บทที่ 14 วังปีศาจมีความแค้นเคือง

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

หยวนหมิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก “แม่นาง วิธีการที่เจ้าคิดนี้มันโหดเหี้ยมจริงๆ แต่ข้าก็ชอบ ฮ่าๆๆๆ” 

“ดีแล้วที่เจ้าชอบ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย นางละสายตา แล้วเดินกลับไปที่จวนของตนเอง 

หยวนหมิงลูบคาง “หากพวกนางรู้ว่านอกจากเจ้าจะไม่ได้โดนไล่ออกมาแล้ว แต่เจ้ายังได้รับเงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึงอีก ไม่รู้ว่าหญิงโง่ทั้งสองคนนั่นจะมีสีหน้าเช่นไร” 

“นั่นสิ ใครจะรู้…” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลียริมฝีปากบางของตนเอง ดูราวกับเป็นปีศาจกระหายเลือด 

หยวนหมิงหัวเราะ ฮ่าๆ เขาตั้งหน้าตั้งตารอเลยล่ะ… อยากจะเห็นวันนั้นจริงๆ… 

 

“ใต้เท้าเฮ่อเหลียน นี่คือคุณหนูใหญ่ของตระกูลท่านหรือ” ชายคนที่พูดนั้นวางมาดและนั่งอยู่ข้างๆ เฮ่อเหลียนกวงเย่า ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากชายที่เพิ่งออกจากการกักตน หนานกงเลี่ยนั่นเอง เขาหมุนถ้วยชาหยกขาวในมือเบาๆ และครุ่นคิดบางอย่างด้วยแววตาขี้เล่น 

อย่างไรก็ตาม เฮ่อเหลียนกวงเย่าที่กำลังร้อนใจอยู่นั้นไม่ทันได้สังเกตเห็น เขาคิดว่าสาเหตุที่หนานกงเลี่ยมาหาเขาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อมาเอาเรื่องนาง เขาจึงถามด้วยความเคารพ “ท่านมหาปุโรหิตเชิญหัวเราะเยาะพวกเราได้เลยขอรับ ลูกสาวของข้าเป็นคนหยาบคายและไร้มารยาท ทั้งยังทำให้องค์ชายสามขุ่นเคืองใจอีกด้วย ตามความคิดของข้านางสมควรถูกจับเข้าคุกเพื่อลงโทษทางวินัยขอรับ” 

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ดวงตาหงส์ที่เรียวยาวและเป็นประกายของหนานกงเลี่ยก็ยิ้มอย่างเย้ยหยัน ทุกคนต่างก็บอกว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าผู้นี้มีเมตตาต่อผู้อื่น และเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นหายาก แต่เขาไม่เคยเห็นใครผลักลูกสาวของตนเองเข้าไปในกองเพลิงเพื่อปกป้องตัวเองเช่นนี้เลย 

อืม ดูเหมือนว่าข่าวลือเหล่านั้นจะเชื่อถือไม่ได้จริงๆ 

หนานกงเลี่ยสะบัดแขนเสื้อ แล้ววางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะตอบกลับ “ใต้เท้าเฮ่อเหลียนคิดมากไปแล้ว ฝ่าบาทไม่ได้กล่าวตำหนิคุณหนูเฮ่อเหลียนเลย” กล่าวตำหนิเช่นนั้นหรือ ผู้ชายคนนั้นหาทางแก้แค้นแม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่คับข้องใจมาโดยตลอดต่างหาก “ข้าเพิ่งได้ยินคุณหนูเฮ่อเหลียนอีกสองคนพูดคุยกันถึงสำนักไท่ไป๋ เกิดอะไรขึ้นหรือ คุณหนูเฮ่อเหลียนก็กำลังเตรียมตัวเข้าเรียนที่นั่นด้วยหรือ”ถ้าอย่างนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เขาจำได้ว่าอาเจวี๋ยเองก็ตกลงที่จะกลับไปเรียนในสำนักนั้นแล้วด้วย หากถึงเวลานั้น หึ… 

เฮ่อเหลียนกวงเย่าไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ หนานกงเลี่ยถึงยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงสำนักไท่ไป๋ เขาก็เข้าใจผิดว่าคนที่หนานกงเลี่ยพูดถึงนั้นคือเฮ่อเหลียนเหมย ลูกสาวที่เขารัก เขาจึงแกล้งทำเป็นถ่อมตัว และลูบเคราของตนเองอย่างแผ่วเบา แต่ก็ปิดบังความโอ้อวดในคำพูดเอาไว้ได้ไม่มิด “ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ท่านมหาปุโรหิตก็เคยได้ยินเรื่องนี้ด้วย ลูกสาวของข้าไม่ได้มีความสามารถอะไร แต่เหล่าสหายในเมืองหลวงของข้ากลับกระจายข่าวนี้ไปทั่ว ช่างน่าอับอายยิ่งนัก น่าอับอายจริงๆ เฮ้อ” 

เมื่อหนานกงเลี่ยได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม หนานกงเลี่ยก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม เขาเพียงแค่ยิ้มและถือถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง มุมปากของเขายกขึ้นช้าๆ จะเข้าใจผิดอย่างไรก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือการเกลี้ยกล่อม ‘ลูกแมวน้อย’ ของอาเจวี๋ยต่างหาก เขาจำเป็นต้องรู้ว่านางอาศัยอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ แน่นอนว่าดาววิหคแดงกำลังเคลื่อนที่ อย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องการเพียงใดก็ตาม อืม เรื่องราวต่างๆ เริ่มน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว… 

 

อีกด้านหนึ่ง ณ สวนที่ถูกทิ้งร้าง เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังมองจดหมายตอบกลับที่สำนักไท่ไป๋ส่งมาให้นางอย่างรวดเร็วหลังจากที่จ่ายเงินค่าเล่าเรียนไปแล้ว คิ้วของนางเลิกขึ้น 

“ประกาศเข้ารับการศึกษาเช่นนั้นหรือ”  

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน 

“ขอแสดงความยินดี ท่านมีสิทธิ์เข้าเรียนในสำนักไท่ไป๋ ศิษย์ทั้งหลายที่ได้รับจดหมายนี้จะต้องเตรียมอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ ชุดคลุมสีขาว หมวกนักปราชญ์ที่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิ เสื้อคลุมขนสัตว์ที่ทำจากขนสุนัขจิ้งจอกเงิน รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ ในการเรียน อาทิ จานฝนหมึก และพู่กัน…” 

มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก “นี่มันเป็นประกาศเข้ารับการศึกษาประเภทใดกัน มันเป็นเพียงการกรรโชกทรัพย์อีกครั้งชัดๆ ทั้งยังบังคับให้ต้องซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียนเองอีกด้วย” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าตนเองควรจะร้องไห้หรือหัวเราะให้กับการหวนคืนสู่ ‘ชีวิตการเรียน’ นี้ดี 

“สำนักไป่ไท๋… ช่างเป็นชื่อที่ชวนให้รำลึกถึงอดีตจริงๆ” หยวนหมิงถอนหายใจอยู่ข้างๆ พร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกว่า ‘ข้ามีเรื่องจะเล่า รีบถามข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้สิ’ 

เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดสินใจจะไว้หน้าเขา ก่อนจะยิ้มให้ “เจ้าก็รู้จักสำนักไท่ไป๋เหมือนกันหรือ” 

“ข้าต้องรู้จักแน่นอน” น้ำเสียงอันเย่อหยิ่งของหยวนหมิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “นึกย้อนกลับไปในตอนนั้น ข้าคนนี้ก็เอาชนะศิษย์ร่วมสำนักมาได้หลายคนเลยล่ะ” 

เฮ่อเหลียนเวยเวย “…” 

ฮ่าๆ อ้อ มันช่างเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเสียจริง… น่าสนใจกับผีน่ะสิ 

นางต้องคิดให้รอบคอบว่าควรจะพาหยวนหมิงไปที่นั่นด้วยหรือไม่ นางกลัวว่าจะมีใครทนไม่ไหว จนเผลอฆ่าหยวนหมิงตายได้ 

“หากเจ้าไปที่สำนักไท่ไป๋ ก็อย่าลืมเข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณของที่นั่นด้วยล่ะ หน่วยคุ้มกันนั้นยอดเยี่ยมมาก” หยวนหมิงโน้มน้าวเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างจริงจัง 

นางไม่ค่อยเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจ “หืม ยอดเยี่ยมอย่างไรหรือ” 

“อาหารอร่อยมาก” หยวนหมิงเลียริมฝีปาก “ข้าเคยไปที่นั่นอยู่บ่อยๆ” 

เฮ่อเหลียนเวยเวย “…” 

นางเสียสติไปแล้วที่คิดว่าเขาจะจริงจัง 

“อีกอย่าง ข้าจำได้ว่าศิษย์คนใดที่เข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณ จะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนได้” หยวนหมิงจับคาง ดวงตาของเขาหรี่ลงในขณะที่กำลังระลึกความทรงจำ… 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาในทันที “ฟังดูเหมือนเป็นหน่วยคุ้มกันที่ยอดเยี่ยมจริงๆ พวกเราควรจะไปเข้าร่วมด้วย” 

หยวนหมิงเบะปาก “อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการเข้าร่วมเพื่อจะได้เรียนฟรีน่ะ” 

“เทียบกับเจ้าที่เอาแต่สนใจอาหารของพวกเขาแล้ว ความต้องการของข้านั้นก็ดูจะมีค่ากว่ามาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบสตรอเบอร์รี่ใส่ปากของตนอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเอ่ยถาม “มันเป็นหน่วยคุ้มกันแบบใดกันหรือ ข้าควรจะทำความเข้าใจกับมันก่อน” 

หยวนหมิงเลิกคิ้ว และมองนางอย่างชั่วร้าย “แม้ว่าเจ้าอยากจะเข้าใจ ก็ไม่มีประโยชน์หรอก” 

“ทำไมเล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “เจ้าไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของข้าหรือ” 

หยวนหมิงส่ายนิ้วไปมา “นี่ไม่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งหรอก หน่วยคุ้มกันนี้ลึกลับมาก พวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของใคร รวมทั้งยังสามารถเพิกเฉยต่อคำสั่งของฮ่องเต้ได้อีกด้วย นอกเหนือจากความสามารถและพรสวรรค์อันน่าทึ่งแล้ว ระดับการฝึกฝนของแต่ละคนนั้นก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน ไม่มีใครในแผ่นดินนี้รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ทุกอาณาจักรต่างก็รู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในสำนักไท่ไป๋ บางที พวกเขาอาจจะเป็นผู้เฒ่าที่ทำความสะอาดสำนัก หรือพวกเขาอาจจะเป็นอาจารย์ที่สอนวิชาพลังลมปราณก็เป็นได้ และคนที่พวกเขาเลือก ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนในตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แล้วเจ้าเป็นใครกันเล่า เท่าที่ข้ารู้ ท่านพ่อของเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีเอาเสียเลย” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเสียงต่ำ ก่อนจะหันหน้ามา ดวงตาของนางเป็นประกาย “หยวนหมิง เจ้าเคยได้ยินสุภาษิตของมนุษย์อย่างพวกเราบ้างหรือไม่” 

“อะไรหรือ” หยวนหมิงเงยหน้าขึ้น 

เฮ่อเหลียนเวยเวยอธิบายสุภาษิตนั้นอย่างช้าๆ ทีละคำ “สิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ [1] จง อย่า ได้ ดูถูก คนจน” 

คำพูดนั้นดูเหมือนจะทำให้เกิดพลังบางอย่างเปล่งออกมาจากร่างของนาง แขนเสื้อของนางโบกสะบัด และมีแสงสว่างสาดส่องไปทั่วผืนฟ้า 

หยวนหมิงมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขารับรู้ได้ถึงเลือดที่สูบฉีดในร่างกายของนาง เขาต้องยอมรับว่าบางที การทำพันธะสัญญากับนางก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก… 

 

ในช่วงพลบค่ำ ขณะที่ลมอ่อนๆ พัดโชยผ่านใหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางหยิบสตรอเบอร์รี่เข้าปาก และรีบออกเดินทางเพื่อไปหาซื้อของต่างๆ ที่ระบุไว้ใน “ประกาศเข้ารับการศึกษา” ให้ครบ 

การเป็นคุณหนูที่ไม่เป็นที่โปรดปรานก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อย นางก็ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระโดยที่ไม่มีใครมารบกวน 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสำนักศึกษากำลังจะเปิดเรียนหรืออย่างไร จึงทำให้มีรถม้าหรูหราจำนวนมากมาส่งบรรดาคุณหนูและคุณชาย เพื่อซื้อเสื้อคลุมยาวราคาแพงและหมวกทรงสูง จนทำให้ร้านขายผ้าหลายแห่งต้องปิดร้าน เนื่องจากสินค้าหมด เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเล่นอยู่นานแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอของที่ต้องการเสียที ดังนั้น นางจึงตั้งใจจะไปพักก่อน แต่ก่อนที่นางจะเดินไปถึงโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง จู่ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งหยุดลงตรงหน้าและขวางทางนางไว้… 

………………………………………………………………………… 

[1] สิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ อุปมาว่า เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน