เมอร์ลินจ้องมองหัวหน้าโจรที่อยู่เบื้องหน้า ร่างกายของเขาดูธรรมดา ๆ ไม่ใหญ่โตมากนักแต่ถึงอย่างนั้นเขากลับมาพละกำลังเทียบเท่านักดาบธาตุระดับสองนี่จึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก นอกจากน้ยังมีพวกโจรที่สวมชุดเกราะกว่า 50คน ที่มีพละกำลังเทียบเท่ากับนักดาบธาตุระดับหนึ่งด้วยซึ่งมันไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ
“แกไม่ใช่นักดาบธาตุแต่ทำไมถึงมีพละกำลังที่ไม่ด้อยไปกว่านักดาบธาตุเลย แกทำได้ยังไง?”
เมอร์ลินถามออกไปตรง ๆ ส่วนเลห์แมนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าเขาก็สนใจในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
สีหน้าของหัวหน้าโจรเปลี่ยนไปทันที เขาดูลังเลและไม่กล้าที่จะตอบคำถามนี้
*ครึ่ก*
กลุ่มผลึกน้ำแข็งได้เพิ่มขึ้นปกคลุมร่างของเขาทันที เหลือไว้เพียงส่วนศีรษะไว้พูดเท่านั้น
เมอร์ลินได้ทำการเตือนเป็นนัย ๆ ว่า หากเขาเงียบต่อไป เขาจะถูกแช่แข็งได้ทั่วทั้งร่าง มันจึงทำให้เขาตะโกนออกมา
“ท่านพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดหยุดก่อน!! ผมยอมแล้ว ผมจะบอกทุกอย่างให้ท่านได้รู้ ที่ผมมีพละกำลังที่แข็งแกร่งก็เนื่องจากบอสของพวกเรา!!”
“บอส?” เมอร์ลินได้ก้าวไปข้างหน้าและพูดกับหัวหน้าโจรว่า “ช่วยพูดเรื่องของบอสมาโดยละเอียดทีสิ”
สภาพของหัวหน้าโจรไม่ค่อยจะสู้ดี ใบหน้าของเขาซีดเผือด ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเย็น แม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งแต่ด้วยถูกแช่แข็งนานขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ มันทำให้เขาเริ่มบาดเจ็บขึ้นมาแล้ว
“ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นพวกเราเป็นเพียงกลุ่มโจรเล็ก ๆ ที่มีจำนวนกว่าหลายร้อยชีวิต ตอนนั้นพวกเรามีน้อยและอ่อนแอมากแต่การมาของบอสก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป บอสได้สอนท่าทางแปลก ๆ ให้พวกเรา เมื่อพวกเราเริ่มฝึกฝนท่าทางแปลกนี้ทุกวัน มันก็ทำให้ร่างกายของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นบอสก็ได้รวมกลุ่มโจรต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและก่อตั้งกองโจรพายุขึ้นมาโดยมีสมาชิกราว ๆ สี่พันคน หลังจากนั้นบอสก็เลือกโจรหนุ่มห้าร้อยคนและสอนท่าทางพวกนั้น พวกเขาได้ฝึกฝนทุกวันจนตอนนี้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเทียบเท่ากับนักดาบระดับหนึ่งกันทุกคน
แค่นั้นยังไม่พอ ด้วยความทะเยอทะยานของบอส เขาต้องการเพิ่มอำนาจของเขาโดยประโยชน์จากสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้ไปบุกเมืองต่าง ๆ แต่ด้วยชุดเกราะของพวกเราที่ยังไม่พร้อมเราจึงไม่ทำการบุกในตอนนี้ แต่โชคดีที่พวกเราได้พบกับขบวนเดินทางของราชวงศ์ที่มีกำลังไม่มาก บอสจึงนำกำลังบุกโจมตีและปล้นทรัพย์สินของราชวงศ์ บอสเลยสั่งให้พวกเรามาขัดขวางพวกท่านเพื่อไมให้ทำลายแผนการของบอส”
หลังจากที่หัวหน้าโจรพูดเสร็จ เมอร์ลินก็มีท่าทีประหลาดใจที่ท่าทางแปลก มันสามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้มีพลังเทียบเคียงกับนักดาบธาตุได้อย่างรวดเร็วอย่างนี้
มันดูคล้ายกับประติมากรรมนูนที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้ เขาได้ฝึกฝนมันและทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้น
‘แค่โจรพวกนี้ก็มีพละกำลังเทียบเท่านักดาบระดับสองแล้ว แล้วบอสคนนั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหนเนี่ยคงไม่ถึงระดับสามหรือสี่นะ’
ความคิดมากมายได้วนเวียนอยู่ในหัวของเมอร์ลิน เขาไม่คาดคิดว่าประติมากรรมนูนจะน่ากลัวขนาดนี้ หลังจากที่ให้เห็นบอสได้นำมันถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ฝึกฝนมัน
แค่ส่งต่อกระบวนท่าให้คนกลุ่มหนึ่ง เพียงแค่นี้ก็จะสามารถสร้างนักรบที่แข็งกร่งพอ ๆ กับนักดาบธาตุระดับหนึ่งจำนวนมากได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
เมอร์ลินคิดว่าหากนำกระท่าเหล่านี้ไปให้อัศวินเกราะเหล็ก พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมาขนาดไหน
ส่วนเลห์แมนที่อยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับกระบวนท่าแปลก ๆ พวกนั้น เขาสนใจในเรื่องสถานการณ์ของสมาชิกของราชวงศ์มากกว่า
“เมอร์ลิน ตอนนี้เจ้าหญิงเชอรีสกับคนอื่น ๆ อาจตกอยู่ในอันตราบ พ่อจะนำกองอัศวินเหล็กออกไปช่วยพวกเขา”
เมอร์ลินไม่คิดที่จะห้ามพ่อของเขา เขารู้ว่าพ่อของเขาสำนึกบุณคุณต่อเจ้าชายเฟรดเดอริคมาก แม้ว่าเจ้าหญิงเชอรีสจะปฏิเสธความภักดีของเขาไปก่อนหน้านี้แต่เขาก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้เจาหญิงตกอยู่ในอันตรายอย่างเด็ดขาด
เมอร์ลินได้ลองมาคิด ๆ ดู มันก็ดีเหมือนที่เลห์แมนไปช่วยราชวงศ์ หลังจากนี้เขาจะไม่มีอะไรติดค้างกับทางราชวงศ์อีก
“ท่านพ่อไปก่อนเลย เดี๋ยวผมตามไปทีหลัง”
หากเป้าหมายของเลห์แมนคือการไปช่วยสมาชิกราชวงศ์แห่งแสง ทางเมอร์ลินก็มีเป้าหมายเช่นเดียวกัน นั่นก็คือบอสผู้แสนจะลึกลับคนนั้น

“แฮ่ก แฮ่ก”
ผู้บัญชาการแมนซ์ได้จ้องมองเบื้องหน้าด้วยสายตาที่สิ้นหวัง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวด
แม้ว่าเขาจะเป็นนักดาบปฐพีระดับสามที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งแต่ด้วยด้วยพละกำลังของชายที่ถูกเรียกว่าบอสนั้นทรงพลังมากเกินไป
แม้เขาจะไม่มีร่างกายที่กำยำแต่ทุกครั้งที่เขาตวัดดาบฟาดเข้าใส่ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตะปบด้วยพละกำลังของสัตว์ร้าย
นอกจากเขาแล้ว ยังมีพวกโจรกว่า 400ร้อยก็มีพลังที่เทียบเท่านักดาบธาตุระดับหนึ่ง
ด้วยจำนวนอันมหาศาลนี้จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่เขาจะรับมือได้
*ตูม*
ด้วยการโจมตีที่ทรงพลังทำให้แมนซ์กระเด็นและเสียหลักล้มลงไปบนพื้น เขาพยายามจะลุกขึ้นมาแต่อวัยวะภายในของเขาได้เจ็บปวดราวกับถูกเผาไหม้ ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพย่ำแย่แล้ว
ส่วนกองอัศวินปักษาอัคคีได้ถูกจัดการไปมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว บางส่วนได้ตายไม่ก็บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้พวกเขาเหลืออยู่ไม่ถึง 300คน
“ดูเหมือน พวกเราคงมาได้เพียงเท่านี้…” แมนซ์กำลังหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด เขาไม่คาดคิดว่าตัวเองจะต้องมาตายด้วยน้ำมือของกองโจร
ทางด้านเจ้าหญิงเชอรีส ตอนนี้เธอมีสีหน้าที่ซีดเผือด ร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความกลัว สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายอย่างมาก เธอไม่คิดว่ากองอัศวินจะแตกพ่ายด้วยกองโจรที่ดูอ่อนแอ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจึงไม่มีทางเลือก เธอพร้อมจะสู้ตาย มันก็คงจะดีกว่าหากต้องพ่ายแพ้แล้วตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกโจร เธอไม่อาจจินตการถึงความโหดร้ายเหล่านั้นได้
“ด้วยเกียรติของรองผู้บัญชาการอัศวินปักษาอัคคี พร้อมจะสู้เพื่อเกียรติจนตัวตาย!!” เชอรีสได้กล่าวออกมาพร้อมกับชักดาบออกมาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
*ชิ้ง*
อัศวินปักษาอัคคีที่เหลือได้ชักดาบออกมาเช่นกัน พวกเขากำดามดาบแน่นพร้อมจ้องเบื้องหน้าด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
*ตึง ตึง ตึง*
*ตึง ตึง ตึง*
“ด้วยเกียรติของอัศวิน!!”
“ด้วยเกียรติของอัศวิน!!”
“…”
เจ้าหญิงเชอรีสกับคนอื่น ๆ ได้หันไปมองต้นเสียงที่อยู่ทางด้านหลังของพวกเขา ที่ตรงนั้นได้ที่กองกำลังเคลื่อนพลเข้ามา