วันรุ่งขึ้น ฉันที่ตื่นสายกว่าปกตินิดหน่อย ก็มีเสียงดังมาจากหน้าบ้านของฉันเอง

 

“อื~~~ม? อะไรน่ะ?”

 

เมื่อคืนนี้ก็อยู่ซะดึก นี่ยังมึนๆ หัวอยู่เลย

ตอนแรก ฉันก็วางแผนจะทำโพชั่น (ยาแปรธาตุ)ให้เสร็จไปประมาณนึงก่อน

แต่ เพราะขวดยาก็หมดไปกลางคันซะก่อน ตารางงานของฉันก็เลยเริ่มจะผิดเพี้ยนไป

ถ้าไม่มีขวดยา ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำมันขึ้นมาใช่มั้ยล่ะ?

ฉันก็ต้องไปจุดเตาหลอมแก้วเพื่อทำมันใช่มั้ยล่ะ?

เรื่องนั้นน่ะไม่ไหวเลย พอแก้วหลอมเหลวแล้ว มันจะเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะถ้าไม่ใช้มันทันที

เพราะงั้น ฉันก็เลยทำขวดยาอยู่ตลอดเลย รินโพชั่นใส่ลงไปหลังจากที่มันเย็นแล้ว จากนั้นก็ปิดฝา

ตอนที่แก้วถูกใช้จนหมด ฟ้าข้างนอกก็เริ่มสว่างพอดี

เพราะแบบนั้น ฉันก็ทำสินค้าเอาไว้ได้เยอะเลยนั่นแหละ แต่ว่า…

 

“อ่า อือ~~?”

 

ฉันนั่งลงเงียบๆ แล้วก็มองออกไปนอกหน้าต่าง… มีผู้ชายมากันเต็มเลย

…อะ จริงสิ วันนี้คือวันที่จะเริ่มทำรั้วนี่นา

สมกับเป็นคุณเกเบิร์กเลย งานเร็วยิ่งกว่าที่คิดซะอีก

เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เลย… แถมวัสดุเองก็เอามากองเรียบร้อยแล้วด้วย

ยังไง ก็ต้องไปทักทายซักหน่อยแล้วสิ

พอฉันบิดร่างกายที่เหนื่อยล้าของตัวเองแล้ว ฉันก็ลุกขึ้น แต่งตัวให้ดี แล้วก็ออกไปข้างนอก

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณเกเบิร์ก”

“โอ้ หวัดดี แม่หนู สวนดูสะอาดขึ้นแล้วนี่?”

 

สิ่งที่คุณเกเบิร์กชี้ให้เห็นก็คือสวนของฉัน ที่เมื่อวาน ฉันทำงานอย่างหนักเลยในการพัฒนามันจาก [สวนทรุดโทรม] ให้กลายเป็น [สวนที่ถูกปล่อยทิ้งไปหน่อยนึง] แทน

ถึงจะยังห่างจาก [สวนที่ดูแลเป็นอย่างดี] อีกไกล เพราะที่ทำก็แค่ถอนหญ้าเอง แต่นี่ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ

 

“ค่ะ ก็ ฉันพยายามเต็มที่เลย”

“เพราะนี่น่ะเหรอ ถึงได้เหนื่อยขนาดนี้น่ะ?”

“ดูออกเลยเหรอคะ? ที่จริง นั่นก็เป็นแค่หนึ่งในเหตุผลค่ะ”

 

ฉันคิดว่าฉันแต่งตัวให้ดีแล้ว แต่ดูเหมือนฉันจะเหนื่อยจนมองเห็นได้เลยสินะ

ถ้าจะให้ว่าอะไรล่ะก็ การอดนอนเนี่ย ทรมานยิ่งกว่าซะอีก

 

“ว่าแต่ คือว่า คือว่า คนพวกนี้…?”

“พวกผู้ชายในหมู่บ้านนี่แหละ เรียกตัวมาช่วยงานใหญ่แบบนี้ไง ถึงคิดว่าก็คงจะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าเกิดมีใครไปตอแยหนูล่ะก็ บอกฉันได้เลย ฉันจะไปทุบเจ้านั่นให้อ่วมเอง”

 

คุณเกเบิร์กถือค้อนอันใหญ่อยู่ในมือขวาของเขาด้วย

ก่อนจะเขย่ามันเบาๆ ในมือ

แบบนี้ แทนที่จะเรียกว่า ‘ทุบให้อ่วม’ เนี่ย มันไม่ใช่ ‘ทุบจนแหลก’ แล้วเหรอนั่นน่ะ?

