ตอนที่ 16 บทที่ 1 ความโลภของสีทอง - การวัดพลังเวท

[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก

“คนๆ นึงจะใช้เวทมนตร์ได้แค่ไหนเหรอคะ?”

 

ในคืนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์คืนนึง ระว่างที่ฉันกำลังศึกษาเวทมนตร์สายความมืดอยู่ในห้องสมุดใหญ่ของแม่มดฮารุ อยู่ๆ ฉันก็มีคำถามนี้ขึ้นมา ฉันเลยยกมันขึ้นมาถามท่านโนอะ

 

“เธอหมายถึงว่า ตัวเองมีพลังเวทอยู่แค่ไหนสินะ?“

“ค่ะ ฉันอยากรู้ว่าตัวเองจะทำได้แค่ไหน แต่ค่อนช้างมั่นใจเลยค่ะว่าวิธีการจะรู้ได้ในปัจจุบันนี้มันหายไปแล้ว เมื่อพันปีก่อนไม่มีวิธีเลยงั้นเหรอคะ”

“แน่นอน ต้องมีอยู่แล้วสิ หรืออันที่จริง ฉันว่ามันน่าจะข้างหลังนั่นแหละ”

 

ท่านโนอะปิดหนังสือที่ถืออยู่ ก่อนจะเดินลึกเข้าไปในห้องสมุด

จากนั้นไม่นาน ท่านก็กลับมา พร้อมกับถืออะไรซักอย่างมาวางตรงหน้าฉัน

 

“นี่อะไรเหรอคะ?”

 

ถ้าดูจากชาติก่อนแล้ว มันเป็นอะไรซักอย่างที่แทบจะเหมือนกับเทอร์โมมิเตอร์เลย

 

“นี่คือไอเท็มที่ใช้วัดปริมาณพลังเวทของผู้ใช้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อพันปีก่อน จากเวทมนตร์หายากอย่าง [เวทมนตร์สายตัวเลข] เพราะแบบนั้นแหละ ฉันเลยคิดว่านี่น่าจะเป็นชิ้นสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่มาจนถึงตอนนี้ล่ะนะ“

“โห แล้วมันใช้ยังไงเหรอคะ?”

“เหน็บไว้ใต้รักแร้ ไม่ก็อมไว้ในปากก็พอ”

 

เทอร์โมมิเตอร์ชัดๆ เลย

 

“ทิ้งเอาไว้ซักพัก มันจะส่งเสียง *ปี๊บ* ขึ้นมา  

 

เทอร์โมมิเตอร์ชัดๆ เลย

 

“พอมันส่งเสียงออกมาแล้ว เธอก็เอาเจ้านี้ออกมาดูได้เลย ตัวเลขที่โชว์อยู่มันคือพลังเวทสูงสุดที่คนคนนั้นมี จริงสิ สำหรับคนทั่วๆ ไปแล้ว โดยเฉลี่ยก็จะอยู่แถวๆ 35-36 นี่แหละ”

 

เทอร์โมมิเตอร์ชัดๆ เลย!

 

“แล้วปริมาณพลังเวทจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเลยเหรอคะ?”

“ไม่มี”

“เอ๋ ไม่มีเลยเหรอคะ เป็นเรื่องโหดร้ายน่าดูเลยนะคะนั่นน่ะ“

“พูดให้ถูกคือ ปริมาณพลังเวทที่จะดึงออกมาใช้ได้นั้นจะเปลี่ยนไปตามอายุและการฝึกฝน กล่าวคือตัวเลขที่ได้จากไอเท็มชิ้นนี้ก็คือขีดจำกัดของพลัวเวทที่คนคนนั้นมีนั่นแหละ”

“แสดงว่า ถึงมันจะขึ้นเลข 35 มา แต่จริงๆ อาจจะใช้พลังเวทได้แค่ 15 ก็ได้ แบบนั้นเหรอคะ?”

