เปรี๊ยง!!

 

“อ—อืม… ยังไม่หยุดตกอีกหรอเนี่ย…”

 

ในช่วงกลางดึกของคืนวันเดียวกันนั้นเอง นากาที่กำลังนอนหลับอยู่ในฟูกนอนของเขาที่พื้นไม้ของห้องนั่งเล่นก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อมีเสียงฟ้าผ่าดังลั่นขึ้นมาให้เขาได้ยิน

 

ซึ่งนากาที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกนั้นก็ได้แต่รู้สึกมึนงงเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นสภาพห้องนั่งเล่นที่มืดสลัว อีกทั้งยังสงบเงียบโดยไม่มีวี่แววของเสียงสายฝนที่ควรจะตกกระหน่ำลงมาอันเป็นต้นกำเนิดของเสียงฟ้าผ่าดังลั่นเมื่อสักครู่นี้เลยแม้แต่น้อย จนทำให้นากาได้ตัดสินใจร้องถามคอนแนลที่น่าจะเฝ้ายามอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าเสียงที่ดังขึ้นมาเมื่อสักครู่นี้มันคือเสียงของอะไรกันแน่

 

“คอนแนล เมื่อกี้นี้มันเสียงอะ—”

 

นากาที่หันไปทางโซฟาที่คอนแนลน่าจะนั่งอยู่ได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขาไม่เห็นตัวเพื่อนอัศวินหน้าใหม่ของเขา แต่ว่ากลับพบเข้ากับหญิงสาวผมสีขาวตาสองสีที่มัดเส้นผมยาวสลวยของเธอไว้เป็นทรงหางม้าผู้ซึ่งมีชื่อว่าพาเทียซ์ที่เขาเคยพบเจอในความฝันในตอนที่กำลังนั่งรถกระบะมายังเมืองรีมินัสเข้าแทน

 

“ว่าไง… ตื่นแล้วหรอ…?”

 

พาเทียซ์ที่ได้ยินเสียงของนากาได้ละสายตาออกมาจากหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเก่าๆ ประจำตัวเธอและเอ่ยปากพูดทักทายนากาขึ้นมาจนทำให้นากาได้แต่พูดตอบเธอกลับไปด้วยความตกใจ

 

“พ—พาเทียซ์? ถ้างั้นที่นี่ก็—”

 

“ใช่แล้ว… ที่นี่ก็คือที่ที่พวกนายเรียกกันว่าจิตใต้สำนึกไงล่ะ…”

 

พาเทียซ์พูดตอบคำถามของนากากลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยและปิดหนังสือปกหนังในมือของเธอลงก่อนจะพูดถามนากาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“นายคิดว่ายังไงล่ะ…? ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเมืองนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเลยใช่มั้ยล่ะ…”

 

“เอาจริงๆ ฉันคิดว่าฉันเพิ่งจะเคยมาที่เมืองนี้เป็นครั้งแรกเองนะ…”

 

คำถามของพาเทียซ์ได้ทำให้นากายกมือขึ้นมาเกาหัวของตัวเองและพูดตอบเธอกลับไปด้วยท่าทางมึนๆ แต่ว่าทางด้านพาเทียซ์ก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจคำตอบของนากาเลยแม้แต่น้อยและเดินไปเลื่อนเปิดผ้าม่านของประตูกระจกที่มีแสงสว่างเล็กน้อยลอดผ่านเข้ามาออกพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“วันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะอากาศดีนะ…”

 

“อย่าทำเป็นเมินกันแบบนี้สิ! แล้วเมื่อกี้นี้ฟ้ามันเพิ่งจะผ่าเปรี้ยงลงมาจนฉันสะดุ้งตื่นไม่ใช่หรือไง!?”

 

นากาที่ถูกพาเทียซ์ทำเป็นเมินได้พูดเถียงเธอกลับไปก่อนที่เขาจะต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสภาพอากาศด้านนอกนั้นกลับเป็นท้องฟ้าสีครามสดใสในเวลากลางวันโดยไม่มีวี่แววของเมฆฝนมืดครื้มเลยแม้แต่น้อย

 

แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้นาการู้สึกประหลาดใจกว่าสภาพอากาศนั้นก็คือบริเวณสวนหลังบ้านของเอริกะที่ควรจะอยู่ติดกับกำแพงกั้นเขตเมืองสูงใหญ่ที่กลับกลายเป็นผืนน้ำสงบนิ่งดุจผืนทะเลสาบที่ทอดยาวไปไกลจนลับสายตา

 

“นี่สรุปว่าฉันฝันอยู่จริงๆ งั้นสินะเนี่ย…”

 

“ก็ใช่น่ะสิ… ด้านหลังบ้านของเอริกะเขามันเป็นพื้นน้ำโล่งๆ แบบนี้ซะที่ไหนล่ะ…”

 

คำพูดของพาเทียซ์ที่ฟังดูเหมือนกับว่าเธอจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างนั้นได้ทำให้นากาเอ่ยปากพูดถามเธอออกมา

 

“แล้วทำไมมันถึง— เอ่อ… โล่งๆ แบบนี้ล่ะ”

 

“ก็ที่นี่มันอยู่ข้างในหัวของนายไม่ใช่หรือไง… เพราะงั้นในหัวของนายมันโล่งยังไงข้างในนี้มันก็โล่งแบบนั้นนั่นล่ะ…”

 

“อ—เอ๋…”

 

“ฉันหมายถึงว่านายเองก็จำไม่ค่อยได้ใช่มั้ยล่ะว่าถัดจากสวนหลังบ้านนี่ไปหรือว่าบ้านหลังอื่นรอบๆ บ้านเอริกะมันมีหน้าตาเป็นยังไงน่ะ…”

 

“อืม… ก็จริงแฮะ”

 

คำตอบของพาเทียซ์ทำให้นากาได้แต่ต้องพยักหน้าเห็นด้วยกับเธอไปเพราะถึงแม้ว่าเขาจะจำได้ว่ามันมีกำแพงอยู่ที่ด้านหลังบ้านของเอริกะแต่ว่าเขาก็จำรายละเอียดมันไม่ได้มากนักนอกจากว่ามันมีสีขาวๆ ในขณะที่คฤหาสน์หลังโตรอบๆ บ้านของเอริกะนั้นเขาแทบจะไม่ได้สนใจพวกมันเลยซะด้วยซ้ำ