เหมือนบางคนที่ได้ยินคำพูดของคุณเกเบิร์กจะหน้าซีดกันเป็นแถวๆ เลยแฮะ ดูท่าทางฉันจะไม่ได้คิดไปเองสินะ

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ทุกคน ฉันชื่อซาราสะ เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อวันก่อนนี้เอง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

 

ฉันยังไม่ได้ทักทายพวกเขาเลย ก็เลยถือโอกาสนี้โค้งให้ทุกคนอย่างสุภาพซะเลย

พอฉันพูดแบบนั้น ทุกคนก็ทักทายกลับมาอย่างเป็นมิตรกันเลย แต่… ขอโทษนะคะ ฉันจำชื่อแต่ละคนไม่ได้เลย

 

“ไม่ต้องจำก็ได้นะ ถ้าหนูทำอาหารกินเองล่ะก็ เดี๋ยวก็จำได้เองนั่นแหละ”

 

คุณเกเบิร์กพูดซ้ำทับ เหมือนกับว่าเขาจะเดาความสับสนของฉันได้ยังไงยังงั้นเลย

ดูเหมือน คนที่รับหน้าที่เป็นคนงานชั่วคราวพวกนี้ ปกติก็จะทำนาทำไร่

หรือที่จริง ตอนที่ฉันขอให้คุณเอลลิสช่วยนำทางให้เมื่อวันก่อน พวกเขาก็คือคนที่ถูกละเอาไว้ก่อนนั่นแหละ

…อือ จะพยายามจำนะคะ

 

“งั้น จะให้เริ่มงานเลยมั้ย?”

“ค่ะ ขอความกรุณาด้วยค่ะ อา ที่สวนหลังบ้านมีสมุนไพรปลูกเอาไว้อยู่ เพราะยังงั้น ก็ขอให้ช่วยระวังทางนั้นด้วยนะคะ”

 

ฉันขุดสมุนไพรมีค่าออกมา แล้วก็ย้ายที่ปลูกไปแล้ว ถ้ามีใครไปเหยียบพวกมันล่ะก็ คงน่าเศร้าน่าดูเลย

 

“ฉันน่ะเป็นมืออาชีพ ส่วนพวกนั้นเองก็เป็นชาวนาชาวไร่ พวกเราเข้าใจได้อยู่แล้ว พวกนาย! ได้ยินกันแล้วนะ!”

“““โอ้!”””

 

พวกเขาตอบรับคำสั่งของคุณเกเบิร์กด้วยเสียงดังพร้อมกับไฟแรง ก่อนจะเริ่มขยับตัวกันแล้ว

รั้วที่ผุพังนั่นก็ถูกถอนหายไปในพริบตาเลย

คุณเกเบิร์กก็มาตรวจสอบที่กำแพงกับป้ายร้านของบ้าน ฉันว่าเขาคงจะแยกกัน เพื่อให้งานดำเนินได้เร็วขึ้นหรือเปล่านะ?

 

“คือ มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ?”

“อา? ถ้าไม่ได้จะสั่งอะไรหน้างานเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรหรอกนะ”

“เหรอคะ? งั้น ฉันขอฝากด้วยนะคะ”

 

ฉันไว้ใจคุณเกเบิร์กอยู่แล้วล่ะ

ไม่ได้ตั้งใจจะไปรบกวนระหว่างที่เขาทำงานอยู่แล้วล่ะ แล้วยิ่งกว่านั้น ฉันก็ง่วงด้วย

ฉันกลับไปในห้องของตัวเองอย่างว่าง่าย เพลิดเพลินกับการได้นอนหลับอีกรอบนึงอยู่ซักพัก พอฉันตื่นขึ้นมาอีกทีนึง ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมาแบบเต็มที่เลย เกือบจะเที่ยงอยู่แล้วล่ะ

ฉันพยุงตัวเองขึ้นมาช้าๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นว่ารั้วหน้าบ้านเสร็จแล้วเรียบร้อย

 

“อุหวา สมแล้ว งานเร็วจริงๆ ด้วย… ด้านข้างนี่… อือ ยังไม่เสร็จสินะ”

 

พอฉันมองไปที่หน้าต่างทางด้านข้างบ้าน ก็เห็นกำแพงหินเริ่มก่อขึ้นมาทางฝั่งนั้นแล้ว

แค่ทำได้ขนาดนี้ ก็ผิดปกติมากแล้วล่ะ

 

“ทานมื้อกลางวัน… เลยดีมั้ยนะ?”

