ตอนที่ 17 อัปเดตภารกิจใหม่

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 17 อัปเดตภารกิจใหม่

ไป๋เยี่ยกลับมาที่หอพักก็เห็นว่าบนหน้าจอโปร่งแสงมีแจ้งเตือนใหม่

เขานั่งลงบนเตียง เปิดหน้าจอโปร่งแสงขึ้น แล้วจึงกดดูแจ้งเตือน ข้อความก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทันที

[ภารกิจที่หนึ่ง: เพิ่มเลเวลวิชาแพทย์แผนจีนขึ้นเป็นเลเวลสอง ไม่จำกัดเวลา เมื่อสำเร็จจะได้รับแต้มสมาชิกยี่สิบแต้ม และโอกาสจับรางวัลสองดาวจำนวนหนึ่งครั้ง (สามารถรับภารกิจได้อีกครั้ง)]

วันที่สองของการสอบ ทางมหาวิทยาลัยก็ออกประกาศให้รีบรายงานตัวกับโรงพยาบาลที่จะฝึกงาน

ช่วงปิดเทอมหนึ่งเดือนหลังสอบสิ้นสุดลงแล้ว

การจัดแบ่งโรงพยาบาลเพื่อฝึกงานจะอิงตามผลการเรียนตอนปีสี่ เพราะผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับต้นๆ ไป๋เยี่ยจึงถูกจัดให้ไปที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจิ้นซี หรือที่เรียกว่าสถาบันวิจัยทางการแพทย์แผนจีนจิ้นซีอย่างไม่ต้องสงสัย

โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจิ้นซีเป็นสถาบันวิทยาศาสตร์ด้านการแพทย์แผนจีนในประเทศจีน เป็นผู้รับผิดชอบโครงการวิจัยต่างๆ ในประเทศ และเป็นโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนที่ดีที่สุดในมณฑลจิ้นซี

ไป๋เยี่ย หลิวจื้อ พ่างจื่อ และคนอีกทั้งหมดสิบคนถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มแยกไปตามแต่ละแผนก

สำหรับพ่างจื่อ เจ้าหมอนี่มีผลการเรียนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตามที่เขาพูดก็คือเขากับพวกหัวกะทินั้นต่างกันเพราะคำว่า ‘โชคชะตา’!

อ้อ ใช่แล้ว พ่างจื่อมีชื่อว่าหวังโหย่วฝู ตลอดยี่สิบสามปีมานี้ พ่างจื่อถูกแขวะมานับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนจึงเริ่มเรียกเขาว่าพ่างจื่อ (อ้วน) และไม่มีใครเรียกหวังโหย่วฝูอีกต่อไป

ที่พ่างจื่อได้มาฝึกงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ก็เพราะว่าแม่ของเขานั้นเป็นหัวหน้าแผนกการบริการทางการแพทย์ของที่นี่ อย่าว่าแต่จัดการเรื่องฝึกงานให้เลย จะเข้าทำงานที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

เมื่อทั้งสิบคนรวมถึงไป๋เยี่ยรายงานตัวกับแผนกการบริการทางการแพทย์แล้ว ก็ได้รับใบย้ายแผนกมา

ไป๋เยี่ย พ่างจื่อ หลิวจื้อ หลี่จยา และหวังอิ่งจะไปช่วยงานจัดการเอกสารที่ศูนย์ค้นคว้าเอกสาร

ส่วนอีกห้าคนถูกจัดให้ไปประจำแผนกสูตินรีเวช

ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อได้ยินคำว่าศูนย์ค้นคว้าเอกสาร มันคือแผนกอะไร

ไป๋เยี่ยถามเสียงเบา “พ่างจื่อ ศูนย์ค้นคว้าเอกสารนี่ทำงานอะไรเหรอ”