“ถูก แล้วก็ ถ้าปรับการตั้งค่า เจ้านี่ก็แสดงพลังเวทที่เจ้าตัวสามารถดึงออกมา ณ ขณะนั้นได้ด้วยนะ”

 

ฉันตั้งค่าเจ้าเทอร์โมมิเตอร์เวทมนตร์ ก่อนจะเหน็บเอาไว้ใต้แขนตัวเอง

ผ่านไปซักพัก มันก็ส่งเสียง  ออกมาเหมือนกับเทอร์โมมิเตอร์ปกติเลย ฉันก็หยิบมันออกมาดู

 

〚59 / 400〛

 

“เลขตัวซ้ายคือพลังเวทที่เธอดึงออกมาได้ตอนนี้ ส่วนเลขตัวขวาคือพลังเวทสูงสุดของเธอนะ”

“ยังงี้เอง… เดี๋ยวนะ 400!? ค่าเฉลี่ยมันต่ำกว่า 40 อีกนี่? ไม่ใช่ว่าเจ้านี่พังไปแล้วเหรอเปล่าคะ!?”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ผู้ใช้เวทมนตร์หายากจะมีพลังเวทในตัวสูงแต่กำเนิดอยู่แล้ว เพราะการใช้เวทมนตร์ที่ซับซ้อนก็เลยกินพลังเวทมากกว่าเวทมนตร์ธรรมดาอย่างจตุรธาตุ ก็นะ ต่อให้จะมาแบบนั้น นักเวทย์หายากเมื่อพันปีก่อนก็มีพลังเวทเฉลี่ยในตัวอยู่ที่ประมาณ 150 อยู่ดี นี่ถือว่าสูงเลยนะ”

 

ดูเหมือนฉันจะมีศักยภาพสูงเกินคาดเลยแฮะ

โล่งอกไปที ฉันกำลังกังวลอยู่เลยว่าถ้าเกิดฉันอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยขึ้นมา ฉันจะทำยังไงดี

เท่านี้ ฉันก็จะทำประโยชน์ให้ท่านโนอะได้มากขึ้นแล้วสินะ

 

“จะว่าไป ท่านโนอะมีพลังเวทเท่าไหร่เหรอคะ?”

“ฉันเหรอ? จะว่าไป ตั้งแต่อยู่ในร่างนี้ก็ไม่เคยวัดเลยซักครั้งนี่นา ไหนดูซิ―――”

 

〚26 / 620〛

 

“สูงจัง!”

“อ่า ไม่ไหวเลย เทียบกับชาติก่อนนี่ตกลงมาเยอะเลยแฮะ”

“น- นี่น่ะเหรอคะ?”

“อือ ย้อนกลับไปสมัยที่ฉันยังเป็นฮารุอยู่ ตัวเลขมันอยู่ที่〚1100 / 1100〛น่ะ”

“เห…!?”

 

เพราะนี่สินะ ท่านถึงได้ชื่อว่า [ราชันแห่งจอมเวทย์หายาก] น่ะ

 

“ก็นะ ทั้งฉันทั้งเธอก็ดึงพลังออกมาได้แค่นิดเดียวเอง ไม่ได้ใกล้เคียงกับศักยภาพเต็มๆ เลยด้วยซ้ำไป แล้วอย่างคุโระน่ะ เรื่องการจะใช้พลังของตัวเองให้ชำนาญนี่ก็ยังอีกไกลเลย”

“อู่ว”

“วิธีในการเพิ่มพูนพรสวรรค์ของเธอให้เร็วที่สุดก็คือใช้เวทมนตร์ให้มากขึ้น จงมุ่งมั่นพัฒนาตัวเข้าซะนะ”

 

ท่านโนอะพูดทิ้งเอาไว้แบบนั้น ก่อนที่จะกลับไปอ่านหนังสือต่อ

 

“อาระ? ว่าแต่ว่า ทำไมพลังเวทที่คุโระดึงมาใช้ได้ตอนนี้ถึงสูงจังเลยล่ะ?”

