*มีเปลี่ยนชื่อตัวละครนะคะ จาก ‘ดารัง’ เป็น ‘ต้าหราง’ ชื่อแรกดูเป็นผู้หญิงไป

** เนื้อหาที่ลงแต่ละตอนจะตัดรวบตามความสั้น-ยาวนะคะ

————————————————-

“พี่ซู แม่ของข้าให้เอาน้ำร้อนมาให้ท่านเจ้าค่ะ” เอย่าพูดพร้อมกับเชือกร้อยเหรียญทองแดงที่มือ เอย่ารู้สถานการณ์ของนางจางดี แม่ของนางยังให้โจ๊กแก่นางจางบางครั้งด้วยความสงสาร

“ท่านแม่ของข้าบอกข้าว่าเราไม่สามารถรับเงินนี้ได้ พี่ซูช่วยรับมันไว้ด้วยเจ้าค่ะ”

ซูมู่เกอไม่ได้รับมัน “นี่สำหรับเจ้า โปรดรับมันไว้เถิด ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าอีกชั่วขณะ”

“หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการ เพียงแค่เอ่ยปากบอกเจ้าค่ะ”

เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ของนางจาง ซูมู่เกอไม่ได้ยืนด้วยพิธีการใด นางบอกกับเอย่าในสิ่งที่นางต้องการ ปล่อยให้เอย่ามองตามหลังนางไป นางไปที่ท้ายหมู่บ้านกับฮูเทาและถามหาหมอเท้าเปล่าในหมู่บ้านเพื่อหายาบางอย่างให้กับนางจาง

ขาของนางจางเริ่มเน่าแล้ว เนื้อเน่าจะต้องถูกตัดออก มิเช่นนั้นขาจะไร้ประโยชน์

นางมีพิษ นางจึงไม่กล้าที่จะใช้พลังบนฝ่ามือของนาง เนื่องจากนางยังไม่เข้าใจการใช้งานของมันอย่างกระจ่าง

มันดึกมากแล้วหลังจากทุกสิ่งอย่างสงบลง

นางจางยังคงอ่อนแรและแสงก็สลัว นางไม่สามารถทำการผ่าตัดได้จนถึงวันพรุ่งนี้ ดังนั้น ซูมู่เกอจึงทำได้เพียงแค่สอบถามเอย่าเพื่อปรุงยาให้นางจาง

“ขอบคุณในความมีน้ำใจที่เจ้าได้ให้ในวันนี้!”

“พี่ซู ท่านไม่กลับบ้านกับเราจริงหรือ? ที่นี่….ไม่มีที่ให้พักผ่อน” เมื่อเห็นเตียงดินเพียงเตียงเดียวและโต๊ะหักพร้อมเก้าอี้หักสองตัว เอย่าถามอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร ข้าขอบใจเจ้ามาก!”

“เราจะกลับบ้านก่อนวันนี้ พรุ่งนี้เราจะกลับมาใหม่อีกครั้งนะเจ้าค่ะ”

เอย่าออกไปพร้อมกับฮูเทาและนางจางก็หลับไปแล้ว

ยกตะเกียงน้ำมันชูขึ้น ซูมู่เกอได้เห็นยาจากหมอเท้าเปล่า

ยาแลดูคุณภาพต่ำ นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้มัน

กลางคืนในหมู่บ้านเงียบมาก ซูมู่เกอพิงโต๊ะค่อยๆหลับไป

“ใคร? เจ้าเป็นใคร?”

เสียงร้องอันแหลมคมปลุกซูมู่เกอให้ตื่นขึ้นมา ผู้หญิงอ้วนหน้าผากแคบและโหนกแก้มที่โดดเด่นชี้มาที่นาง

ซูมู่เกอลุกขึ้นนั่งและหันไปมองนางนางที่นอนอยู่บนเตียง นางจางตื่นขึ้นมาและจ้องมองไปที่หญิงอ้วนด้วยดวงตาโตอย่างขุ่นเคือง

“หวัง เจ้ามาทำอันใด? เจ้ามาดูว่า….ดูว่าข้าอดตายแล้วงั้นรึ?” นางจางดูโกรธมากและอยากจะลุกขึ้น