พ่างจื่อได้ฟังก็เบิกตากว้าง “พวกเราโดนหลอกนี่หว่า ศูนย์ค้นคว้าเอกสาร? ฉันบอกเลยว่าที่นี่น่ะคือสถานที่สำคัญมากกกที่สุดในโรง’บาลแล้ว”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พากันเงี่ยหูฟัง หลิวจื้อเองก็ด้วย พ่างจื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างลับๆ ล่อๆ “ศูนย์ค้นคว้าเอกสารตั้งอยู่ที่ชั้นยี่สิบสี่ของโรง’บาลเรา ซึ่งก็คือชั้นบนสุดนั่นแหละ หลังจากที่ผอ. หรือ หัวหน้าแผนกเกษียณแล้วก็จะไปทำงานที่นั่นแทน ที่นั่นน่ะเป็นที่เก็บหนังสือและตำราต่างๆ ตั้งแต่สมัยก่อตั้งโรง’บาล แน่นอนว่ามีแบบอีบุ๊กด้วย”

หลี่จยา สาวน้อยนิสัยอ่อนหวานนุ่มลึกเอ่ยถามขึ้น “สุดยอดไปเลย ถ้างั้นมันจะเหมือนกับห้องสมุดหรือเปล่า พวกเราจะไปทำอะไรที่นั่นกันล่ะ”

พ่างจื่อกำลังจะเดา ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงใสๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น

“เอาละ ทุกคนไม่ต้องเดากันแล้ว งานที่ศูนย์ค้นคว้าน่ะง่ายมาก แต่ก็สำคัญมากเช่นกัน หมอในโรงพยาบาลของเราค่อนข้างงานยุ่ง พวกเราเลยต้องรบกวนพวกเธอหน่อยน่ะ งานของพวกเธอคือแยกหนังสือที่เพิ่งส่งมาใหม่ตามแต่ละประเภท จากนั้นก็อัปโหลดเวอร์ชันไฟล์ pdf ลงคอมพิวเตอร์”

“แน่นอน เพราะว่างานนี้ค่อนข้างซับซ้อนและน่าเบื่อ ครั้งนี้เราจะดูจากความสมัครใจ ถ้าสมัครใจก็ทำได้เลย แต่ถ้าไม่อยากทำก็มาบอกฉันว่าจะย้ายไปแผนกไหน แล้วฉันจะจัดการย้ายแผนกให้พวกเธอเอง”

หญิงสาวพูดจบก็รอทุกคนตอบกลับ

ทั้งห้าคนมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ต่างคนก็ต่างมีคำตอบในใจของตนเองแล้ว

หลิวจื้อมองทุกคนแล้วเอ่ยปากขึ้นก่อน “อาจารย์ครับ พวกเราเพิ่งสอบเรียนต่อป.โทเสร็จ ผมอยากจะลองย้ายไปทำงานในวอร์ด ผมสอบเข้าสาขามะเร็งวิทยา เลยอยากไปฝึกงานที่วอร์ดมะเร็งครับ เผื่อจะได้เรียนรู้อะไรขึ้นมาหน่อย เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสอบอีกรอบ”

หญิงสาวพยักหน้า “อื้ม โอเค”

หลี่จยาและหวังอิ่งหันไปมองหน้ากัน “อาจารย์คะ พวกเราก็อยากไปแผนกทางเดินอาหาร”

“อื้ม ได้เลย!”

พ่างจื่อกระแอม “อาจารย์ครับผมอยากไปแผนกสูตินรี”

“ไม่ได้!” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็งทันที

หลังจากที่ไป๋เยี่ยคิดไปคิดมาแล้วก็เอ่ยขึ้น “ผมยอมไปศูนย์ค้นคว้าเอกสารครับ”

พ่างจื่อหันหน้ามองไป๋เยี่ย “โอเคแม่ งั้นผมก็ไปศูนย์ค้นคว้าด้วยแล้วกัน”

ทุกคนอึ้ง คนคนนี้คือแม่ของพ่างจื่องั้นเหรอ

ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวผู้ภูมิฐาน ดูเป็นผู้ใหญ่มากประสบการณ์แล้วยังใจกว้างผู้นี้จะเป็นแม่ของพ่างจื่อ!