 

ท่านดูจะสงสัยเรื่องนี้น่าดู ท่านถึงได้วางหนังสือลง แล้วเดินตรงเข้ามาหาฉันอีกรอบนึงเลย

 

“59 งั้นเหรอ? ขนาดฉันที่ใช้เวทมนตร์ได้หลังจากเกิดมาแค่ไม่กี่เดือนแท้ๆ ยังอยู่แค่ 26 เอง ทำไมกันน้า”

“ค- คือ”

“พอมาลองคิดๆ ดูแล้วเนี่ย คุโระ ก่อนที่เธอจะมาเจอฉัน เธอไปเจออะไรซักอย่างมาก่อนสินะ… ใช่แล้ว เธอเกือบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งอยู่แล้วนี่นา ถูกมั้ย? ตอนเราเจอกันครั้งแรก สภาพเธอยับเยินไปเลยนี่”

“อ่า เบบนี้เอง”

 

ฉันเคยเล่าเรื่องตอนก่อนที่จะเจอท่านโนอะให้ฟังไปคร่าวๆ แล้วทีนึง เรื่องที่โดนทหารรับจ้าง 3 คนหลอก กับเหตุการณ์ที่เจอเข้ากับคิลลิงเซอเพนท์

 

“เล่าลักษณะของเจ้าทหารรับจ้างพวกนั้นมาให้มากเท่าที่เธอจะทำได้มาสิ ต้องให้เด็กผู้หญิงที่ควรจะเป็นของฉันไปเจอกับประสบการณ์โหดร้ายขนาดนี้น่ะ ใจกล้าน่าดูเลยนี่ ต้องจับมากุดหัวซะให้หมดเลย”

“ด- เดี๋ยวก่อนค่ะท่านโนอะ! ถึงฉันจะซาบซึ้งกับความรู้สึกของท่านก็เถอะ! จะบอกว่าไม่แค้นเคืองพวกนั้นเลยก็คงไม่ได้! แต่ก็ต้องขอบคุณเหตุการณ์นั้นนะคะที่ทำให้ท่านได้สังเกตเห็นฉันด้วย สุดท้ายแล้วมันก็ออกมาดีนะคะ!”

 

ฉันพยายามสุดกำลังเลยเพื่อหยุดท่านโนอาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พร้อมกับคิดจะประหารพวกทหารรับจ้างพวกนั้นเอาไว้

 

“เอาเถอะ ถ้าคุโระไม่ติดใจอะไร ฉันก็จะไม่เข้าไปยุ่งอะไรแล้วกัน”

 

ดูเหมือนนั่นจะยังโน้มน้าวท่านไม่ได้เท่าไหร่ คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วล่ะ

 

“ล- แล้วนี่ เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับระดับพลังเวทของฉันเหรอคะ?”

“อ้อ นั่นน่ะนะ ฉันเชื่อว่าเหตุผลที่เธอฆ่าคิลลิงเซอเพนท์ที่ด้วยความสามารถของเธอเองเนี่ยไม่น่าจะทำอะไรได้เนี่ย นั่นก็เพราะในวินาทีของความเป็นความตาย ขีดจำกัดพลังเวทที่อยู่ในตัวเธอคงจะถูกปลดปล่อยออกมาเป็นการชั่วคราวล่ะนะ

หรือก็คือ ด้วยการแปรเปลี่ยนพลังเวททั้งหมดที่เกินขีดจำกัดของตัวเธอเองให้กลายเป็นพลังของความตาย เธอก็เลยหนีออกมาจากอันตรายตรงหน้านั่นได้ ส่วนที่เหลืออยู่หลังจากชั่วขณะนั้นก็ยังคงเหลือเป็นพลังเวทส่วนหนึ่งที่เธอยังสามารถใช้ได้ไงล่ะ”

 

ยิ่งฉันเรียนรู้เรื่องของเวทมนตร์สายความมืดมากเข้า ฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่เลยว่าตอนนั้น ฉันทำอิท่าไหนถึงฆ่าคิลลิงเซอเพนท์ได้ แต่ดูเหมือนนั่นสินะเหตุผลน่ะ

 

“เวทมนตร์สายความมืดน่ะทรงพลัง แต่มันเป็นเวทมนตร์ที่ก็ผลาญพลังเวทได้อย่างไม่คุ้มประสิทธิภาพเท่าไหร่ การมีพลังเวทให้ใช้ได้ในปริมาณมากจึงเป็นเรื่องที่ดีไงล่ะ”

“ขาดประสิทธิภาพในแง่การผลาญพลังเวทเหรอคะ?”

