันทอดยาวออกไปจนถูกความมืดกลืนกินเข้าไปเลย

 

“มีสถานีอื่นที่ถูกทิ้งร้างอยู่อีกหรือเปล่าคะ?”

 

ฉันถาม

 

“พวกเรายังหาไม่เจอเลยนะครับ แล้วก็… เหมือนว่าที่นี่จะยังไม่ถูกทิ้งร้างด้วย”

“เอ๋? หมายความว่ายัง- ?”

 

ตอนที่ฉันหันกลับไปหาร้อยโทเพราะความหมายในคำพูดของเขา ป้ายชื่อของสถานีก็เข้ามาในลานสายตาพอดีเลย

 

きさらぎ KISARAGI (= เดือน 2 ตามปฏิทินจันทรคติ หรือ 如月 ที่เรียกว่า [เดือนยี่])

かたす KATASU (= ออกไปยัง)

やみ YAMI (= ความมืดมิด)

 

เพราะป้ายนี่เลย ที่ทำให้เราเข้าใจซักทีว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่

Station February ― สถานีคิซารากิ