 

ซึ่งในขณะที่นากากำลังนั่งนึกถึงสภาพแวดล้อมรอบๆ บ้านของเอริกะอยู่นั้น ทางด้านพาเทียซ์ก็ได้ยื่นมือไปเลื่อนเปิดประตูกระจกออกและเดินตรงไปหยุดอยู่ที่รั้วเหล็กที่กั้นอยู่ระหว่างสวนหลังบ้านของเอริกะกับผืนน้ำสงบนิ่งจนทำให้นากาต้องรีบลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเดินตามเธอไป

 

“ทั้งใสสะอาดและบริสุทธิ์… แต่ก็ว่างเปล่าและไร้ความหมายในเวลาเดียวกัน…”

 

พาเทียซ์ที่ยืนจับราวเหล็กเอาไว้และทอดสายตามองดูผืนน้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นแต่ว่ากลับใสสะอาดจนสะท้อนภาพของท้องฟ้าและก้อนเมฆสีขาวบนฟากฟ้าได้อย่างชัดได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะเหลือบสายตาไปมองนากาที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ เธอและพูดถามเขาขึ้นมา

 

“นายสนใจจะ… ลองออกเดินเล่นดูมั้ยล่ะ…?”

 

“หา?”

 

“ลองดูสิ… มันอาจจะทำให้นายนึกอะไรออกบ้างก็ได้นะ…”

 

“ด—เดี๋ยวสิ”

 

ถึงแม้ว่านากาจะพยายามเอ่ยปากพูดรั้งพาเทียซ์เอาไว้ก่อนด้วยความสับสนกับคำว่าเดินเล่นของอีกฝ่ายก็ตาม แต่ว่าทางด้านพาเทียซ์ก็กลับดูเหมือนว่าจะไม่สนใจคำพูดของเขาและผละมือของเธอออกจากราวรั้วเหล็กจนทำให้ราวรั้วที่อยู่เบื้องหน้าของเธอสลายกลายเป็นละอองแสงสีขาวและฟุ้งกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว

 

ซึ่งในขณะที่นากากำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นเองทางด้านพาเทียซ์ก็ได้ก้าวเท้าเดินออกไปบนผืนน้ำท่ามกลางแปลกใจของนากาที่ได้พบว่าร่างของพาเทียซ์ไม่ได้จมลงไปใต้ผืนน้ำอย่างที่ควรจะเป็น

 

และหลังจากที่พาเทียซ์ออกก้าวเดินไปตามผืนน้ำได้สักพักหนึ่ง เธอก็ได้หันกลับมามองนาการาวกับกำลังสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมเดินตามเธอไปจนทำให้นากาไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากการกลั้นใจก้าวขาลงผืนน้ำตามเธอไป

 

“เอาก็เอา!”

 

ตุ๊บ

 

ถึงแม้ว่าผิวน้ำตรงบริเวณที่นากาย่ำเท้าลงไปนั้นจะกระเพื่อมจนเกิดเป็นระลอกคลื่นขนาดเล็กๆ ที่แผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้างเหมือนกับที่ผิวน้ำปกติควรจะเป็นก็ตาม แต่ว่าฝ่าเท้าของนากาก็กลับไม่ได้ทะลุผ่านบริเวณผิวน้ำลงไปจนทำให้เขาสามารถทรงตัวยืนอยู่บนผิวน้ำได้ไม่ต่างอะไรกับผืนดิน

 

และเมื่อนากาพบว่าเขาสามารถยืนอยู่บนผิวน้ำได้แบบนั้นเขาก็ไม่รอช้าที่จะรีบก้าวขาเดินตามหญิงสาวผมหางม้าที่กำลังโยกหัวอยู่ช้าๆ ด้วยท่าทางอารมณ์ดีไปในทันทีโดยทิ้งคลื่นน้ำระลอกแล้วระลอกเล่าให้กระจายออกไปตามจังหวะที่เขาก้าวเดิน

 

“ร–รอด้วยสิพาเทียซ์”

 

เสียงร้องเรียกของนากาได้ทำให้พาเทียซ์หยุดฝีเท้าของเธอลงและหันกลับมาพูดถามนากาด้วยแววตาที่แฝงเอาไว้ด้วยความคาดหวังบางอย่าง

 

“เป็นไงบ้างล่ะ… พอจะนึกอะไรออกบ้างมั้ย…?”

 

“ก็… ไม่เห็นจะนึกอะไรออกเป็นพิเศษนะ…”

 

“งั้นหรอ…”

 

คำตอบของนากาได้ทำให้แววตาของพาเทียซ์กลับไปเป็นนิ่งเฉยปนหม่นหมองอีกครั้งหนึ่งจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดถามเธอขึ้นมาตรงๆ

 

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอกำลังหวังว่าจะให้ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้น่ะ แต่ถ้าเกิดมันดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องสำคัญแบบนั้นทำไมเธอไม่ลองบอกฉันมาตรงๆ ไปเลยล่ะ?”

 

คำพูดของนากาได้ทำให้บนใบหน้าของพาเทียซ์เกิดรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นไปลูบหัวของนากาที่ดูแล้วเหมือนกับว่าจะกำลังสับสนกับสิ่งที่เธออยากจะให้เขานึกให้ออกอยู่เบาๆ

 

“หน้าที่ของฉันมีแค่การดูแลที่นี่เท่านั้น… เพราะงั้นฉันคงจะเล่าอะไรให้นายฟังโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้านายก่อนไม่ได้หรอกนะ…”

 

“แต่… ไม่ใช่เธอเคยบอกเอาไว้ว่าที่นี่มันอยู่ในหัวของฉันหรอกหรอ? ถ้างั้นมันก็น่าจะหมายความว่าฉันเป็นเจ้านายของเธอไม่ใช่หรือไงน่ะ…?”

 

คำพูดของนากาที่ดูเหมือนจะคิดว่าเขาเป็นเจ้านายของเธอนั้นได้ทำให้พาเทียซ์เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาก่อนที่เธอจะเลื่อนมือที่ลูบหัวของนากาอยู่ลงมาและง้างนิ้วดีดไปที่หน้าผากของเขาอย่างแรง

 

เพี๊ยะ!!

 

“โอ๊ย!?”

 

“เจ้านายของฉันคือคนที่สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาต่างหากล่ะ… ไม่ใช่เจ้าหนูที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างแบบนายสักหน่อย…”

 

“ถ–ถ้างั้–”

 

เปรี๊ยง!!

 

ในขณะที่นากากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงที่ดังสนั่นราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นมาขัดคำพูดของนากาเอาไว้ก่อนทั้งๆ ที่ท้องฟ้าสีครามเหนือหัวของพวกเขาก็ยังกระจ่างใสโดยไร้ซึ่งวี่แววของเมฆฝนซะด้วยซ้ำจนทำให้นากาที่ได้ยินเสียงนั้นเป็นครั้งที่สองแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดถามพาเทียซ์ที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักสถานที่แห่งนี้ดีขึ้นมา

 

“นั่นมันเสียงอะไรน่ะพาเทียซ์ ฉันว่าตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงนั่นเหมือนกันนะ”

 

“เสียงนั่น…”

 

พาเทียซ์ที่ได้ยินคำถามของนากาได้กลับไปมีท่าทีนิ่งเฉยอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะชี้นิ้วไปทางด้านขวา จนทำให้นากาที่หันตามไปมองได้พบเข้ากับกลุ่มเมฆสีดำทมิฬที่กำลังหมุนวนอยู่อย่างช้าๆ ราวกับว่ามันกำลังจะก่อตัวเป็นพายุลูกใหญ่ที่มีประกายแสงวูบวาบปรากฏขึ้นมาเป็นระยะๆ

 

“นั่นมัน… เมฆฝนงั้นหรอ?”

 

“นายจะเรียกมันแบบนั้นก็ได้… เพราะว่าที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเมฆฝนข้างนอกนั่นนักหรอก… แต่ว่าเวลาที่นายอยู่ข้างนอกนั่นแล้วต้องไปแถวนั้นนายก็ระวังตัวเอาไว้สักหน่อยก็แล้วกัน…”

 

“แถวนั้น? แล้วแถวนั้นนี่เธอหมายถึงแถวไหนล่ะ?”

 

พี่นากาาาาา

 

ในขณะที่นากากำลังพูดถามพาเทียซ์กลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็มีเสียงของเด็กสาวที่นาการู้สึกคุ้นหูดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาจากทางด้านล่างของผืนน้ำที่เขากำลังยืนอยู่ ซึ่งในขณะที่นากากำลังคิดว่าตัวเองหูฝาดไปอยู่นั้น ทางด้านพาเทียซ์ก็ได้เหลือบตามองลงไปที่ผืนน้ำและเอ่ยปากพูดขึ้นมาเข้าเสียก่อน

 

“ดูเหมือนว่าจะได้เวลาที่นายจะต้องกลับไปแล้วล่ะ… เอาเป็นว่าอย่าลืมก็แล้วกันว่าที่นี่ยินดีต้อนรับนายเสมอน่ะ…”

 

“เสียงนั่นมัน… พรีมูล่างั้นหรอ?”

 

“อื้ม…”

 

พี่นากาาาาาาาา!!

 

ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงของพรีมูล่าดังทะลุผ่านผืนน้ำใต้เท้าของนากาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยความดังที่ถึงกับทำให้ผืนน้ำที่เคยสงบนิ่งสั่นสะเทือนและก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่ใต้ผืนน้ำที่ลึกจนไม่เห็นก้น ซึ่งในขณะที่นากากำลังพยายามเพ่งตามองดูสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผืนน้ำอยู่นั้นเอง ทางด้านพาเทียซ์ก็ได้เอ่ยปากพูดเตือนอะไรบางอย่างออกมา

 

“ถ้านายไม่อยากเจ็บตัวพอตื่นแล้วก็เอาของที่ทับมือซ้ายของนายอยู่ขึ้นมาบังเอาไว้ก็แล้วกัน… ถึงมันจะหนักน่าดูสำหรับนายก็เถอะนะ…”

 

“หะ? เธอพูดถึงเรื่องอะไร… —!?”

 

ในขณะที่นากากำลังเอ่ยปากพูดถามพาเทียซ์กลับไปอยู่นั้นเอง อะไรบางอย่างที่ขดตัวอยู่ใต้ผืนน้ำก็ได้สะบัดคลายตัวออกอย่างรุนแรงราวกับว่ามันกำลังตอบสนองต่อเสียงของเขา จนทำให้นากาได้พบว่าพื้นผิวสีดำของผืนทะเลสาบที่เขาเคยคิดว่ามันลึกจนไร้ก้นบึ้งนั้นแท้จริงแล้วมันก็คือกลุ่มก้อนของมือสีดำแบบเดียวกับที่เขาเคยเห็นมันปกคลุมเมืองรีมินัสอยู่ในครั้งที่แล้วนั่นเอง

 

“ได้เวลาที่พวกเราจะต้องบอกลากันแล้วล่ะ… ในเวลาแบบนี้คงจะต้องพูดว่าเอาไว้ค่อยพบกันใหม่สินะ… แล้วก็อย่าลืมของที่อยู่ในมือซ้ายล่ะ…”

 

“อ—”

 

คำพูดของพาเทียซ์ที่ฟังดูราวกับว่าเธอไม่ได้สังเกตเห็นมือสีดำที่อัดแน่นอยู่ภายใต้ทะเลสาบเลยแม้แต่น้อยนั้นได้ทำให้นากาต้องเงยหน้าขึ้นไปดูเธอด้วยความแปลกใจ

 

แต่ว่าในทันทีที่นากาละสายตาออกมาจากมือสีดำพวกนั้น พวกมันก็ได้พุ่งทะลุผิวน้ำขึ้นมาอย่างรุนแรงและพุ่งเข้ามาเกาะก่ายไปตามร่างกายของนากาอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับครั้งที่แล้วก่อนที่มันจะกระชากร่างของนากาลงไปสู่ความมืดมิดภายใต้ผิวน้ำเบื้องล่างอย่างรวดเร็วโดยมีพาเทียซ์ชายตามองตามร่างของเขาไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย

 

ตึก–ตึก–ตึก–ตึก—

 

“พี่นากาาาาาา!!”

 

ในขณะที่นากากำลังรู้สึกตื่นตระหนกและพยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากมือสีดำที่เกาะก่ายกระชากเขาลงไปภายใต้ผืนน้ำอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนกับฝีเท้าที่กำลังย่ำลงบนพื้นไม้แบบไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อยที่ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงอันแสนสดใสของเด็กสาวคนหนึ่งจนทำให้เขาได้พบว่าสาเหตุที่ทุกอย่างรอบตัวของเขามืดมิดไปหมดนั้นมันเป็นเพราะว่าเขากำลังหลับตาอยู่ต่างหาก อีกทั้งมือข้างซ้ายของเขาก็ถูกอะไรบางอย่างที่มีน้ำหนักพอตัวกดทับเอาไว้จนเริ่มที่จะรู้สึกชาแล้วอีกด้วย

 

ตึก–ตึก–ตึก–ตึก—ปึ๊ก!

 

เสียงฝีเท้าของพรีมูล่าที่ดังขึ้นมาต่อเนื่องกันก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ เหมือนกับว่าเด็กสาวผมชมพูได้ออกแรงกระโดดนั้นได้ทำให้นากาที่พอจะคาดเดาถึงการกระทำของยัยตัวแสบผมสีชมพูได้ตกใจจนแทบจะตาเหลือก ก่อนที่เขาจะตัดสินใจออกแรงกระชากอะไรก็ตามที่ทับมือซ้ายของเขาเอาไว้เข้ามาแทนที่ตัวเองและรีบกลิ้งหลบไปอีกทางหนึ่งในทันที

 

ผลัก!!

 

“อ๊ออออก!!?”

 

“อ่ะ—”

 

เสียงสำลักของคอนแนลที่ดังขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดนั้นได้ทำให้พรีมูล่าที่หลับตากระโดดพุ่งเข่าของเธอตรงไปยังบริเวณที่พี่ชายของเธอนอนมุดฟูกอยู่ลืมตากลับขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และเมื่อพรีมูล่าได้พบว่าคอนแนลกำลังนอนกุมท้องตาเหลือกอยู่ข้างๆ เธอก็ได้แต่ต้องพูดถามเขาขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

“เอ๋ พี่คอนแนลเป็นอะไรไปอ่ะ เมื่อวานกินอะไรประหลาดๆ เข้าไปก็เลยปวดท้องหรอ?”

 

“ร–รอดจริงๆ ด้วยแฮะ… นี่พรีมูล่า! พี่บอกไปตั้งกี่ทีแล้วว่าอย่ามาปลุกด้วยวิธีนี้น่ะหะ!?”

 

“เอ๋~ แต่แบบนี้มันสนุกกว่านี่นา~”

 

“ให้ตายสิ เธอเนี่ยนะ…”

 

นากาที่รอดชีวิตมาจากวิธีการปลุกด้วยเข่ามรณะของพรีมูล่าได้แต่ต้องถอนหายใจออกมาเมื่อเด็กสาวผมสีชมพูไม่มีท่าทีว่าจะสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เขาจะก้มลงไปมองคอนแนลที่นอนกุมท้องร้องโอดโอยอยู่แล้วจึงพูดถามเพื่อนใหม่ของเขาขึ้นมา

 

“ไหวมั้ยคอนแนล?”

 

“ย—ยังไหวอยู่ครับ…”

 

คอนแนลที่ได้ยินคำถามของนากาได้พยายามพูดตอบเขากลับไปอย่างตะกุกตะกักและทำท่าเหมือนกับว่าจะหันไปเอาเรื่องพรีมูล่า แต่เมื่อเขาได้หันไปเห็นพรีมูล่าที่กำลังทำตาใสแป๋วนั่งจิ้มเขาเล่นอยู่เหมือนกับไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอทำลงไปมันอันตรายซะด้วยซ้ำเขาก็โกรธเธอไม่ลงจนได้แต่ต้องพยายามกลิ้งหนีไปอีกทางหนึ่งเผื่อว่าพรีมูล่าคิดจะเล่นอะไรแผลงๆ อีก

 

ส่วนทางด้านนากาที่เห็นว่าคอนแนลดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรมากก็ได้ลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปทางห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัวแทน

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกัน นายนอนพักไปก่อนเถอะคอนแนล”

 

“อ๊ะ จริงด้วยๆ! พี่เอริกะเขาบอกว่าพอพี่นากาอาบน้ำเสร็จแล้วก็ให้ไปหาพี่เขาที่ด้านในออฟฟิศอ่ะ แล้วก็อย่าลืมเอาดาบของพี่ไปด้วยนะ~”

 

“หือ? งั้นหรอ”

 

นากาพยักหน้าพูดตอบพรีมูล่าที่กำลังพยายามเดินไล่ไปจิ้มคอนแนลอยู่กลับไปก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ส่วนทางด้านคอนแนลที่เห็นว่าพรีมูล่ายังคงพยายามเดินตามมาจิ้มเขาไม่เลิกก็ได้ยันตัวเองให้ลุกขึ้นมาและพูดถามเด็กสาวผมชมพูขึ้นมาบ้าง

 

“แล้วคุณเอริกะได้สั่งอะไรผมเอาไว้หรือเปล่าน่ะครับพรีมูล่า?”

 

“เอ๋? ก็ไม่มีนี่นา แต่ถ้าพี่คอนแนลอยากทำงานงั้นก็เข้าไปข้างในพร้อมกับพี่นากาเลยก็ได้มั้ง?”

 

“โอเคครับ ถ้างั้นเดี๋ยวผมขอนั่งรอนากาอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน”

 

 

“เธอแน่ใจแล้วหรอเอริกะ? ไม่ใช่ว่าเขายังไม่ว่างก็เลยยังไม่ได้ติดต่อมาหรือว่าอะไรแบบนั้นแน่นะ?”

 

ในขณะเดียวกันที่ด้านในห้องออฟฟิศของเอริกะนั้นก็ได้มีเสียงของอลิซพูดถามเอริกะผู้ที่เป็นเจ้าของห้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังจนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นต้องละสายตาออกมาจากอุปกรณ์สื่อสารของเธอและพูดตอบเด็กสาวผมสีขาวกลับไป

 

“แน่ใจสิ ปกติเขาจะมาส่งข่าวให้ฉันในช่วงเช้ามืดอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่ว่าวันนี้เขาดันเงียบหายไปเลยแบบนี้ฉันก็เลยคิดว่ามันน่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมาน่ะสิ…”

 

“เฮ้อ… ถ้างั้นก็คงจะต้องไปลองสืบดูที่ต้นเหตุเลยงั้นสินะ…”

 

อลิซที่ได้รับคำตอบกลับมาจากเอริกะแล้วได้ใช้ละอองแสงสีขาวเรียกดาบสีขาวของเธอออกมาและเหวี่ยงมันไปมาเพื่อเป็นการซ้อมมือจนดูราวกับว่าเธอกำลังคิดจะไปตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นให้เอริกะดูซะเดี๋ยวนี้เลย ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องรีบพูดร้องห้ามเด็กสาวที่ร่างกายเต็มไปด้วยผ้าพันแผลขึ้นมาเสียก่อน

 

“ที่ว่าต้องไปตรวจสอบดูน่ะมันก็ใช่… แต่ว่าฉันไม่อนุญาตให้เธอไปที่นั่นหรอกนะอลิซ”

 

“หมายความว่าไง?”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้มือที่กำลังแกว่งดาบไปมาของอลิซหยุดชะงักลงไปในทันที ซึ่งคำพูดของเด็กสาวผมสีขาวที่ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเธอไม่ได้สนใจจะเป็นห่วงสภาพร่างกายของตัวเองเลยแม้แต่น้อยนั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องพูดอธิบายออกมาให้เธอฟัง

 

“เธอดูสภาพของตัวเองก่อนสักหน่อยจะดีกว่ามั้ย ถึงฉันจะเคยบอกไปแล้วว่าฉันยังขาดแคลนกำลังคนอยู่แต่ฉันก็ไม่ได้ขาดถึงขนาดจะต้องส่งคนเจ็บอย่างเธอไปลงสนามหรอกนะ”

 

“งั้นที่เธอใช้ให้ยัยเอ๋อนั่นไปเรียกนากามานี่อย่าบอกนะว่าเธอคิดจะส่งเขาเข้าไปสำรวจที่นั่นน่ะ… แบบนั้นมันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือไง แทนที่จะส่งพวกเด็กๆ อย่างนากาเข้าไปสู้ให้ฉันไปเองน่าจะดีกว่าอีกมั้ง”

 

คำพูดอธิบายของเอริกะได้ทำให้อลิซพูดตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่ได้ยินอลิซพูดเหมือนกับว่าเธอไม่สนใจว่าสภาพร่างกายของตัวเองจะเป็นยังไงเลยแม้แต่น้อยต้องพูดขึ้นเสียงกลับไปในทันที

 

“ก็เพราะว่ามันเสี่ยงยังไงล่ะฉันถึงคิดจะส่งคนที่สภาพพร้อมเต็มร้อยเข้าไปน่ะ! เธอหัดดูสภาพของตัวเองซะบ้างสิ! ในสถานการณ์แบบนี้คนเจ็บอย่างเธอช่วยอะไรใครเขาไม่ได้หรอกนะอลิซ!!”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังร้องว่าอลิซออกมาอยู่นั้นเธอก็ได้ยื่นมือไปดึงชุดเดรสของอีกฝ่ายออกเพื่อให้เด็กสาวได้เห็นสภาพผ้าพันแผลที่มีเลือดไหลซึมอยู่เล็กน้อยของตัวเองจะๆ จนทำให้อลิซมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยและทำท่าเหมือนกับว่าจะพูดเถียงกลับไป

 

แต่ว่าก่อนที่อลิซจะได้เอ่ยปากพูดเถียงกลับไปนั้นเอง ประตูห้องออฟฟิศของเอริกะก็ได้ถูกดันให้เปิดออกด้วยฝีมือของนากาที่เดินเข้ามาพูดถามเอริกะด้วยความสงสัย

 

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าน่ะเอริกะ? ตะกี้นี้เหมือนฉันจะได้ยินเสียงเธอตะโกนอะไรหรือเปล่า?”

 

“อ้าว นากาคุงมาแล้วหรอ เอาล่ะ ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ~”

 

เอริกะที่เห็นว่านากาได้เปิดประตูเข้ามาในห้องออฟฟิศของเธอได้จัดการยื่นมือไปควงแขนของอลิซเอาไว้และลากเด็กสาวเดินผ่านนากากับคอนแนลตรงออกจากห้องออฟฟิศไปในทันทีจนทำให้นากาและคอนแนลได้แต่ต้องพูดถามเธอขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

“เดี๋ยวสิ นี่พวกเราจะไปไหนกันน่ะเอริกะ?”

 

“เอ่อ… แล้วผมต้องไปด้วยหรือเปล่าน่ะครับคุณเอริกะ?”

 

“อื้ม… เอาเป็นว่านายอยู่เฝ้าบ้านฉันให้หน่อยสิคอนแนล เดี๋ยวฉันจะต้องไปทำธุระที่เขตตัวเมืองชั้นนอกสักหน่อยน่ะ~”

 

เอริกะที่ได้ยินคำถามของสองหนุ่มได้ทำเป็นเมินคำถามของนากาและหันไปพูดตอบคำถามของคอนแนลขึ้นมาแทน ซึ่งนั่นก็ทำให้พรีมูล่าที่กำลังกลิ้งเล่นอยู่บนฟูกนอนของนากาลุกกลับขึ้นมาพูดอาสาด้วยอีกคนหนึ่งเสียงใส

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวหนูกับพี่คอนแนลจะอยู่เฝ้าบ้านให้เอง~”

 

“ไม่อ่ะ คอนแนลเขาจะอยู่เฝ้าเธอกับบ้านหลังนี้ให้เอริกะเขาต่างหากล่ะ ฝากน้องสาวของฉันด้วยละกันนะคอนแนล!”

 

“ครับ! ไว้ใจผมได้เลย!”

 

“เอ๋~!?”