 

จะออกไปทานข้างนอกมันก็ลำบากไปหน่อย หลังจากที่ฉันทานเนื้อตากแห้งที่มีเก็บไว้เป็นมื้อเช้าควบกลางวันเสร็จ หลังจากร้อง ‘เอาล่ะ!’ ไปทีนึง ฉันก็เดินออกจากบ้านมา

 

“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากนะคะ คุณเกเบิร์ก งานไปได้สวยเลย”

“โอ้ แม่หนู นั่นสินะ พวกเราน่าจะตั้งเสาเสร็จได้ก่อนหมดวันนี้ ส่วนการติดแผงรั้วกับสร้างประตูรั้วก็ไว้จัดการพรุ่งนี้เช้า”

“เร็วจังเลยนะคะ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ”

“กำแพงเนี่ยซ่อมเสร็จแล้วเรียบร้อย ส่วนป้ายนี่ ช่วยรออีกซัก 2-3 วันนะ”

 

พอคุณเกเบิร์กบอกกับฉันแบบนั้น ฉันเลยมองกลับไปดูที่ตัวบ้าน ฉันก็ได้เห็นว่ารอยปูนแตกหลายๆ จุดถูกทาสีทับไปเรียบร้อยแล้ว

 

“―――อา จริงด้วย ฉันเข้าใจเรื่องป้ายร้านแล้วค่ะ ขอฝากด้วยนะคะ”

“วางใจได้เลย!”

 

พอฉันละออกมาจากคุณเกเบิร์กที่ยืนยันกับฉันอย่างหนักแน่น ฉันก็มองดูรอบๆ

ยังไงฉันก็ช่วยอะไรกับเรื่องรั้วไม่ได้อยู่แล้ว บางที ฉันลองยกระดับสวนหน้าบ้านให้เป็น [สวนที่ดูแลเป็นอย่างดี] ดีมั้ยนะ?

เพราะฉันเก็บสมุนไพรไปเรียบร้อยแล้ว งั้นก็มาตัดเล็มต้นไม้ ตัดหญ้า แล้วก็จัดแปลงดอกไม้แล้วกัน

ไหนๆ ก็มีร้านเป็นของตัวเองทั้งที ทำให้น่ารักๆ ก็ดีกว่าเนอะ?

ถ้าฉันปลูกสมุนไพรที่มีดอกสวยๆ ด้วย ก็ยิงเวทนัดเดียวได้นก 2 ตัวเลย

แต่ว่า พวกพันธุ์ที่ปลูกเพื่อใช้ดอกหรือใบคงจะไม่เหมาะกับปลูกในแปลงดอกไม้เท่าไหร่ ก็ต้องเป็นพันธุ์ที่ปลูกเพื่อใช้รากหรือเมล็ดหลังจากดอกโรยนี่แหละ

 

“เริ่มจากตัดเล็มต้นไม้ก่อนแล้วกัน”

 

ตัดส่วนที่งอกเกินออกมาเกินไปของต้นไม้… ด้วยเวทมนตร์นี่แหละ

ฉันซื้อเลื่อยมานะ แต่ด้วยส่วนสูงของฉันที่ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ การตัดเล็มต้นไม้สูงๆ ก็ค่อนข้างจะยากอยู่นิดหน่อย

ถึงการใช้เวทมนตร์จะทำงานละเอียดไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ต้องไปปีนต้นไม้หรือเตรียมหินมาเป็นแท่นเหยียบเลยนะ

ขนาดหญ้า ฉันยังใช้เวทมนตร์ตัดเอาเลย!

การควบคุมเวทมนตร์อย่างละเอียดอ่อนน่ะอาจจะยากสำหรับนักเวททั่วไปนะ แต่สำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุแล้วเนี่ยเป็นเรื่องง่ายๆ เลยล่ะ!

 

“ฮุฮุฮุ สะดวกจริงๆ เลยน้า เวทมนตร์เนี่ย”

 

ฉันทำงานของฉันต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ที่เห็นเวทมนตร์อันเลิศเลอ (?) ของฉันก็ตาโตกันใหญ่เลย

เอาเถอะ จะเลิศเลอหรือเปล่าก็ช่างเถอะ เรื่องที่มีคนอยู่แค่จำนวนจำกัดที่สามารถทำแบบนี้ได้ก็เป็นเรื่องจริงนะ เพราะการจะทำแบบนี้ให้ได้ต้องอาศัยการควบคุมอย่างมากเลยล่ะ

เพราะแบบนี้แหละ นักเล่นแร่แปรธาตุถึงได้เป็นพวกหัวกะทิ แล้วก็มีจำนวนน้อยน่ะ

 

“แปลงดอกไม้นี่… เอาไว้ตรงทางเดินเข้าบ้านหรือข้างกำแพงบ้านก็ใช้ได้อยู่นะ?”

