บทที่ 3 พ่อ

ลี่จุนถิงเพิ่งจะเดินจากไปได้ไม่นาน เจียงหยุนเอ๋อก็ลากกระเป๋ากลับมาที่ร้านกาแฟ

เมื่อเธอกลับมาถึงที่นั่ง เห็นถวนจื่อยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง แต่กลับเห็นบนโต๊ะมีนามบัตรเพิ่มขึ้นมาหนึ่งใบ

เธอจึงหยิบขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดด้วยความสงสัย

เห็นด้านบนเขียนเอาไว้ว่า ‘บริษัท เอ็กซ์ตรีมสปีดเทคโนโลยี จำกัด’ ส่วนด้านล่างก็มีชื่อคนคนหนึ่งเขียนแนบไว้อยู่: ลี่จุนถิง อีกทั้งยังมีช่องทางการติดต่อด้วย

เจียงหยุนเอ๋อจึงถามขึ้นว่า “นี่คืออะไร?”

ถวนจื่อจึงตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ก็นามบัตรยังไงล่ะ เมื่อกี้มีคุณลุงคนหนึ่งให้ผมไว้ ถ้าอีกหน่อยผมมีเวลาให้ผมไปเล่นกับเขา”

เจียงหยุนเอ๋อได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

ปีนี้ มีพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวเด็กจำนวนมาก ถวนจื่อของเธอก็น่ารักออกอย่างนี้ จะต้องอันตรายมากแน่ๆ

ยังดีที่วันนี้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่ออย่างนั้นเธอจะทำยังไง?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจียงหยุนเอ๋อก็นึกกลัวขึ้นมา จึงรีบแกล้งทำเป็นโกรธและมีสีหน้าขึงขัง แล้วพูดอบรมว่า: “เจียงซิ่งหวี! ไม่ใช่ว่าฉันเคยสอนเธอไปแล้วหรือว่าเวลาอยู่ข้างนอกห้ามพูดคุยกับคนแปลกหน้า? ซ้ำเธอยังรับนามบัตรไว้อีก? ตอนนี้ข้างนอกมีคนเลวเยอะแยะ เธอเองก็น่ารักออกอย่างนี้ ถ้าโดนลักพาตัวไปจะทำยังไง?”

ถวนจื่อได้ยินก็รีบบอกว่า: “เป็นไปไม่ได้หรอก หยุนเอ๋อ คุณลุงคนเมื่อกี้ไม่ใช่คนเลว อีกทั้งเขายังหล่อมากด้วย ผมโตมาจนป่านนี้ เขาเป็นคนที่หล่อที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา แม่อยากรู้จักสักหน่อยไหม? เพื่ออาจจะพัฒนาความสัมพันธ์จนได้เป็นพ่อผมคนต่อไป”

เด็กน้อยพูดพร้อมกับลุกขึ้น แต่กลับโดนมะเหงกไปหนึ่งที

“เจียงซิ่งหวี นี่เธอไม่เชื่อฟังใช่ไหม?” เจียงหยุนเอ๋อยกกำปั้นขึ้น จ้องไปที่ลูกชายแล้วจึงเอ่ยถาม

ถวนจื่อรีบยอมรับผิด แล้วพูดด้วยท่าทีน่าสงสาร “ผมผิดไปแล้ว หม่ามี้ ต่อไปผมไม่กล้าอีกแล้ว”

เมื่อเห็นเด็กน้อยยอมรับผิดอย่างว่าง่าย ถวนจื่อก็ไม่ได้คิดจะคาดคั้นให้ถึงตาย ท่าทีจึงเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยนในทันที: “ไม่กล้าก็ดีแล้ว หม่ามี้กลัวว่าหนูจะเกิดเรื่อง หนูเป็นแก้วตาดวงใจของหม่ามี้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม่จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร”

“ครับ ผมรู้แล้ว”

“รู้แล้วยิ่งดี ไปเถอะ พวกเราควรจะกลับกันได้แล้ว”

เมื่อว่ากล่าวอบรมกันเสร็จ เจียงหยุนเอ๋อก็เอานามบัตรใบนั้นโยนทิ้ง แล้วจูงมือของเด็กน้อยเดินออกจากสนามบิน

เดิมทีเจียงหยุนเอ๋อคิดเอาไว้ว่าจะเรียกรถแท็กซี่ด้วยตัวเอง เพื่อกลับไปยังตระกูลเจียง

จริงๆแล้ว เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง

ตอนที่เธอจากไปในตอนนั้น แม่ร้องไห้แล้วบอกให้เธอไปอยู่ไกลๆ ชาตินี้ไม่ต้องกลับมาอีก

แต่เธอทำไม่ได้

แม่ผู้ซึ่งเป็นคนเดียวบนโลกนี้ที่เป็นห่วงเธอกำลังป่วย เธอจึงต้องกลับมาดูแล

เมื่อสองแม่ลูกเดินออกมาถึงประตูทางออก ก็มีรถแท็กซี่ที่ว่างจอดอยู่ข้างๆพอดี เจียงหยุนเอ๋อลากกระเป๋ากำลังจะเดินเข้าไปหา

คิดไม่ถึงว่า มีเสียงที่ฟังดูคุ้นเคยเล็กน้อยดังมาจากทางด้านหลัง “เจียงหยุนเอ๋อ”

เจียงหยุนเอ๋อตกใจ หันกลับไปมอง แล้วจึงพบเข้ากับคนที่เธอไม่อยากเจอเลยในชีวิตนี้

เห็นแค่เพียงผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างๆรถเบนท์ลี่ สวมใส่เสื้อสูทสีเทาอ่อน มีรูปร่าง ร่างกาย ที่ดูผอมสูง จมูกโด่ง ส่วนใส่แว่นตากรอบทอง เมื่อยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ทำให้ดูอ่อนโยนและสง่างาม

ในใจของเจียงหยุนเอ๋อรู้สึกโกรธ แล้วจึงแสดงออกด้วยความเย็นชา

กู้ลั่วจิ่น!

เธอเองก็คิดไม่ถึงว่า จะต้องมาเจอกับผู้ชายคนนี้ที่นี่

ในตอนนั้น พ่อยังไม่ทันได้ถามความสมัครใจของเธอ ก็จัดงานหมั้นขึ้นโดยพลการ

จริงๆแล้วเธอไม่ได้ชอบผู้ชายคนนี้

และยังคงจำได้ว่าตอนที่เธอท้อง ก็คือผู้ชายคนนี้ที่ไม่แม้แต่จะเป็นห่วงความรู้สึก และประกาศถอนหมั้นต่อหน้าสาธารณชน เป็นเขา ที่ทำร้ายเธอทางอ้อม ทำให้เธอกลายเป็นเป้าสายตา และอับอาย

มาวันนี้ได้พบเขาอีกครั้ง ในใจของเธอยังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง อีกทั้งยังมีความรู้สึกไม่พอใจอยู่อย่างท่วมท้น

“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?”

เจียงหยุนเอ๋อถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา บนไปหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก

กู้ลั่วจิ่นขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เธอ บนคิ้วนั้นแสดงออกถึงอารมณ์ที่ซับซ้อน และยังแฝงไปด้วยความรู้สึกเย็นชา “ได้ยินว่าเธอกลับมาแล้ว พวกเราได้รับคำสั่งจากคุณอาเจียง ให้รับเธอ”

พวกเรา?

เจียงหยุนเอ๋อสามารถจับสังเกตได้ถึงคำสองคำนี้อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันจะได้คิดอย่างละเอียด ก็เห็นมีคนอีกหนึ่งคนก้าวลงมาจากรถเบนท์ลี่ทางด้านนั่งฝั่งข้างคนขับ

เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในชุดเดรสสีขาวที่ดูเรียบง่าย สวมใส่รองเท้าส้นสูง ส่วนประกอบหลักทั้งห้าบนใบหน้าดูสวยงาม มีแต่เพียงคิ้วที่แสดงออกให้เห็นถึงความหยิ่งยโสและความภาคภูมิใจในตัวเองที่ซ่อนอยู่

หลังจากเธอลงมา ก็เข้าไปคล้องแขนกู้ลั่วจิ่นอย่างใกล้ชิดสนิทสนม แล้วหันไปพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มกับเจียงหยุนเอ๋อว่า: “พี่หยุนเอ๋อ ไม่เจอกันนานเลยนะ”

เจียงหยุนเอ๋อตาเบิกโพลง และทำสายตาที่เย็นชายิ่งขึ้น

เจียงหนิงเอ๋อ!

น้องสาวต่างมารดาของเธอ

เมื่อประมาณเจ็ดปีที่แล้ว พ่อของเธอพากลับมาที่ตระกูลเจียง

เจียงหยุนเอ๋อไม่เคยคิดมาก่อนว่า พ่อของเธอที่คนภายนอกมองว่าเป็นผู้ชายที่ดีมาโดยตลอด กลับทรยศหักหลังแม่ของเธอ ซ้ำยังพาน้องสาวที่อายุห่างกับเธอไม่ถึงปีกลับมาด้วย

ตอนนั้น เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกตกใจไม่น้อย รู้สึกรับไม่ได้กับน้องสาวคนนี้

หลายปีมานี้ เจียงหยุนเอ๋ออยู่เมืองนอก ก็ได้ยินข่าวซุบซิบเกี่ยวกับตระกูลเจียงไม่น้อย

ว่ากันว่า พอเมียน้อยเข้าบ้านตระกูลเจียง แม่ของเธอซึ่งเป็นเมียหลวงก็ถูกทอดทิ้ง

ครั้งนี้ที่แม่ของเธอป่วยหนัก ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่น้อย

เจียงหยุนเอ๋อยิ่งแสดงออกถึงความรังเกียจ

เพิ่งกลับประเทศ ก็ต้องมาพบกับคนที่ไม่อยากพบถึงสองคน

และที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้ทั้งสองคนที่ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมใกล้ชิดกัน……

เจียงหยุนเอ๋อคิดดังนั้น ก็ยิ่งเข้าใจเหตุผลชัดเจนมากขึ้น จึงแสยะยิ้ม “อย่ามาทำตีสนิทมั่วซั่ว แม่ของฉันมีฉันเป็นลูกเพียงแค่คนเดียว เพราะฉะนั้นฉันไม่ได้มีน้องสาวแบบเธอ”

เธอใช่น้ำเสียงที่ดูถูกเยาะเย้ย

เจียงหนิงเอ๋อก็ไม่ทน รีบหัวเราะกลับทันทีแล้วพูดว่า: “ที่พูดมาก็ถูกนะ เพราะเท่าที่ฉันจำได้ เมื่อห้าปีก่อนเธอถูกไล่ออกจากตระกูลเจียงไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่คนของตระกูลเจียงอีกต่อไป ตอนนี้ฉันต่างหากที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจียง”

เจียงหยุนเอ๋อกำหมัดไว้แน่น ในใจรู้สึกไม่พอใจอย่างมากจนแทบจะทนไม่ได้ สีหน้าก็เริ่มที่จะไม่ค่อยดี “เหอะ คนเถื่อนก็กลายเป็นคุณหนูใหญ่ได้อย่างนั้นหรือ? ตระกูลเจียงไม่รู้จักเลือกเลยจริงๆ

“เธอ……” เจียงหนิงเอ๋อได้ยินคำว่า ‘คนเถื่อน’สองพยางค์นี้ ก็แสดงออกถึงความบึ้งตึงขึ้นมาทันที

แม่ของเธอเป็นเมียน้อย ส่วนเธอเองก็เป็นลูกสาวนอกสมรส เรื่องนี้เป็นเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มแทงจิตใจของเธอมาโดยตลอด

ถึงแม้เจียงหยุนเอ๋อจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลเจียง แต่ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงได้

เจียงหนิงเอ๋อรู้สึกโกรธจนหน้ามืด กู้ลั่วจิ่นรีบกุมมือของเธอไว้ทันที แล้วพูดเอาใจด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “หนิงเอ๋อ อย่าโกรธเพราะเรื่องนี้เลย เธอเป็นลูกสาวที่คุณอาเจียงพากลับมาอย่างเปิดเผย เธอเป็นคุณหนูของตระกูลเจียง ส่วนคนเถื่อน……”

เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วหันสายตาไปมองที่ถวนจื่อซึ่งยืนอยู่ข้างๆเจียงหยุนเอ๋อแล้วพูดอย่างเยาะเย้ยว่า: “เจียงหยุนเอ๋อในตอนนั้นที่เธอไปแอบมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นจนท้องโตขึ้นมา ซ้ำยังคลอดเด็กนี่ออกมาอีก เขาต่างหากที่เป็นคนเถื่อนของจริง”

พอเจียงหยุนเอ๋อได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ในตอนนั้นตอนที่เธออยู่ต่างประเทศ เธอต้องพบกับความลำบากอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะถวนจื่อคอยสนับสนุนเธอ เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร

สำหรับเธอแล้ว ถวนจื่อคือสมบัติที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ไม่ใช่คนเถื่อน

เจียงหยุนเอ๋อขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กำลังจะพูดประชดเพื่อตอบโต้กลับ แต่เจียงหนิงเอ๋อก็พูดต่อขึ้นมาเสียก่อนว่า: “เจียงหยุนเอ๋อในตอนนั้น เธอทำให้ตระกูลเจียงต้องอับอายขายหน้าอย่างมาก ตอนนี้ยังจะพาคนเถื่อนนี่กลับมาด้วยอีก คุณพ่อต้องไม่ให้เธอก้าวเข้าไปในตระกูลเจียงแม้แต่เพียงครึ่งก้าวอย่างแน่นอน”

เจียงหยุนเอ๋อได้ยินก็รู้สึกเสียใจและเหมือนโดนดูถูกเป็นอย่างมาก

ห้าปีก่อน พ่อของเธอเป็นคนไล่เธอออกจากตระกูลเจียงด้วยตัวเอง เกรงว่าคงจะไม่ได้คิดให้เธอกลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้ว

ตอนนี้พวกเขาก็มาทำวางท่าอยู่ที่นี่เช่นนี้

“จะได้เข้าหรือไม่ได้เข้าตระกูลเจียง ฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกขาดอะไร แต่เป็นพวกเธอสองแม่ลูกต่างหาก ที่พยายามแทบตาย ซ้ำยังได้เข้าไปอยู่ในตระกูลเจียงแล้ว แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่ได้ถูกยกย่องตามกฎหมายเลยไม่ใช่หรือ?”

ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ กู้ลั่วจิ่นก็ชักสีหน้าทันที และพูดด้วยความโกรธว่า: “เจียงหยุนเอ๋ออย่าให้มันมากไปนะ! หนิงเอ๋ออุตส่าห์มารับเธอด้วยความหวังดี แต่เธอกลับเอาความหวังดีของเขามาคิดในแง่ร้าย ไม่เจอกันห้าปี ไม่คิดเลยว่าเธอจะหยาบคายขึ้นมากอย่างนี้”

เจียงหยุนเอ๋อหัวเราะเยาะ “ทำไม? รู้สึกอายจนโกรธเลยหรือ? แต่สิ่งที่ฉันพูดล้วนแล้วแต่เป็นความจริง เขา…… เจียงหนิงเอ๋อ ในสายตาของฉันแล้วก็เป็นเพียงแค่คนเถื่อน คุณสู่ขอเธอ คิดว่าจะไปได้ถึงระดับไหนกันเชียว?”

“หยุนเอ๋อ พูดได้ดี”

ตอนนี้เอง ถวนจื่อที่นั่งอยู่บนกระเป๋าเดินทาง ตบมือของเจียงหยุนเอ๋อเพื่อแสดงความชื่นชม ลูกตาที่ดำขลับเป็นประกายแวววาวคู่นั้น มองกู้ลั่วจิ่นและเจียงหนิงเอ๋อด้วยความดูถูก “นี่ลุงกับป้า ผมจะบอกให้นะว่า ใครบอกพวกคุณว่าผมเป็นคนเถื่อน ผมเป็นเด็กมีพ่อนะ”

ลุง?

ป้า?

เมื่อได้ยินคำเรียกเช่นนี้ เจียงหนิงเอ๋อกับกู้ลั่วจิ่น ก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก

ยิ่งเจียงหนิงเอ๋อแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างร้ายกาจ: “พ่อหรือ? ในตอนนั้นที่แม่ของเธอตั้งท้องเธอ แม้แต่เป็นลูกของใครก็ยังไม่รู้เลย แล้วเธอจะไปหาพ่อมาจากไหนกัน?”

ถวนจื่อยืนขึ้น แล้วพูดด้วยเสียงแบบเด็กๆว่า: “ไม่เชื่อหรือ? ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมจะไปพาพ่อของผมมาพบกับพวกคุณเอาไหมล่ะ?”

“ดี เธอไปหามาสิ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่า เธอจะไปหาพ่อมาจากไหน” เจียงหนิงเอ๋อพูดพลางก็หัวเราะเยาะไปพลาง

เจียงหยุนเอ๋อกำลังบ่นอยู่ในใจ อยากที่จะดุถวนจื่อว่าอย่าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้

จริงๆแล้วเขาเป็นเด็กไม่มีพ่อ เขาพูดออกไปแบบนี้ แล้วเธอจะไปหาพ่อจากไหนมาให้เขา?

แต่กลายเป็นว่า เห็นถวนจื่อรีบปีนลงจากกระเป๋าเดินทาง แล้วเดินฮัมเพลงมุ่งหน้าไปที่รถเบนท์ลี่สีดำที่จอดอยู่ไม่ไกล……

ตอนนี้ ลี่จุนถิงที่อยู่ในชุดสูทสีดำ กำลังยืนอยู่ข้างๆรถ ด้วยท่าทีที่ยืนตรงและดูเคร่งขรึม แสดงให้เห็นว่าเพิ่งจะเดินออกมาจากสนามบินได้ไม่นาน

คนขับรถวิ่งมาเพื่อที่จะเปิดประตูรถให้เขา เขากำลังจะก้าวขึ้นรถ ก็ได้ยินเสียงเรียกอันอ่อนหวานดังเข้ามาในหู “คุณพ่อ!”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย

ลี่จุนถิงจึงหันกลับไปมอง ก็เห็นว่ามีร่างเล็กๆกำลังวิ่งเข้ามาหา แล้วกอดที่ขาของเขาไว้

คนที่วิ่งมาก็คือถวนจื่อนั่นเอง

จริงๆแล้วตอนที่ลี่จุนถิงเพิ่งจะออกมาจากสนามบิน เขาก็มองเห็นแล้ว

ตอนนั้นเป็นเพราะความเฉลียวฉลาด จึงคิดวิธีนี้ออกมาได้

ตอนนี้กำลังขยิบดวงตากลมโตคู่นั้น แล้วมองเขาด้วยความไร้เดียงสา