“ถูกต้อง ก่อนอื่นเลย ‘ความมืด’ มันคืออะไรล่ะ? เรื่องจตุรธาตุหลักกับแสงสว่างน่ะเข้าใจได้ไม่ยากหรอก แต่นอกจากพลังของเธอเองแล้ว เธอเคยเห็นความมืดหรือเปล่า?”

 

ฉันเคยเห็นมาแล้วนะ ความมืดน่ะ แต่ของที่ท่านโนอะหมายถึงคงไม่ใช่ความมืดที่ว่านั่นหรอก

 

“มาลองคิดดูแล้ว ก็ไม่เคยเลยค่ะ”

“ตัวตนของความมืดน่ะมันขัดกับตรรกะพื้นฐานของโลกใบนี้ ยิ่งมันเข้าใกล้กับการ ‘บิดเบือน’ และ ‘ลบล้าง’ โลกใบนี้ มันก็ยิ่งไม่มีทางที่จะคุ้มประสิทธิภาพอยู่แล้วล่ะจริงมั้ย?”

“แบบนี้เอง พอท่านว่าแบบนั้นแล้ว”

 

ฉันเคยร่ายเวทมนตร์สายความมืดที่เขียนอยู่ในคัมภีร์เวทดู 2-3 บทแล้วนะ แต่พวกมันทั้งหมดก็แสดงผลออกมาแรงจนน่าตกใจทั้งนั้น ไม่ใช่อะไรที่คาดการณ์ว่าพวกเวทมนตร์ระดับต่ำๆ จะทำได้เลย

ฉันเพิ่งศึกษามันมาแค่ 10 วันเองนะ แต่ฉันยังคิดเลยว่าตอนนี้ฉันน่าจะจัดการพวกผู้ใหญ่ซัก 3-4 คนพร้อมกันได้เลยด้วยซ้ำไป

เป็นเวทมนตร์ที่ทั้งทรงพลังทั้งน่ากลัวจริงๆ ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวที่ต่อกรกับเวทมนตร์สายแสงสว่าง เวทมนตร์ที่ได้รับการเทิดทูนบูชาที่สุดในโลกได้

ก็สมเหตุสมผลดีนะ พอคิดว่ามันใช้พลังเวทเยอะขนาดนั้นด้วยแล้วเนี่ย

 

“เอาล่ะ ได้เวลาแล้วสินะ”

 

ระหว่างที่ฉันกำลังประมวลบทสนทนาที่เพิ่งผ่านมาอยู่ในหัว ท่านโนอะก็ปิดหนังสือ ลุกขึ้นมายืนแล้ว

 

“จะไปข้างนอกงั้นเหรอคะ?”

“ใข่ เธอก็ตามฉันมาด้วยล่ะ ฉันจะออกไปในเมืองซักหน่อย”

“ในเมือง?”

 

ท่านโนอะเป็นบุตรีของขุนนางผู้ครองเขตพื้นที่โดยรอบนี้นะ

ไปออกตรวจตรางั้นสินะ

 

“ก็นะ ฉันจะออกไป ‘เที่ยวเล่น’ ในชื่อของการตรวจตราไงล่ะ”

“อย่างน้อยก็ช่วยซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ด้วยเถอะนะคะ”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ชาติก่อนของฉันมันมีแต่เรื่องสงคราม ไม่มีเวลาไปเดินเที่ยวซื้อของอะไรเลย นานๆ ทีฉันก็อยากออกไปสยายปีกออกโผบินบ้างนะ”

“เฮ้อ ถ้างั้น เดี๋ยวฉันไปแจ้งกับข้ารับใช้คนอื่น ให้พวกเขาช่วยเตรียมรถม้าให้นะคะ”

“ไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นหรอก แค่เดินไปก็ได้นี่”

“คะ? โปรดคำนึงถึงตำแหน่งของท่านด้วยเถอะค่ะ ยังไงท่านก็เป็นบุตรีของขุนนางนะคะ”

“เอาล่ะ ไปกันเลย”

“ฟังฉันหน่อยสิค- เดี๋ยวสิคะท่านโนอะ!”

 

TN: เริ่มปูพลังโม้กันละ 555