 

พอเลือกตำแหน่งได้แล้ว ฉันก็ขุดดินขึ้นมา ก่อนจะเอาซุงผ่าซีกจากป่าข้างหลังมาใช้กั้นขอบเอาไว้

เรื่องนี้ ฉันถามจากคุณเกเบิร์ก แล้วก็ได้คำยืนยันแล้วว่าการตัดต้นไม้ตรงนี้สามารถทำได้ ไม่มีปัญหาอะไร

ตอนนั้นที่ฉันกลับมาพร้อมแบกซุงเอาไว้ที่หลังด้วย พวกผู้ชายที่มาช่วยก็จ้องกันด้วยท่าทางอึ้งๆ กันหมดเลย แต่นี่ก็เพราะฉันเสริมแกร่งร่างกายเอาไว้เองนะ?

ฉันไม่กล้ายืนกรานหรอก แต่ร่างกายฉันค่อนข้างจะอ่อนแอนะ โดยธรรมชาติน่ะ

 

“ดีล่ะ! เรียบร้อย~~!”

 

ต้นไม้ที่ตัดเล็มเสร็จ กับหญ้าที่ตัดจนเรียบร้อย อบอวลด้วยบรรยากาศแบบลูกทุ่งเลย―――กับแปลงดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกลูกทุ่งเพิ่มเข้าไปอีก

แบบนี้ก็เรียกว่าเป็น [สวนที่ดูแลเป็นอย่างดี] ได้แล้วล่ะมั้ง?

 

“ทีนี้ก็… จะปลูกอะไรไว้ในแปลงดอกไม้ดีนะ…?”

 

ฉันค่อยๆ นึกถึงสมุนไพรที่มีดอกสวยๆ จากบรรดาวัตถุดิบที่ฉันมีอยู่

ดอกของสมุนไพรทุกชนิดน่ะสวยอย่างไม่น่าเชื่อเลย แต่สิ่งเดียวที่ฉันมีอยู่ก็คือเมล็ดเอง

ทุกอย่างที่ฉันมีอยู่คือวัตถุดิบเล่นแร่แปรธาตุ สมุนไพรที่ใช้แต่ใบก็มีแค่ใบ สมุนไพรที่ใช้แต่รากก็มีแต่รากแห้ง ต่อให้เอาไปเพาะ มันก็ไม่มีทางแทงยอดออกมาได้

 

“ถ้าเวลาเหมาะสม ของที่มีอยู่ก็ใช้ได้เลยนั่นแหละนะ แต่…”

 

โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ เป็นเวลาเหมาะๆ สำหรับการหว่านเมล็ดเลย ถ้าเป็นสมุนไพรที่ปลูกเพื่อใช้เมล็ดล่ะก็ ฉันก็ปลูกมันเอาไว้ในแปลงดอกไม้จนกว่าดอกจะเฉาได้ เอามาใช้ประโยชน์เป็นไม้ประดับก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นะ

ถ้าเป็นสมุนไพรใช้ใบหรือดอกล่ะก็ ระหว่างทางมันก็จะเสียไปกลางคันน่ะสิ

หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ซักพัก ฉันก็ปลูกสมุนไพรที่จะมีดอกสีขาวเล็กๆ น่ารักๆ ไว้ที่ข้างๆ ทางเดินเข้าบ้าน แล้วก็สมุนไพรที่จะมีดอกสีน้ำเงินอมม่วงที่ใหญ่กว่าหน่อยที่หน้าบ้านเลย

 

“ฉันปลูกไม้เลื้อยไว้ตรงนี้ งั้นก็ต้องเตรียมไม้ค้ำเอาไว้ก่อนที่ต้นกล้าจะงอกแล้วสิ”

 

ทั้งคู่เป็นสมุนไพรที่คงทนแข็งแรงด้วย เพราะงั้น ฉันไม่คิดว่ามันจะไม่งอกหรอก

แค่จินตนาการภาพร้านของฉันมีดอกไม้รายล้อมอยู่ ฉันก็ยิ้มออกมาแล้วล่ะ