เมื่อทุกคนออกไปแล้ว ไป๋เยี่ยก็ถามขึ้นด้วยท่าทีสงสัย “พ่างจื่อ นี่นายถูกเก็บมาเลี้ยงหรือว่าถูกทิ้งน่ะ”

พ่างจื่อจิ๊ปาก “ไม่เคยได้ยินคำว่าตามรอยพ่อมาหรือไง ต่อให้ขี้เหร่ก็ช่วยไม่ได้ละนะ…”

ไป๋เยี่ยหัวเราะแห้ง ได้เจอเจ้าหมอนี่ถือเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ

คนที่ไปศูนย์ค้นคว้าเอกสารจึงมีเพียงพวกเขาสองคน เมื่อไป๋เยี่ยและพ่างจื่อมาถึงชั้นที่ยี่สิบสี่ ขณะที่กำลังเดินเข้าประตู กลิ่นหอมของหนังสือก็ฟุ้งออกมา

ทั้งคู่อดตื่นเต้นไม่ได้ ข…ขลังมาก

ที่นี่เหมือนกับโกดังหนังสือขนาดใหญ่ หนังสือทุกเล่มถูกจัดเรียงอย่างดีในตำแหน่งที่ควรเป็น

ชั้นหนังสือกว่าสิบชั้นเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ทั้งชั้นนี้มีเพียงห้องเดียวเท่านั้น

นอกจากชั้นหนังสือแล้วก็ยังมีคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ส่วนระหว่างชั้นหนังสือก็มีโต๊ะเก้าอี้ไม้สีแดงเรียงกันอยู่แถวหนึ่ง

คนแก่สามคนกำลังนั่งตรวจสอบหนังสือทีละเล่มอยู่ตรงนั้น

พ่างจื่อเอ่ยเสียงเบา “ที่นี่ไม่ใช่ห้องสมุด แต่เป็นห้องเก็บหนังสือ มีไว้เพื่อเก็บหนังสือเท่านั้น จึงไม่ให้คนนอกยืมหนังสือ เพราะว่าหนังสือหลายเล่มมีแค่เล่มเดียว หลังจากที่จัดให้เป็นระเบียบแล้วถึงจะพิมพ์เวอร์ชันอีบุ๊กออกมาเป็นรูปเล่มแล้วส่งไปที่ห้องสมุด”

ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อเดินถือใบย้ายแผนกเข้าไป “สวัสดีครับอาจารย์ เดือนนี้พวกผมจะมาฝึกงานที่แผนกนี้ครับ”

ชายชราไว้เครามองใบย้ายแผนกด้วยความสงสัยก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าหนูฉินส่งเด็กน้อยสองคนนี้มาช่วยงานพวกเราละ”

ชายชราหัวล้านมองพ่างจื่อแล้วยิ้มออกมา “พ่างจื่อน้อย จำปู่ได้ไหม”

พ่างจื่อกระแอมพลางล้วงกระเป๋ากางเกง “ผมจะลืมคุณปู่ฉินได้ไง”

ชายชราเห็นดังนั้นก็ลูบศีรษะโล้นๆ แล้วหัวเราะดังฮ่าๆ

ชายชราอีกหนึ่งคนหันมามองทั้งคู่ด้วยความสนใจแล้วกล่าวขึ้น “เอาละ ในเมื่อมาแล้วก็ช่วยอัปโหลดไฟล์หนังสือที่พวกเราเพิ่งตรวจไปลงคอมพิวเตอร์หน่อยนะ”

ทั้งไป๋เยี่ยและพ่างจื่อรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นเมื่อได้เห็นกองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ

จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็ได้รับข้อความแจ้งเตือน

[ติ๊ง! เริ่มภารกิจระดับสามดาว: อ่านหนังสือหนึ่งร้อยเล่ม! อ่านหนังสือหมวดแพทย์แผนจีนให้ครบหนึ่งร้อยเล่มโดยไม่จำกัดเวลา ทำภารกิจสำเร็จจะได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากและโอกาสจับรางวัลสามดาวจำนวนหนึ่งครั้ง]

หนังสือร้อยเล่ม?

พระเจ้า ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม

หนึ่งร้อยบทเหรอ หรือว่าหนึ่งร้อยเล่ม

แกคิดว่าหนังสือหนึ่งเล่มมีร้อยคำหรือไง

แค่เล่มเดียวก็ปาไปเป็นหมื่นคำแล้วไม่ใช่เหรอ

นี่แกคิดว่าทุกคนมีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้าเหรอ ถึงจะอ่านหนังสือร้อยเล่มจบง่ายๆ น่ะ