มันคือนางหวัง ลูกสะใภ้คนโตของนางจาง ที่จะมาดูนางจางทุกสองหรือสามวันว่านางจางตายแล้วหรือไม่

นางหวังเหลือบมองนางจากอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ข้าเพิ่งเอาอาหารมาให้ท่าน อย่ามาพูดเยี่ยงนี้ ต้าหรางยังไม่ได้แต่งงาน”

ตามประเพณีท้องถิ่นถ้ามีใครในครอบครัวเสียชีวิตลงจะไม่สามารถจัดงานแต่งงานได้ภายในสามปี สิ่งที่นางหวังพูดเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริง

ซูมู่เกอยิ่งทำมันชัดเจนว่านางหวังคือใครหลังจากได้ยินนางจางเรียกนางหวังว่าอย่างไร ก่อนที่นางจะเดินทางมา แม่ของนางได้แนะนำสมาชิกในครอบครัวของนางจางให้นางรู้จัก

“ท่านต้องเป็นท่านป้าของข้า มันเป็นความมีน้ำใจอย่างยิ่งที่ท่านนำอาหารมาให้ท่านยายของข้าตั้งแต่เช้าตรู่เยี่ยงนี้”

หลังจากได้ยินสิ่งที่ซูมู่เกอพูด นางหวังมองมาที่นางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแลมองกลับจากเท้าจรดศีรษะอย่างพิถีพิถัน

สิ่งที่ซูมู่เกอสวมใส่ดูไม่เหมือนกับชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในหมู่บ้าน และตาของนางถุกปิดด้วยผ้าเช็ดหน้า แม้ว่ามันจะมืดเกินไปที่จะมองเห็นว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร นางหวังยังรู้สึกว่าซูมู่เกอดูมีเสน่ห์

“เจ้าเป็นใคร? เจ้าเป็นลูกสาวของน้องสะใภ้ใช่หรือไม่?” นางหวังพูดและรู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกๆ ยกเว้นนางจ้าวแล้ว นางมีน้องสาวที่แต่งงานแล้วกับพ่อค้าเร่ในเมืองและมีลูกสาวสองคนและลูกชายอีกหนึ่งคน นางเคยพบกับลูกสาวคนหนึ่งมาก่อนที่ไม่มีนิสัยเยี่ยงนี้

“ครอบครัวของข้าเป็นห่าวงท่านยายของข้าหลังจากรู้ว่านางล้มพวกเขาจึงขอให้ข้ามาเยี่ยมนาง”

“พ่อแม่ของเจ้า….” นางหวังขมวดคิ้วและประหลาดใจเบิกตากว้าง นางปรบมือและพูดว่า “เจ้าเป็นลูกสาวของน้องสะใภ้ใช่หรือไม่?”

ซูมู่เกอพยักหน้าแทนที่จะปฏิเสธนาง เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ของนางจางแล้ว นางรู้สึกว่าตัวนางเองเท่านั้นคงไม่เพียงพอ นางจึงเจรจากับนางหวัง

“คือ…คือมันเป็นแม่ของเจ้าหรือไม่ที่ขอให้เจ้ามาเยี่ยมยายแก่..ยายของเจ้า? เป็นเจ้านั่นเอง! เจ้าไปที่เมืองหลวงและกลายเป็นหญิงสาวในครอบครัวอย่างเป็นทางการ ข้าต้องกลับไปเดี๋ยวนี้ บอกลุงของเจ้าโดยด่วน” นางหวังเปลี่ยนสีหน้าและตื่นเต้นมากจนไขมันของนางกระเพื่อม นางหันหลังและวิ่งหนีไปลืมแม้กระทั่งตะกร้าของนางกลับไปด้วย

ซูมู่เกอเหลือบมองไปที่ตะกร้า มีโจ๊กเหม็นเน่าอยู่ในชามแตก

“ใครจะรู้ว่าสิ่งชั่วร้ายที่ผู้หญิงหน้าด้านผู้นั้นกำลังคิดทำอะไรอยู่ มู่เกอ ยายของเจ้าไม่เป็นอันใด เจ้า เจ้าควรกลับไปดีที่สุด” เมื่อมองไปที่ซูมู่เกอนางจางเกิดความกังวลมาก จึงพูดเช่นนั้นออกมา นางเคยคิดว่านางจ้าวมีชีวิตที่มีความสุขกับซูหลุน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่านางจ้าวได้ปกปิดหลายๆอย่างเพราะมู่เกอควรมาที่นี่ด้วยตัวเองและเชี่ยวชาญในการดูแลคนอื่น

“ท่านยาย ข้าจะกลับไปได้ก็ต่อเมื่อท่านจะรู้สึกดีขึ้น ไม่เช่นนั้น ท่านแม่ของข้าจะกล่าวโทษข้าได้”

ซูมู่เกอออกไปด้านนอก นางเริ่มปรุงยาให้นางจางก่อนจากนั้นจึงปรุงโจ๊กด้วยหม้อใบเล็กที่เอย่านำมาไว้ให้

“พี่ซู ท่านตื่นเข้าจัง” เอย่ากระโดดๆเข้ามาในห้องพร้อมตะกร้าที่แขนของนาง

“ท่านแม่ขอให้ข้าเอาแพนเค้กมาให้ท่านกับป้าจาง และให้ข้าเอาสิ่งของที่ท่านต้องการเมื่อวานนี้มาให้ด้วยเจ้าค่ะ”

ซูมู่เกอไม่ได้ยืนขึ้นรับของอย่างเป็นพิธีการในครั้งนี้และนางพูดว่า “ขอบใจเจ้ามาก!”

หลังจากให้ยากับนางจางแล้ว ซูมู่เกอจุดตะเกียงน้ำมันที่มีเพียงอันเดียวในห้องและเจาะจุดฝังเข็มของนางจางด้วยเข็มสีเงินที่ยืมมาจากหมอเท้าเปล่า หลังจากนั้นไม่นานนางจากก็หลับไป

เอย่ารู้สึกประหลาดใจ “พี่ซู อะไรรึ ท่านกำลังทำอันใด?”

ซูมู่เกอก้มหน้าตอบ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ข้าจะผ่าตัด หรือหาไม่แล้วขาก็จะไร้ประโยชน์”

นางเปิดหน้าต่างและประตูเพื่อให้มีแสงสว่างเพียงพอในห้อง จากนั้น นางก็เอามีดไปฆ่าเชื้อด้วยเหล้าที่หยิบมาจากตะกร้าและเตรียมจัดการกับส่วนที่เน่าตรงขา

“ออกไปรอที่ด้านนอกนะ และอย่าให้ใครเข้ามา”

เอย่าตกใจกับขาของนางจาง นางจึงรีบพยักหน้า วิ่งหนีไปพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียว

หลังจากฆ่าเชื้อมีดด้วยไฟสักพัก ซูมู่เกอเริ่มทำความสะอาดแผลเน่าเสียอย่างชำนาญ

ซูมุ่เกอมีประสบการณืในการผ่าตัด นางเกิดมาในครอบครัวแพทย์แผนจีน หลังจากหลายปีก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่นี้ นางสามารถวาดการอนุมานเกี่ยวกับกรณีอื่นๆ จากกรณีหนึ่งไปอีกหนึ่งได้ดี ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้เวลาเรียนแพทย์แผนตะวันตกทุกวัน ซึ่งช่วยให้นางได้รับการผสมผสามที่ลงตัวระหว่างการแพทย์แผนจีนและตะวันตก

ซูมู่เกอไม่ได้ทำการผ่าตัดแบบช้าๆ จะว่าไปแล้ว นางทำได้ค่อนข้างเร็ว แต่ทุกขั้นตอนถูกต้อง

“เอย่า เจ้ามาทำอะไรที่นี่? เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าเองรึไง? ไปให้พ้น!”

