บทที่ 10 ความฝันที่แปลกประหลาด

“ซื้อเพิ่มอีกอย่างละสองถุงเถิด” ถังหลี่กล่าว เว่ยฉิงมองนางอย่างประหลาดใจ

“เจ้าแบกไหวใช่หรือไม่?” ถังหลี่เลิกคิ้วถามเขา

บุรุษที่ไหนจะยอมเป็นคนอ่อนแอต่อหน้าภรรยาเล่า !

เว่ยฉิงงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ไม่สนใจ เขาสนใจที่เอาชนะเท่านั้น

“เหลวไหล! ไม่ต้องพูดถึงหกถุงหรอก ต่อให้มีเพิ่มมากกว่านี้ข้าก็ถือไหว!” ท้ายที่สุดแล้วเว่ยฉิงซื้อข้าวสารสามถุงและแป้งหมี่อีกสามถุง เขารวบของทั้งหมดใส่รวมกันในถุงใบใหญ่แล้วแบกขึ้นบนหลังของเขา ผู้ชายคนนี้ช่างแข็งแกร่งราวกับวัวตัวใหญ่สามารถแบกของหนักขนาดนี้ได้ ถังหลี่เองแบกหีบห่อต่าง ๆ ไว้ที่หลังเช่นกัน มีทั้งเสื้อกันหนาวและอาหารสำหรับเด็ก ๆ ทั้งสองรีบกลับบ้านไปด้วยกัน

กว่าจะถึงบ้านก็มืดค่ำมากแล้ว

ที่บ้านป้าหวัง ..เด็ก ๆ ทั้งสามกำลังยืนพิงรั้วและมองไปตรงทางเข้าหมู่บ้าน ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายเมื่อเห็นถังหลี่และเว่ยฉิง ทั้งสามคนรีบวิ่งไปหาคนทั้งคู่อย่างรวดเร็ว เจ้าตัวน้อยพากันล้อมรอบมารดาเอาไว้

“ท่านแม่ ข้าถือให้” ต้าเป่าอาสา ถังหลี่ปลดห่อของลงแล้ววางไปบนหลังของลูกชายคนโต ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีน้ำหนักมากนัก แต่ก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาอยู่ดี

“พี่ใหญ่เหมือนเต่าเลย” ซานเป่าพูดขึ้นมา มองดูแล้วเหมือนเต่าที่คลานไปบนพื้นจริง ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะขบขัน ต้าเป่าไม่ได้โกรธเคือง เด็กน้อยโน้มตัวไปข้างหน้าเหยียดมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างออกให้เหมือนเต่าที่กำลังคลานอยู่กับพื้น ทำเอาซานเป่าหัวเราะจนตัวโยน

เมื่อครอบครัวทั้งห้าคนกลับมาถึงบ้าน เอ้อเป่าก็รีบไปเทน้ำมาให้เว่ยฉิงและถังหลี่ ซานเป่ากำหมัดเล็ก ๆ ของนางแล้วทุบไปที่ต้นขาของบิดามารดา ฮัมเพลงเบา ๆ คลอไปด้วย

ท่านแม่ท่านพ่อเดินมาทั้งวันคงปวดขาน่าดู!

หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เด็กน้อยทั้งสามคนช่างเฉลียวฉลาดและเป็นเด็กดียิ่งนัก อาหารเย็นวันนั้นเป็นซาลาเปาที่ซื้อมาจากในเมือง ซาลาเปาเหล่านี้มีราคาแพงกว่าหมั่นโถวมาก เว่ยฉิงทำซาลาเปาไม่เป็น ถ้าอยากกินก็ต้องพาลูก ๆ เข้าไปในเมืองเท่านั้น เขาจึงถือว่าซาลาเปาเป็นอาหารหรูหรา และเด็ก ๆ ทั้งสามชอบมันมาก

หลังอาหารเย็นถังหลี่บอกให้เว่ยฉิงซ่อนอาหารที่ซื้อตุนเอาไว้ เว่ยฉิงคิดว่านางช่างเหมือนพวกหนูตัวเล็ก ๆ ที่ชอบกักตุนอาหาร เขาเย้าแหย่หญิงสาวแต่นางกลับกลอกตาใส่เขาแทน

“ใช่ ข้ากักตุนอาหาร และอีกไม่นานเจ้าจะรู้ว่าเหตุใดเราต้องกักตุนอาหารเอาไว้ ”

เว่ยฉิงไม่ได้สนใจ ฤดูหนาวกำลังจะมาถึงแล้ว ตอนนี้แทบจะเพาะปลูกอะไรไม่ได้ อีกทั้งบนภูเขาสัตว์ก็ไม่ค่อยมีให้ล่ามากนัก ดังนั้นช่วงนี้เว่ยฉิงจึงต้องขึ้นเขาบ่อยเป็นพิเศษ

ไม่กี่วันต่อมาเมื่อเว่ยฉิงเข้าไปในเมืองก็รับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง มีคนมากหน้าหลายตาที่ดูไม่คุ้นเคยเพิ่มมากขึ้น หลายคนดูเป็นเศรษฐีที่อพยพมาจากเมืองอื่น คนเหล่านี้หอบครอบครัวและข้าวของราวกับจะปักหลักอยู่ที่นี่

ไม่นานข่าวก็กระจายในหมู่บ้านว่ากำลังจะมีสงคราม ทุกคนควรรีบกักตุนอาหาร หลายคนในหมู่บ้านเดินทางเข้าเมืองตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง แต่กลับบ้านมามือเปล่า อาหารในเมืองไม่มีเหลือแล้ว!

เมื่อเว่ยฉิงรู้เข้าก็ทำให้นึกถึงแรงจูงใจของถังหลี่ที่ขอให้เขาซื้ออาหารเพิ่ม นางไม่รู้เรื่องมาก่อนจริงหรือ? แต่อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณถังหลี่ที่ทำให้พวกเขาได้มีอาหารเพิ่มมากขึ้น ไม่เช่นนั้นคงจะต้องอดอยากกันอย่างแน่นอน

ภรรยาของเขาเป็นดาวนำโชคจริงๆ!

…..

ในบ้านมีเสบียงเพียงพอเพราะเว่ยฉิงขยันมากและเขาไม่ต้องการให้ถังหลี่ต้องเหน็ดเหนื่อย หญิงสาวเข้ากันได้ดีกับเด็ก ๆ ถังหลี่จึงมีหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ ในบ้านทั้งสามคน ถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันอย่างชอบธรรม…

ถังหลี่ดูมีน้ำมีนวลขึ้น ร่างกายที่เคยซูบผอมค่อย ๆ อวบอิ่ม หลาย ๆ อย่างที่ควรเติบโตตามวัยก็เติบโตมากกว่าเดิมเช่นกัน…

ในกลางดึกคืนนั้นถังหลี่นอนหลับฝัน ในความฝันเว่ยฉิงกำลังเดินอยู่ในป่าพร้อมกับหิ้วไก่ฟ้าไว้ในมือ เขาถูกฝูงหมาป่ารุมล้อมอยู่รอบด้าน เว่ยฉิงหยิบไม้ขึ้นและต่อสู้กับพวกมัน ถึงเว่ยฉิงจะเก่งกาจแต่หมาป่ามีจำนวนมากเกินไป หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดแล้วหมาป่าก็พ่ายแพ้ แต่เว่ยฉิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เขาสลบไปท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นและเลือดที่ไหลนองไปทั่วพื้น

เว่ยฉิงนอนสลบกองอยู่กับพื้น ชายหนุ่มเสียเลือดไปมาก เวลาผ่านไปนานกว่าจะมีคนมาพบเข้าและช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้ แต่…ขาของเว่ยฉิงติดเชื้อจนถึงกับต้องตัดขาทิ้ง เด็กทั้งสามกลายเป็นเด็กกำพร้าถูกพลัดพรากจากกันไป ครอบครัวแตกแยกพลัดจากกันไปคนละทิศคนละทาง..

ถังหลี่ลืมตาตื่นขึ้นทันที หัวใจเต้นถี่ระรัวจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน ที่นอนด้านข้างว่างเปล่า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เมื่อหญิงสาววิ่งไปดูที่ห้องเก็บของก็พบว่าทั้งคันธนู ลูกศร มีดเดินป่าอาวุธต่าง ๆ หายไปจนหมด เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขาแล้ว

แต่มันเป็นแค่ความฝัน…แค่ความฝันเท่านั้น ไม่ต้องกังวล นางปลอบใจตัวเอง

แต่อย่างไรก็ตามจนตะวันลับฟ้าเว่ยฉิงก็ยังไม่กลับมา ปกติแล้วเขาจะกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกเสมอ ถังหลี่เดินกระวนกระวายไปรอบ ๆ บ้าน รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง มีนิยายที่นางเคยอ่าน ตัวร้ายของเรื่องมีปัญหาเกี่ยวกับขา ช่างประจวบเหมาะกับความฝันของถังหลี่ ผู้ชายที่คล่องแคล่วว่องไวเช่นเขา หากมีปัญหากับขาและเท้าของเขาขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็….

ไม่!! นางต้องขึ้นภูเขาไปดูให้เห็นกับตา !!

ทว่าถังหลี่ไม่เคยขึ้นไปภูเขาด้านหลังมาก่อน ดังนั้นหากขึ้นเขาไปอย่างรีบร้อน นอกจากจะหาเว่ยฉิงไม่เจอแล้วนางยังจะหลงป่าอีกด้วย ถังหลี่เม้มปากแน่นก่อนตัดสินใจ หญิงสาวพาเด็ก ๆ มาที่บ้านของป้าหวังและนำหมั่นโถวนึ่งสองก้อนมอบให้ป้าหวังด้วย

“ท่านป้า นี่อาหารสำหรับเอ้อร์ตั้น”

เอ้อร์ตั้นเป็นหลานชายของป้าหวัง ซึ่งแก่กว่าต้าเป่าเล็กน้อย ตอนนี้อาหารขาดแคลนมาก ทุกครัวเรือนต้องรัดเข็มขัดเพื่อประหยัด หมั่นโถวนึ่งธรรมดาสองก้อนนี้ถือได้ว่าเป็นของล้ำค่า

“นี่..เจ้าใจดีอะไรเช่นนี้” ถังหลี่วางของลง

“ท่านป้าหวัง ท่านช่วยดูแลลูก ๆ ของข้าหน่อยเถิด …มีอีกเรื่องที่ข้าอยากขอร้องท่านด้วย..ข้าอยากขึ้นไปบนภูเขาตอนนี้ ท่านช่วยไหว้วานให้บิดาของเอ้อร์ตั้นนำทางให้ข้าได้หรือไม่?”

“ขึ้นเขาหรือ..เย็นค่ำป่านนี้แล้ว?” ป้าหวังรู้สึกแปลกใจ

“เว่ยฉิงยังไม่กลับมาบ้านเลย ข้ากังวลว่าเขาจะเกิดเรื่อง” ถังหลี่พูดและหยิบเหรียญสองสามเหรียญออกจากแขนเสื้อยื่นส่งให้ป้าหวัง นางเอ่ยปากอ้อนวอนอีกครั้ง

“ได้โปรดช่วยข้าที”

เหรียญเงินสองเหรียญนี่ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย!

เมื่อเห็นว่านางร้อนใจ ป้าหวังจึงรีบไปตามสามีมาเพื่อปรึกษา และในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าทั้งสามีและลูกชายคนโตของป้าหวังจะนำทางให้ถังหลี่

ทั้งสามรีบไปที่ภูเขา ยังพอมีแสงและมองเห็นทางอยู่บ้าง หลี่ต้าซานสามีของป้าหวังกล่าวว่านี่เป็นเส้นทางเดียวที่จะขึ้นไปบนภูเขา ถังหลี่สอดส่ายสายตามองหาเว่ยฉิง ระหว่างทางที่เดินไปนางก็ย้ำและปลอบใจตัวเองว่ามันคือความฝัน..เป็นเพียงความฝันเท่านั้น

แต่เมื่อหามาเกือบชั่วยาม[1]ก็ยังไม่พบวี่แววของเว่ยฉิง หัวใจของถังหลี่เหมือนหยุดเต้นชั่วขณะ ทั้งสามยังเดินเท้าต่อไปเรื่อย ๆ มีเพียงแสงจากคบไฟนำทาง และหลี่ต้าซานก็หยุดฝีเท้าลง

“ภรรยาเว่ยฉิง เราไปต่อไม่ได้แล้วล่ะ” หลี่ต้าซานกล่าว

“ท่านลุงต้าซาน เกิดอะไรขึ้นข้างหน้าหรือ?” ถังหลี่ถาม

“ภูเขาที่อยู่ข้างหน้านี้เรียกว่าภูเขาหมี เพราะมีหมีอาศัยอยู่ ขนาดกลางวันยังไม่มีใครกล้าไปเลยมีแต่เว่ยฉิงเท่านั้นแหละที่กล้าเข้าไป” หลี่ต้าซานกล่าว ใบหน้าของเขาฉายแววหวาดกลัว

“มีชาวบ้านหลายคนเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น”

“พรุ่งนี้เช้าเราค่อยมากันใหม่ดีหรือไม่? ให้ชาวบ้านคนอื่นช่วยด้วย” ลูกชายของหลี่ต้าซานแนะนำ

ถังหลี่มองไปที่ความมืดมิดในป่า นางเข้าใจถึงความกังวลของหลี่ต้าซานและลูกชายเป็นอย่างดี ไม่มีใครหรอกที่จะยอมเสี่ยงชีวิตตัวเอง แต่ทันทีที่หญิงสาวหลับตาลง ภาพที่เว่ยฉิงนอนจมกองเลือดก็ปรากฏขึ้นมา ถังหลี่กัดฟันและพูดว่า

“ท่านลุงหลี่ พี่หลี่ พวกท่านกลับไปก่อนเถิด แต่ช่วยจุดคบไฟให้ข้าที ข้าจะไปต่อเอง!”

————

[1] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง