***

“เฮ้อออ…”

<เครียดเรื่องอะไรอยู่>

เมื่ออาเซียนั่งพิงขอบหน้าต่างพร้อมกุมหัว พีบีจึงพองตัวแล้วโผล่ออกมาจากในกระดุมราวกับดอกไม้บาน

อาเซียใช้นิ้วชี้ลูบหน้าผากของเจ้านกเหลืองตัวจิ๋วพร้อมทั้งทำสีหน้าเหนื่อยล้านิดหน่อย

“มองไม่เป็นหนทางเลยนะว่าจากนี้ไปจะต้องทำยังไง…”

ท่าทีเย็นชาของอเล็กเซย์เป็นเหมือนกับกำแพงเหล็ก เธอพบเจอกับมันตลอดทั้งเช้าวันนี้จึงยิ่งแน่ใจมากขึ้น

“ฉันไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมฝ่าบาทถึงรับสั่งให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อ”

ทว่าต่อให้ไม่รู้จุดประสงค์ หากเธอมีแผนการ อย่างน้อยก็อาจจะขัดคำรับสั่งของพระจักรรพรรดิแล้วหลบหนีกลับบ้านไปได้

ปัญหาคือเธอไม่รู้กระทั่งว่าบ้านของเธออยู่ที่ไหน เธอลองถามลิสแล้วก็จริง แต่ฝ่ายนั้นก็ดูท่าจะไม่รู้เหมือนกัน

ฉันรู้แค่ชื่อหมู่บ้านใกล้ๆ นี้ไม่กี่ที่… จำที่อยู่ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซะก็ดีหรอก

เธอไม่เคยแม้แต่จะคิด ว่าจะได้มาที่พระราชวังราวกับถูกลักพาตัวด้วยวิธีแบบนี้

ฉันจะไปรู้ไหมล่ะว่าตัวเองเป็นองค์หญิงอนาสตาเซีย!

อาเซียถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอากล่องเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ใต้เตียงออกมา

มันเป็นกล่องที่บรรจุกระดุมอัญมณีสองสามเม็ดสำหรับเอาไว้ติดเสื้อผ้า ซึ่งอาเซียเก็บรวมรวมมันตั้งแต่ตอนที่เธอคิดจะ ‘หลบหนีออกจากวัง’

จะมีวันไหนที่เจ้านี่มีประโยชน์ไหมนะ ทำไมถึงให้ฉันอยู่ต่อกันแน่

<ถามว่าทำไมถึงให้เจ้าอยู่ต่องั้นเหรอ ทั้งหมดเป็นเพราะยอมรับในความยิ่งใหญ่ของตัวข้าผู้นี้แล้วน่ะสิ เจ้าเคยบอกว่าผู้ที่ทำพันธสัญญากับมหาดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่จะได้อยู่ต่อไม่ใช่หรือไง!>

อาเซียจ้องมองเจ้าลูกเจี๊ยบสีเหลืองเข้มซึ่งตัวเล็กกว่ากำปั้นเด็กแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด

หากเธอเออออไปกับหัวข้อเรื่องที่เจ้าลูกเจี๊ยบเหลืองปลื้มปิติขนาดนั้น มันจะไม่จบลงง่ายๆ แน่

“ลูกพี่ลูกน้องฉันดูเหมือนจะไม่ชอบฉันมาก ฉันเลยกังวลเรื่องนั้นนิดหน่อย”

ถึงจะ…เข้าใจเรื่องนั้นก็เถอะ…

คุณแม่เสียชีวิตตอนที่เขาเกิดมา ส่วนคุณพ่อเสียชีวิตตอนที่เขายังเด็ก แล้วอเล็กเซย์ก็มาอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้คนเดียว

สำหรับอเล็กเซย์ผู้ครอบครองตำแหน่งรัชทายาทไปพร้อมๆ กับต้องเผชิญหน้ากับคุณปู่ผู้เย็นชาคนนั้น สิ่งสำคัญก็น่าจะมีแค่ตำแหน่งรัชทายาทเพียงอย่างเดียว

แต่แล้วจู่ๆ ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งก็ได้อยู่ที่พระราชวังต่อไปหลังเสร็จสิ้นพิธีเรียกดวงวิญญาณ พระจักรพรรดิผู้ไม่เคยสนใจในสิ่งอื่นรับสั่งด้วยตัวเองว่าให้อยู่ต่ออีกด้วย

ตอนนี้อเล็กเซย์จะกระวนกระวายใจแค่ไหนกัน

ฉันไม่ได้อยู่ต่อเพราะอยากอยู่ด้วยนะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…

<ลูกพี่ลูกน้องเหรอ หมายถึงหลานชายคนโตของเจ้าของที่ดินน่ะเหรอ>

“อื้อ ว่าแต่พีบี ทำไมถึงเรียกฝ่าบาทว่าเจ้าของที่ดินล่ะ”

คำถามของอาเซียทำให้พีบีร้องจิ๊บๆ อย่างเฉยชา

<จะทำไมซะอีกล่ะ ก็เพราะเขาถือครองแผ่นดินกว้างใหญ่นี้ แล้วก็ปล่อยเช่าทำไร่นาน่ะสิ>

“…!”

พระจักรพรรดิสั่งการพวกชนชั้นสูงกับผู้มีอิทธิพลทางการเมือง แล้วบริหารจัดการแผ่นดินกว้างใหญ่แห่งนี้ เพราะฉะนั้นถ้ามองกว้างๆ ก็เหมือนกับการปล่อยเช่านั่นแหละ

ในขณะที่อาเซียอดกลั้นไม่ให้อุทานออกมากับคำศัพท์ตามทฤษฎีของพีบี พีบีก็กำลังคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับ ‘หลานชายคนโตของเจ้าของที่ดิน’

<ดูท่าเขาคงคิดว่าเจ้าจะสืบทอดมรดกของเจ้าของที่ดินน่ะสิ>

“ฉันไม่สนใจจริงๆ นะ…”

เธอตั้งใจจะหนีไปจากวังก็จริง แต่เธอก็อยากจะมีความสัมพันธ์อันดีจนกว่าจะหนีไป แม้ว่าจะมองไม่เห็นวี่แววเลยก็ตาม

<อืม แต่หลานชายคนโตคนนั้นไม่ชอบเจ้าแน่เหรอ>

“ไม่เห็นเหรอว่าเขาจ้องมาอย่างเย็นชาสุดๆ เลยนะ”

<ไม่รู้สิ ถ้ามีคนที่ไม่ชอบเจ้าจริงๆ ก็น่าจะเป็นเจ้าเด็กอวดดีคนเมื่อวานมากกว่า ข้าน่าจะลงโทษเจ้าเด็กอวดดีคนนั้น>

“นั่นมันก็ใช่…”

อาเซียนึกถึงมวลบรรยากาศที่เห็นรางๆ รอบตัวของอเล็กเซย์ มันสงบนิ่งและและมีสีน้ำเงินอ่อนราวกับหมอกบางๆ

ถามว่าหลานชายคนโตของเจ้าของที่ดินไม่ชอบฉันจริงๆ ไหมน่ะเหรอ แน่นอนว่าฉันต้องคิดแบบนั้นอยู่แล้ว…

จากนั้น เมื่อนึกถึงดิมิทรีขึ้นมาอย่างไม่จำเป็น อาเซียก็บ่นงึมงำด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่แล้วก็ลุกพรวดขึ้นจากที่เพราะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน

“อย่างนั้นสินะ!”

<อะ อะไรเล่า!>

“อย่างนั้นสินะ คนที่ไม่ชอบฉันก็ต้องเป็นดิมิทรีสิ!”

แล้วก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่เธอได้รับการยอมรับจากดิมิทรีแล้วด้วย

ไม่ว่าพีบีจะเข้าใจหรือไม่ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร แต่ดวงตาของอาเซียก็ส่องประกายวาววับ

***

อาเซียยืนเอาหน้าผากพิงหน้าประตูห้องครัวที่เดินมาถึงพร้อมกับครุ่นคิด จนวิ่งมาถึงนี่แบบไม่ได้คิดทบทวนอะไรมันก็ดีอยู่หรอก แต่พอมาอยู่ตรงหน้าห้องครัวเข้าจริงๆ เธอกลับกังวลขึ้นมาทีหลังว่าทำแบบนี้แล้วจะไม่เป็นไรจริงหรือเปล่า

ในตอนนั้นเอง หมับ ใครบางคนก็คว้าคอเสื้อของเธอแล้วจับหันไป

“ยัยเด็กจิ๋ว เมื่อวันก่อนหนีไปได้เก่งดีนี่!”

“พา พาเวลล์!”

หัวหน้าคนครัว พาเวลล์ กำลังเขม้นมองเธอโดยที่เบิกตากว้างและทอประกายกร้าว

อาเซียสูดหายใจเข้าแล้วรีบโบกมือ

“ปะ เปล่านะ ฉันไม่ได้หนีไป ตอนนั้นมีเรื่องด่วนก็เลย…”

“เด็กตัวกะเปี๊ยกเดียวแบบนี้มีเรื่องด่วนอะไรกันล่ะ หาาา?”

“แต่ตอนนั้นปัญหาเรื่องเค้กก็คลี่คลาย…”

“ไม่ต้องมาพูดเลย เธอถึงกับไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทมาเลยนี่ ฝ่าบาทน่ะ!”

พาเวลล์พูดขู่ราวกับจะบอกให้เธอกลัว แต่อาเซียกลับเอียงหัวให้กับปัญหาคนละเรื่องกัน

“หือ…? รู้ได้ยังไงว่าฝ่าบาทเสวยเค้กน่ะ”

“รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ ฉันหาเค้กถ้วยนั้นแทบตาย แล้วมหาดเล็กก็บอกให้รู้น่ะสิ”

“บอกว่าอะไรล่ะ”

“ก็บอกว่านำขึ้นถวายฝ่าบาท”

“หลังจากนั้นล่ะ ไม่ได้ยินเรื่องอื่นอีกเหรอ”

“มัวแต่ทุบเจ้านั่นอยู่ก็เลยวุ่นจนไม่ได้ฟังน่ะ”

“…”

อาเซียกลืนน้ำลาย

ดูๆ แล้ว พาเวลล์ก็มีท่าทีเหมือนจะไม่ได้ยินเรื่องที่ว่าเธอคือองค์หญิงจริงๆ ทั้งที่ได้ยินเรื่องอื่นหมดเลยแท้ๆ

เพราะอย่างนั้นถึงได้คว้าคอเสื้อทันทีที่เห็นกันสินะ

“เจ้ามหาดเล็กนั่นก็ด้วย เอาของว่างไปถวายฝ่าบาทโดยไม่บอกฉันสักคำได้ยังไง!”

“ตีเขาจริงๆ เหรอ”

“…คิดว่าทำจริงหรือไงเล่า ยัยเด็กจิ๋ว”

พาเวลล์ตอบอย่างเคอะเขินพร้อมกับปล่อยอาเซียลง อาเซียเอียงหัวอย่างระมัดะวัง

“ไม่เห็นที่ฉันทิ้งโน้ตไว้เหรอ”

“โน้ตอะไร”

ดูเหมือนว่าโน้ตคงถูกลมพัดปลิวหายไปแล้ว อาเซียส่ายหน้า

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เขียนไว้ว่าฝ่าบาทเสวยเค้กอย่างเอร็ดอร่อยดี ไม่จำเป็นต้องกังวล ไม่เห็นสินะ”

“อะไรกัน ยัยหนู รู้อยู่แล้วนี่”

พาเวลล์ดูเคอะเขินยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็พูดรวดเดียวโดยไม่เว้นจังหวะให้อาเซียได้พูดอะไร

“ก็ตามนั้นแหละ… เพราะฉะนั้นถ้าฝ่าบาทมีรับสั่งว่าอยากเสวย เธอก็มาทำด้วยล่ะ”

“ฉันเหรอ”

พาเวลล์ยักไหล่ด้วยท่าทีเหมือนบอกว่าเธอได้รับงานหนักแล้ว แต่เพราะเขานึกว่าอาเซียเป็นพวกเด็กรับใช้ เขาจึงคิดว่านั่นเป็นการมอบบุญคุณครั้งยิ่งใหญ่ให้เธอ

เด็กรับใช้ผู้ต่ำต้อยได้โอกาสในการทำอาหารถวายฝ่าบาทด้วยตัวเองเชียวนะ!

“แน่นอนว่าภายใต้การควบคุมของฉัน แล้วยังไงซะ ฝ่าบาทก็เสวยอาหารว่างที่นี่แค่ประมาณสองเดือนครั้ง”

ทว่าสำหรับอาเซีย นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ดวงตาของเธอเป็นประกาย จะมีข้ออ้างไหนดีไปกว่านี้อีก!

“ถ้างั้นให้ฉันใช้ครัวด้วยสิ ฉันต้องฝึกนะ!”

เธอเครียดอยู่เลยว่าถ้าใช้ครัวที่นี่ไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร คำพูดของอาเซียทำให้พาเวลล์ขมวดคิ้ว

“ได้ แต่เธอต้องตั้งชื่อเค้กใหม่นะ”

“พาเวลล์ช็อกโกล่าไม่ดีเหรอ”

“คิดว่าดีไหมล่ะ!”

“ถ้างั้นก็… เอาเป็นเค้กช็อกโกแลตของอาเซีย”

วิธีการพูดของอาเซียซึ่งฟังอย่างไรก็เป็นการตั้งชื่อแบบไม่คิดเลยสักนิด ทำให้พาเวลล์ถอนหายใจยาวออกมา

“อาเซียคืออะไรอีก”

อาเซียยิ้มด้วยสีหน้าหยอกเย้า คุยไปถึงไหนกันแล้ว พาเวลล์ยังไม่รู้อีกอย่างนั้นเหรอ

“ถามเพราะไม่รู้จริงๆ เหรอลุง”

“อะไร”

“ชื่อของฉันคืออาเซียไง ไม่รู้เหรอ”

“…งั้น…เหรอ”

“อื้อ ใช่ น่าตกใจจริงๆ ฉันชื่ออาเซียมาประมาณสิบปีได้ เพราะตอนที่เกิดมาครั้งแรกบนโลกนี้ก็ประมาณนั้น”

“…เดี๋ยวสิ เธอไม่ได้บอกนี่ยัยหนู ฉันก็ต้องไม่รู้อยู่แล้ว”

“ไม่ใช่ว่าไม่รู้เพราะเรียกคนอื่นเขาว่ายัยหนูๆ ไม่ได้เรียกชื่อเขาเหรอ”

“…”

พาเวลล์เม้มปากพลางหลบตา อาเซียระเบิดเสียงหัวเราะก๊ากๆ แล้วพูดอย่างจริงจัง

“ถ้างั้นวันนี้ก็จะใช้ครัวนะ!”

***

“จะว่าไปแล้ว ยัยเด็กจิ๋ว เธอบอกว่าจะไม่มาที่ครัวของฉันอีกเป็นครั้งที่สองไม่ใช่เหรอ”

“คนเราไม่รู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรอกนะ เหมือนที่ลุงบอกว่าไม่อบขนมแต่ก็ยังชวนให้ฉันทำขนมตามสูตรของฉันอีกรอบนั่นแหละ”

“…เป็นเด็กเป็นเล็ก เถียงคำไม่ตกฟาก”

“ลุงก็เถียงชนะเด็กเล็กไม่ได้เลยสักคำเดียวนี่ค้า”

พาเวลล์กระแอมหนักๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย

“ละ แล้วยังไง! บอกว่าจะฝึกนี่!”

“อ้อ! ต้องฝึกสิ ช็อกโกแลตที่ใช้เมื่อวานยังเหลืออยู่ใช่ไหม”

ทว่าคราวนี้ พาเวลล์ไม่สามารถตอบกลับอย่างมั่นใจได้

“…เอ่อ อืม”

อาเซียถกแขนเสื้อแล้วหันหลังไปพลางถามขึ้น แต่พาเวลล์กัดริมฝีปากเบาๆ อาเซียเอียงหัว

“พาเวลล์?”

“นั่นน่ะ ตามที่เล่าให้ฟังเมื่อวาน ไอ้ที่เรียกว่าช็อกโกแลต ถึงได้รับมาเพราะมีคนจะทูลถวายให้ฝ่าบาทแต่ก็ยังไม่มีเรื่องให้ได้ใช้ ก็เลยปล่อยมันไว้”

“ก็นั่นแหละ ก็เลยมีเยอะไม่ใช่เหรอ”

แค่ที่เห็นเมื่อวานก็มีอันเท่าท่อนแขนผู้ใหญ่อยู่กองหนึ่งแล้ว ที่เธอเอามาใช้จากในกองนั้นก็ไม่ได้เยอะเท่าไรเลย

“ยัยหนู… ดูเหมือนว่าถ้าทำตามสูตรเค้กของเธอก็น่าจะใช้มันได้ ฉันปวดหัวกับมันมามากจนถึงตอนนี้ เพราะงั้นเมื่อคืนก็เลยทำนู่นนี่…”

“ทำนู่นนี่?”

“อย่าพูดแทรกสิ!”

“ไม่ให้แทรกเหรอ”

“โอ๊ย ให้ตายเถอะ! ฉันใช้ไปหมดแล้ว! ฉันลองทำนู่นทำนี่หลายๆ แบบ…”

“งั้นเหรอ ห้องครัวลุงนี่ ลุงทำตามใจชอบได้อยู่แล้ว ไม่มีก็ไม่เป็นไร”

“ธะ…เธอนี่มันจริงๆ เลย”

พาเวลล์ตัวสั่นงึก

เป็นคุณลุงที่ตลกดีจริงๆ

ที่นี่ยังไม่มีการผลิตช็อกโกแลตขึ้นมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะอย่างนั้นก็น่าจะรู้สึกแปลกใหม่กับสูตรที่เธอทำให้ดูเมื่อวานนั่นแหละ แต่ใจจดใจจ่อถึงขนาดใช้มันหมดในชั่วข้ามคืนเลยเหรอ

เมื่อเหลือบมองดู กระสอบน้ำตาลก็เป็นกระสอบใหม่ หมายความว่าที่เธอเห็นเมื่อวานถูกใช้หมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถ้างั้นก็น่าจะหวานติดปากสุดๆ ไปเลยนะ

<งั้นคราวนี้จะทำเป็นของเค็มเหรอ>

เครื่องประดับรูปใบไม้ใบหนึ่งที่อยู่ตรงปกเสื้อของเธอ เปลี่ยนรูปร่างเป็นนกอย่างไม่ทันตั้งตัว พีบีนั่นเอง