“ไม่ พี่ซูขอให้ข้ารออยู่ที่นี่ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องก่อนที่นางจะออกมา”

“ข้าเป็นลุงของนาง นางจะไม่กล้าหยุดข้า” จ้าวหมิงผลักเอย่าออกไปให้พ้นทางและเข้าไปในห้อง

หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว ซูมู่เกอห่มผ้าให้นางเจ้า ก่อนที่ซูมู่เกอจะทันได้ลุกขึ้นยืน จ้างหมิงและคนอื่นๆก็เข้ามาแล้ว

“หลานสาวคนโตของข้ามาถึงแล้ว ทำไมไม่บอกลุงของเจ้าตั้งเมื่อตอนที่เจ้ามาถึง?” จ้าวหมิงลูกชายคนที่สองของนางจางอยู่ที่บ้านในวันนี้

นางหวังตั้งใจจะจับมือของซูมู่เกอด้วยรอยยิ้มปั้นแต่งบนใบหน้า แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกจืดเจื่อนหลังจากที่ซูมู่เกอหลีกเลี่ยงนาง นางชำนาญมากในการปรับแต่งหน้าตา

“หลานสาวคนโตของข้า เราเข้าไปคุยกันที่บ้านของลุงกันเถอะ เจ้าต้องหิวมากแน่ๆ ป้าของเจ้าจะทำอาหารให้เจ้าในขณะที่คุยกัน”

ซูมู่เกอมองไปที่ใบหน้าของคนทั้งสองพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของนางเช่นกัน

“ถ้าข้าจากไปจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านยายของข้า?”

หลังจากพูดถึงนางจางทั้งสองรู้สึกว่ามันไม่เป็นคำพูดที่เป็นมงคลเลย

จ้าวหมิงกล่าทันทีว่า “เจ้าไม่รู้ว่ายายของเจ้าล้มเมื่อไม่นานมานี้และไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้อีกหลังจากนั้น นางยืนยันว่าจะย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังเก่านี้เพื่อไม่ให้เรายุ่งยาก เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย้ายนางมาอยู่ที่นี่”

นางหวังพยักหน้ารับลูกและกล่าวเสริมว่า “ถูกต้องแล้ว เราไม่มีทางเลือกอื่น”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูมู่เกอก็หันหน้ามาอย่างเศร้าใจ “จริงหรือ? แต่ท่านยายของข้าบอกข้าว่านางอยากกลับบ้านไปนอนพักฟื้นที่บ้านตอนนี้นะ”

“มัน….” นางหวังมองมาอย่างรันทด นางจางจะจากไปไม่ช้าก็เร็ว นางไม่ต้องการให้มาตายในบ้านของนางเพราะลูกชายของนางโตพอที่จะแต่งงานได้แล้ว

จ้าวหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับกลอกตา และยิ้มให้นาง “ท่านแม่ของข้าอยากกลับบ้าน ไม่มีปัญหา ข้าจะขอให้ใครซักคนมาอุ้มแม่ของข้ากลับเอง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้นางหวังไม่พอใจอย่างยิ่งและจ้องเขม็งมาที่พวกเขา เมื่อนางกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง จ้าวหมิงจ้องกลับมาที่นางนิ่งๆ “พี่สะใภ้ของข้า กลับไปกับข้าเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเถอะ”

นางหวังฮึดฮัดและเดินออกไป

นางหวังเมื่อเดินห่างจากลานบ้านโทรมๆนั้นออกมาแล้ว ถามขึ้นว่า “เจ้ากำลังทำอะไร? เจ้าต้องการให้นังหญิงชรานั่นไปตายที่บ้านหรืออย่างไร? ข้าบอกได้เลยนะว่าห้องของนางถูกจองไว้สำหรับการแต่งงาน ของต้าหรางแล้ว”

จ้าวหมิงโกรธแต่เขารู้ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน “เจ้าไม่ต้องการเงินใช่ไหม?”

“อะไร?”

“น้องสาวของข้าขอให้ลูกสาวของนางกลับบ้านมาอย่างเร่งด่วน ถ้านางรู้ว่าเราทำอะไรกับแม่ ท่านคิดดูสิว่านางจะยังให้เงินเราไหม?” นางหวังสงบลงหลังจากได้ยินเรื่องนี้

“อย่างไรก็ตาม นางจะไม่อยู่ที่นี่นานอย่างแน่นอน เราสามารถแบกนางจางกลับมาไว้ที่นี่ได้หลังจากได้เงินแล้ว”

“เจ้าพูดถูก เจ้านี่ฉลาดมาก!”

นางหวังกลับไปขอให้ลูกชายทั้งสองของนางมาแบกนางจากกลับไปที่บ้าน หลังจากต่อสู้ทุ่มเถียงกันอย่างหนัก นางจางก็ถูกพากลับไปที่บ้าน

ดังที่ซูมู่เกอคิดไว้ นางหวังได้สร้างบ้านใหม่หลังจากได้รับเงินที่นางจ้าวส่งกลับมาให้ มีสนามหญ้า ลานหน้าบ้าน มีห้อง 11 ห้อง ยกเว้นห้องนั่งเล่นและห้องก่อนหน้าของนางจ้าว ลูกชายทั้งสามแต่ละคนมีห้องคนละสามห้อง

ซูมู่เกอขอน้ำร้อนจากนางหวัง หลังจากทำความสะอาดให้นางจางเสร็จ ซูมู่เกอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าของนาง

มองไปที่ขาของนางจากที่มีการดูแลบาดแผลอย่างดี นางหวังรู้สึกกระดากใจ

“เจ้าได้เชิญหมอมาตรวจดูท่านแม่อีกครั้งหรือ? หมอบอกว่าขา…รักษายาก”

ซูมู่เกอไม่ได้พูดตอบอะไรเกี่ยวกับคำถามของนางหวัง แต่กลับหันไปปรุงยาด้วยตัวเอง

ตราบใดที่ท่านยายอยู่ได้อีกสามวัน มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับนางที่จะฟื้นตัวหลังจากดูแลอย่างระมัดระวัง

“มู…มู่เกอ ล้าง…ล้างหน้า” จ้างชุนลูกชายคนโตของนางหวังมาพร้อมกับอ่างน้ำ จ้องมองไปที่ใบหน้าของซูมู่เกออย่างกระตือรือร้น ซึ่งนั่นทำให้ซูมู่เกอขมวดคิ้ว

“ไม่ ขอบคุณ!”

จ้าวชุน จ้องไปที่มือบอบบางของซูมู่เกอและกลืนน้ำลายอย่างเสียดาย เขาไม่เต็มใจที่จะจากไป

เขาอายุสิบหกปีและแม่ของเขาพยายามตามหาลูกสะใภ้ของนาง เขาคิดว่าถ้าเขาสามารถแต่งงานกับหญิงสาวลูกพี่ลูกน้องคนนี้ได้….มันจะวิเศษแค่ไหน!

ในตอนกลางคืนครอบครัวของนางจ้าวทั้งหมดกลับมากันครบ พวกเขาอยู่ในห้องนั่งเล่นมองไปที่ซูมู่ เกอราวกับว่านางเป็นนักโทษ

ซูมู่เกอเหลือบมองพวกเขาแต่ละคนและนั่งเงียบๆ

นางหวังหมดความอดทนและอดไม่ได้ที่จะสะกิดจ้าวเต๋อสามีของนาง

จ้าวเต๋อกะแอม “คราวนี้เจ้ากลับมาคนเดียวรึ?”

ซูมู่เกอรู้ว่าคำถามคือการทดสอบทัศนคติที่ซูหลุนมีต่อภรรยาและลูกสาวของเขา หลังจากฟังมาทั้งหมด มันดูแปลกที่ซูมู่เกอปรากฎตัวขึ้นที่นี่เพียงลำพัง

“ท่านพ่อของข้าจัดผู้คุ้มกันสามคนและสาวใช้สองคนพร้อมคนขับรถม้ามากับข้าด้วย ข้ากลัวว่าพวกเขาจะไม่มีที่อยู่ ดังนั้น ข้าจึงปล่อยให้พวกเขารออยู่ในเมือง” ถ้าทั้งหกคนมาก็ไม่มีที่ว่างสำหรับพวกเขา ครอบครัวจ้าวยอมรับคำตอบนี้

“หลานสาวของข้า คราวนี้…แม่ของเจ้าให้นำของอะไรกลับมาบ้างหรือไม่?”

………………………………………….

**หมอเท้าเปล่า (Barefoot doctor ; คือเกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำ ทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน เพื่อนำสาธารณสุขสู่พื้นที่ชนบท ส่งเสริมการสุขาภิบาลเบื้องต้น สาธารณสุขป้องกนและการวางแผนครอบครัว ตลอดจนรักษาความเจ็บป่วยสามัญ ตั้งชื่อจากเกษตรกรในภาคใต้ ซึ่งมักทำงานเท้าเปล่าในนาข้าว