 

 

หลังจากที่นากา อลิซ และเอริกะช่วยกันจับพรีมูล่าที่เปลี่ยนใจต้องการจะตามมาด้วยยัดเอาไว้ในตัวบ้านได้เป็นผลสำเร็จแล้ว พวกเขาก็ได้ออกมายืนสวมใส่เสื้อคลุมกันฝนกันอยู่ที่หน้าประตูบ้านกันก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งร้องเรียกเอริกะดังขึ้นมาให้ทุกคนได้ยิน

 

“ย่ะโฮ่ว~ มาแล้วค่ะคุณเอริกะ~”

 

เจ้าของเสียงร้องเรียกนั้นก็คือหญิงสาวผมสีแดงที่นากาคุ้นหน้าอีกคนหนึ่งที่มีหูและหางจิ้งจอกสุดนุ่มฟูที่กำลังพยายามใช้ร่มคันใหญ่ของเธอบดบังหางฟูๆ ของเธอเอาไว้จากสายฝนหรือก็คือหญิงสาวที่มีชื่อว่าเอริซาเบธผู้ที่เป็นคนขับรถพาเขามาส่งที่เมืองรีมินัสเมื่อวานนี้นี่เอง

 

“นั่นมันเอริซาเบธนี่…”

 

“ว่างาย~ นากาคุงกับอลิซจัง~ เห็นคุณเอริกะเขาบอกว่าเขารับพวกเธอเข้าร่วมทีมด้วยงั้นหรอ~”

 

เอริซาเบธพูดทักทายนากากับอลิซขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะพูดสอบถามทั้งสองคนขึ้นมาจนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่รู้สึกแปลกใจ เพราะเขามั่นใจว่าเมื่อวานนี้เอริกะอยู่กับพวกเขาตลอดเวลาจนไม่น่าจะมีเวลาได้ไปติดต่อแจ้งข่าวให้กับเอริซาเบธอย่างแน่นอน

 

“เธอรู้ได้ยังไงน่ะเอริ? ไม่ใช่ว่าเมื่อวานนี้เธอบอกว่าจะเอารถไปเก็บแล้วก็หายไปเลยหรอกหรอ?”

 

“อ๋อ~ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็… มันก็เป็นเพราะเจ้านี่ไง~”

 

เอริซาเบธยิ้มพูดตอบนากากลับไปด้วยน้ำเสียงกวนๆ นิดๆ ก่อนที่เธอจะหยิบเอาอะไรบางอย่างออกมาจากหูของเธอให้นากาได้เห็น ซึ่งเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือของเอริซาเบธนั้นก็คืออุปกรณ์อะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนกับก้อนกลมๆ สีขาวๆ ที่เมื่อสักครู่นี้มันอยู่กลมกลืนไปกับขนสีขาวๆ ที่อยู่ด้านในหูจิ้งจอกของเอริซาเบธจนเขาไม่ทันได้สังเกตเห็น

 

ส่วนทางด้านเอริกะเองก็ได้พูดอธิบายถึงตัวอุปกรณ์ในมือของเอริซาเบธออกมาให้พวกนากาที่เป็นเด็กใหม่ได้ฟังเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

 

“มันเป็นอุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กที่ฉันสร้างเอาไว้ให้คนในทีมใช้กันน่ะ เพราะไม่งั้นเวลาจะส่งข่าวหรือว่าตามตัวกันมาแต่ละทีมีหวังได้เสียเวลาตายเลย”

 

“ช่าย~ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าคุณเอริกะสร้างมันขึ้นมาได้ยังไงก็เถอะนะ แต่ว่าเจ้านี่น่ะมีประโยชน์มากเลยล่ะเวลาที่ต้องการจะติดต่อสื่อสารกันในระหว่างทำภารกิจน่ะ~”

 

“อ๋อใช่แล้ว แล้วก็เรื่องของเจ้าเครื่องมือสื่อสารเนี่ยพวกเธอทั้งสองคนต้องปิดให้มิดเลยนะเข้าใจมั้ยเอ่ย เพราะว่าตอนนี้แม้แต่ทางวังหลวงเองก็ยังไม่มีของอะไรแบบนี้ใช้กันเลยน่ะ~”

 

คำเตือนของเอริกะนั้นได้ทำให้นากาเลิกคิ้วมองดูเธอด้วยความแปลกใจ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่มั่นใจว่าเอริกะมีตำแหน่งหน้าที่อะไรภายในวังหลวงกันแน่ แต่ถ้าดูจากข้อมูลของเอริกะที่เขาปะติดปะต่อเอาเองแล้ว เอริกะก็น่าจะทำงานเป็นนักประดิษฐ์ที่คอยคิดค้นเครื่องมือต่างๆ ให้กับทางวังหลวง และจำเป็นที่จะต้องคอยส่งมอบสิ่งประดิษฐ์ที่เธอคิดค้นขึ้นมาได้ทุกชิ้นให้กับทางวังแน่ๆ

 

แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดถามอะไรขึ้นมา เอริซาเบธที่ถูกเอริกะเรียกตัวมาหาที่บ้านก็ได้เอ่ยปากพูดถามเอริกะขึ้นมาเสียก่อน

 

“ว่าแต่นี่มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาสินะคะ คุณเอริกะถึงได้เรียกฉันมาตั้งแต่เช้าแบบนี้น่ะ”

 

“คือพอดีว่ามีหนึ่งในคนของพวกเราที่ออกไปทำภารกิจระยะยาวแล้วเขาดันขาดการติดต่อไปน่ะสิ แต่เดี๋ยวฉันค่อยอธิบายให้พวกเธอฟังระวังที่กำลังเดินทางก็แล้วกัน”

 

เอริกะพูดตอบเอริซาเบธกลับไปก่อนที่เธอจะหันไปมองนากาและหยิบเอาเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่หน้าตาคล้ายๆ กับของเอริซาเบธแต่ว่ามีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อยและเป็นสีดำล้วนออกมายื่นให้กับนากา

 

“อ่ะนี่ เธอเอามันไปใส่ไว้ในหูสักข้างนึงแล้วก็เอาผมยุ่งๆ นั่นมาปิดเอาไว้สักหน่อยก็น่าจะไม่มีใครเห็นแล้วล่ะ แล้วเวลาที่เธออยากจะติดต่อกับคนอื่นผ่านเจ้าเครื่องนี่ก็เอานิ้วจิ้มให้มันส่งเสียงสัญญาณออกมาก่อนแล้วก็พูดออกมาได้ตามปกติเลย~ อ้ะ… แต่ถ้ายังไงเวลาคุยก็เบาเสียงลงสักหน่อยก็ดีนะ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นเขาจะคิดว่าเธอเป็นคนบ้าที่คุยกับตัวเองน่ะ~”

 

นากาที่ยื่นมือออกไปรับเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กได้เอามันมาจ้องมองดูชั่วขณะแล้วจึงใส่มันเข้าไปข้างในหูของตัวเองและหันไปสอบถามเอริกะที่เป็นเจ้าของของมันดู

 

“ใส่แบบนี้น่ะหรอเอริกะ? ว่าแต่ถ้าเธอมีเจ้าเครื่องมือสื่อสารนี่อยู่ทำไมไม่ลองติดต่อหาคนของเธอที่หายไปนั่นผ่านทางเจ้าเครื่องนี่ดูล่ะ?”

 

“ก็ฉันไม่รู้ว่าเขาจะต้องไปตีสนิทกับเป้าหมายขนาดไหนก็เลยไม่ได้ให้เจ้าเครื่องนี่ไปน่ะสิ เพราะถ้าเกิดว่าเขาทำความแตกขึ้นมาเดี๋ยวเจ้าเครื่องนี่มันก็ได้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นขึ้นมาจริงมั้ยล่ะ~ เอาล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวเธอพานากาวิ่งไปที่ประตูทิศเหนือก่อนก็แล้วกันนะเอริ ส่วนอลิซจังนี่เดี๋ยวฉันจะพาไปทำแผลให้ที่คลินิกของอารอนก่อนก็แล้วกัน~”

 

“ได้ค่า~”

 

“ด—เดี๋ยวก่อนสิ นี่สรุปว่าเธอจะให้ฉันไปทำอะไรกันแน่เนี่ยเอริกะ?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำถามของนากาไม่ได้สนใจที่จะพูดตอบคำถามของเขาออกมาและจูงมือของอลิซที่ดูเหมือนว่าจะกำลังพยายามขัดขืนอยู่น้อยๆ ให้เดินตรงไปตามถนนอีกฝั่งหนึ่งในทันที ส่วนทางด้านเอริซาเบธเองก็ได้เอ่ยปากเรียกนากาให้เริ่มทำตามคำสั่งของเอริกะด้วยเช่นเดียวกัน

 

“ถ้างั้นพวกเราก็ออกตัวกันบ้างเถอะเนอะนากาคุง~”

 

“อ–อ่า ว่าแต่นี่พวกเราจะต้องไปทำอะไรที่ไหนกันแน่ล่ะนั่น?”

 

“แหม่~ ตอนนี้พวกเราก็แค่ออกเดินไปทางประตูทิศเหนือแบบที่คุณเอริกะเขาสั่งมาไปก่อน แล้วเดี๋ยวพอได้จังหวะคุณเอริกะเขาก็จะติดต่อมาหาเองนั่นแหล่ะ~”

 

คำพูดของเอริซาเบธที่ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับวิธีการสั่งงานแบบนี้ของเอริกะดีได้ทำนากาต้องยกมือขึ้นมาเกาหัวของตัวเองก่อนที่เขาจะออกเดินตามหลังหญิงสาวหูจิ้งจอกไป

 

และหลังจากที่ทั้งสองคนออกเดินไปตามถนนได้สักพักหนึ่งตัวเครื่องมือสื่อสารที่นากาใส่เอาไว้ในหูก็ได้ส่งเสียงสัญญาณอะไรบางอย่างออกมาจนทำให้นากาต้องสะดุ้งไปเล็กน้อยเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

 

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ

 

“ฮัลโหล่เทสๆ ได้ยินหรือเปล่า นากา เอริ”

 

“เห็นบอกว่าต้องจิ้มมันก่อนแล้วค่อยตอบกลับสินะ…”

 

ปิ๊บ

 

“ได้ยินแล้วนะเอริกะ…”

 

“………”

 

“เอ่อ… ที่ฉันพูดนี่เธอได้ยินหรือเปล่าเนี่ยเอริกะ?”

 

นากาที่ยกมือขึ้นไปจิ้มที่เครื่องมือสื่อสารและพูดตอบเอริกะกลับไปแต่กลับไม่มีการตอบรับกลับมานั้นได้แต่รู้สึกสงสัยว่าเขาใช้งานเจ้าเครื่องสื่อสารอะไรนี่ถูกวิธีหรือเปล่า ซึ่งท่าทางสับสนของนากานั้นก็ได้ทำให้เอริซาเบธยกมือขึ้นไปจิ้มที่เครื่องมือสื่อสารส่วนตัวของเธอก่อนจะพูดติดตลกใส่มันไป

 

“ถึงนากาคุงเขาจะใช้งานมันได้ถูกต้องตั้งแต่แรกแต่คุณเอริกะก็อย่าไปแกล้งนากาคุงเขาแบบนั้นสิคะ~”

 

“แหม่~ ความแตกซะแล้วสิ~”

 

“นี่สรุปว่าที่เธอเงียบไปเมื่อกี้นี่แค่คิดอยากจะแกล้งฉันเฉยๆ หรอน่ะ…? เอาเถอะ ว่าแต่แล้วนี่สรุปว่าเธอจะส่งฉันกับเอริเขาไปทำอะไรที่ไหนกันแน่น่ะ?”

 

ถึงแม้ว่านากาจะเกิดความรู้สึกว่าเขาอยากจะพูดบ่นการกระทำของเอริกะออกไป แต่ว่าเขาก็ได้แต่ตัดใจและพูดถามถึงสาเหตุที่เอริกะส่งเขาออกมากับเอริซาเบธออกมาแทน ในขณะที่ทางด้านเอริซาเบธเองก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะว่าในขณะนี้พวกเธอเดินมาเกือบจะถึงครึ่งทางแล้วซะด้วยซ้ำแต่ว่าก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหนต่อเลย

 

“นั่นสิคะคุณเอริกะ นี่สรุปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ถึงต้องให้ฉันออกมาทำงานตั้งแต่เช้าขนาดนี้กันคะเนี่ย?”

 

“อื้ม… เธอจำสาวใช้คนนึงที่เธอน่าจะได้เจอตัวอยู่บ่อยๆ แถวๆ หน้าบ้านฉันตอนช่วงเช้ามืดได้หรือเปล่าล่ะเอริ”

 

“สาวใช้คนที่บางทีก็ฝากพวกผลไม้หรือไม่ก็ขนมมาให้คุณเอริกะอยู่บ่อยๆ นั่นน่ะหรอคะ?”

 

“นั่นแหล่ะ ปกติแล้วสาวใช้คนนั้นเขาจะมาหาฉันในช่วงเช้ามืดอยู่เป็นประจำ ยกเว้นแต่ว่าจะมีเหตุจำเป็นอะไรที่เขามักจะแจ้งเอาไว้ก่อน หรือถ้าเกิดว่าเป็นเหตุฉุกเฉินจริงๆ เขาก็จะส่งคนมาบอกฉันว่าวันนี้มาไม่ได้แทน แต่ว่าวันนี้เขาดันหายตัวไปเฉยๆ โดยไม่ได้บอกอะไรเอาไว้ก่อนเลยนี่น่ะสิ”

 

เอริกะพูดอธิบายสถานการณ์ออกมาให้กับเอริซาเบธและนากาฟัง ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่มองโลกในแง่ดีอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมา

 

“เขาแค่ตื่นสายหรือว่าอะไรแบบนั้นหรือเปล่าน่ะเอริกะ?”

 

“แหม่ ถ้าเกิดว่าเขาแค่เอาขนมหรือว่าผลไม้มาฝากเฉยๆ แบบที่คนอื่นเขาคิดกันฉันก็คงจะไม่รีบร้อนอะไรขนาดนั้นหรอก~”

 

“ถ้างั้นก็หมายความว่าที่เขามาหาคุณเอริกะบ่อยๆ นี่เขาก็มาเพื่อรายงานภารกิจของเขาให้คุณเอริกะงั้นสินะคะ”

 

ทันใดนั้นเองเอริซาเบธที่ดูเหมือนว่าจะจับต้นชนปลายอะไรได้แล้วก็ได้พูดถามเอริกะขึ้นมาตรงๆ และสะกิดเรียกให้นากาเดินตามเธอเข้าตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อหลบจากชาวเมืองรีมินัสจำนวนไม่น้อยที่กำลังเดินจ่ายตลาดในยามเช้ากันอยู่ก่อนจะพูดถามเอริกะผ่านเครื่องมือสื่อสารของเธอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ถ้างั้นที่ๆ คุณเอริกะจะให้พวกฉันไปนี่มันก็…”

 

“ช่าย~ บ้านของพ่อหนุ่มเจ้าปัญหาของพวกเรานั่นแหล่ะ~”

 

“เดี๋ยวสิ แต่ถ้าเกิดว่าพวกเราจะไปตามหาคนรู้จักของเธอแบบนี้นี่เธอมาเองมันจะไม่ง่ายกว่าหรอน่ะเอริกะ?”

 

ในขณะที่เอริซาเบธและเอริกะดูเหมือนว่าจะเข้าใจอะไรสักอย่างตรงกันได้แล้วนั้น ทางด้านนากาที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ได้ก็ได้พูดถามขึ้นมาแบบมึนๆ จนทำให้เอริซาเบธต้องพูดอธิบายออกมาให้เขาฟัง

 

“ก็งานของเขามันอาจจะเป็นงานอะไรที่คุณเอริกะจะเข้าไปหาตัวตรงๆ ไม่ได้ยังไงล่ะนากาคุง ถ้าดูจากที่ว่าสายของเราเขาแต่งชุดสาวใช้นี่ก็น่าจะเป็นการแอบลอบเข้าไปหาข้อมูลในคราบของสาวใช้ใช่มั้ยล่ะคะคุณเอริกะ?”

 

“อื้ม… จะว่าแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง”

 

“คำว่า ‘สาย’ ที่เอริเขาพูดถึงนี่หมายถึงสายลับหรืออะไรแบบนั้นที่แอบเข้าไปสอดแนมในฐานของศัตรูนั่นน่ะนะ?”

 

“จะว่าเป็นศัตรูมันก็ไม่เชิงหรอกมั้ง… ถึงฉันจะสนใจในงานที่ตัวเขาทำอยู่บ้างก็เถอะ แต่ว่าจริงๆ แล้วสายงานของพวกเรามันก็เป็นคนละอย่างกันน่ะ… แต่ว่าเมื่อวานนี้มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมานิดหน่อย แล้วมาวันนี้สายของฉันก็หายตัวไปเฉยๆ แบบนี้ฉันก็เลยอดเป็นห่วงไม่ได้น่ะ…”

 

คำพูดที่แฝงเอาไว้ด้วยความกังวลของเอริกะนั้นได้เริ่มที่จะทำให้นากาต้องหันมาจริงจังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่างอยู่จนอดไม่ได้ที่จะพูดถามเอริกะขึ้นมา

 

“แต่ว่าเรื่องสำคัญแบบนี้เธอก็ไม่น่าจะส่งฉันที่เพิ่งจะเจอกันเมื่อวานนี้ออกมาทำไม่ใช่หรอ? คือไม่ใช่ว่าฉันอยากจะบ่นหรือว่าอะไรนะ แต่ว่ามันฟังดูเป็นเรื่องสำคัญจนฉันกลัวว่าจะทำอะไรพลาดไปน่ะ…”

 

“อ๋อ~ ก็พอดีว่าที่ที่เป้าหมายอยู่มันมีปัญหาอะไรนิดหน่อยจนฉันไม่เหมาะที่จะไปเองอย่างแรงเลยน่ะสิ~”

 

“ที่ที่เป้าหมายอยู่?”

 

“ช่าย~ เพราะว่าที่นั่นมันก็คือคฤหาสน์ของคุณบารอน เวก้า รีวิซ ที่เขาเพิ่งจะมาคุ้ยบ้านฉันจนเละไปเมื่อวานนี้นั่นไง~”