ตอนที่ 9 ซื้อของครั้งแรก (2)
ชีวิตแม่ม่ายคือเป้านินทา

เฉียวเวยทะลุมิติมานานขนาดนี้แล้ว ทว่าแม้นางจะเพียรปรับตัวเข้ากับบทบาทมารดาอยู่เสมอ แต่กลับลืมว่าในสายตาของคนนอกนางเป็นแม่ม่ายสาวผู้ไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง อย่าพูดถึงต้าจ้วงชายฉกรรจ์หนุ่มโสดเช่นนี้เลย ต่อให้เป็นบุรุษที่มีบุตรแล้วมาหาก็คงเกิดข่าวลือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ออกมาได้อยู่ดี

น้าหลิวจ้องเล่นงานนางเช่นนี้ ไม่แน่อาจเป็นเพราะผู้ชายของน้าหลิวเคยมาลอบมองนางก็เป็นได้

เมื่อทราบว่าบุตรชายทะเลาะกับผู้อื่นเพื่อตน หัวใจของเฉียวเวยก็อ่อนยวบ นางลูบใบหน้าของบุตรชาย อยากพูดอะไรสักอย่างแต่กลับพบว่าลำคอตีบตัน เอ่ยไม่ออกสักคำ

ไม่เคยรู้ว่ายามมีใครทุ่มทุกสิ่งเพียงเพื่อทวงความยุติธรรมให้ตนจะรู้สึกเช่นนี้ หัวใจอบอุ่นจนเหมือนจะร้อนลวก น้ำตาแทบจะไหลออกมา

เฉียวจิ่งอวิ๋นเห็นมารดาดวงตาแดงเรื่อก็เอ่ยเสียงอ้อแอ้ “ข้าตัวเล็กเกินไป สู้เถี่ยหนิวไม่ได้ รอข้าตัวโตแล้วจะต้องสู้ชนะเขาแน่ เขาจะได้ว่าร้ายท่านแม่ไม่ได้อีกต่อไป”

เฉียวเวยกอดลูกไว้ในอ้อมแขน

หมู่บ้านซีหนิวอยู่ไม่ไกลจากเมือง ห่างราวสิบลี้เท่านั้น เดินเท้าหนึ่งชั่วยามก็ถึง แน่นอนว่านั่นหมายถึงก้าวเท้าของผู้ใหญ่ เด็กย่อมเดินไกลขนาดนั้นไม่ได้ เฉียวเวยวางแผนว่าจะจ้างรถสักคัน

รถมีทั้งรถเทียมวัวและรถเทียมม้า ทั้งสองอย่างล้วนไม่มีหลังคาและโครงสร้างเรียบง่ายอย่างยิ่ง รถเทียมวัวค่อนข้างช้าแต่ราคาถูก ส่วนรถเทียมม้ารวดเร็วแต่ราคาแพง หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เฉียวเวยก็เลือกรถม้า รถม้าเที่ยวหนึ่งราคาสิบอีแปะต่อหนึ่งคน เด็กสองคนนับเป็นผู้ใหญ่หนึ่งคน ทั้งหมดเท่ากับยี่สิบอีแปะ หลังมาถึงตัวเมืองรถม้าจะไม่รอพวกเขา เมื่อใดผู้โดยสารเต็ม รถก็ออกเมื่อนั้น

ของที่เฉียวเวยต้องการซื้อมีจำนวนมาก หากไม่มีรถม้าคงกลับไม่ได้ ในตัวเมืองน่าจะมีรถม้าอยู่บ้าง แต่จะไปจ้างที่ใดเล่า นางรู้สึกเหมือนตาบอดคลำทาง สุดท้ายจึงต่อรองราคากับเจ้าของรถหรือก็คือตาเฒ่าซวนจื่อจนเหมารถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อครึ่งวันได้ในราคาสองร้อยอีแปะ

เมื่อคำนวนค่าขนส่ง เฉียวเวยก็รู้สึกว่าราคานี้คุ้มค่า ถึงอย่างไรลองคิดเป็นเงินหยวนดูก็แค่หนึ่งร้อยยี่สิบหยวนเท่านั้น

ครอบครัวสามคนเข้าเมืองอย่างเบิกบานใจ ทิวทัศน์เบื้องหน้าแล่นผ่านไปเรื่อยๆ หมู่บ้านถูกทิ้งไว้ไกลด้านหลัง แม้แต่ความหงุดหงิดก็เหมือนจะถูกชะล้างหายไปสิ้น ใบหน้าของทั้งสามคนจึงมีแต่รอยยิ้มกว้าง

เมืองแห่งนี้ชื่อว่าเมืองซีหนิว เหตุเพราะอยู่ใกล้กับเมืองหลวง ประชากรจึงค่อนข้างหนาแน่น การค้าก็รุ่งเรืองยิ่งนัก ตาเฒ่าซวนจื่อรู้ว่าเฉียวเวยต้องการมาซื้อของจึงพานางมาส่งตลาดนัดใหญ่ที่สุด ที่นั่นสินค้าต่างๆ นานาล้วนมีทั้งสิ้น ตั้งแต่ของกินไปจนถึงของเล่น สารพัดสิ่งอันไม่มีขาด

เด็กๆ จำไม่ได้แล้วว่าตนไม่ได้มาตลาดนานเท่าไร พวกเขามองข้าวของละลานตาด้วยสองตาเป็นประกาย

พวกเขาหน้าตางดงามเป็นทุนเดิม ทั้งยังเป็นฝาแฝดชายหญิง ในอ้อมแขนของน้องสาวยังอุ้ม ‘สุนัขตัวน้อยสีขาว’ ขนฟูน่ารักน่าชังตัวหนึ่งอีก เมื่อรวมเข้ากับสีหน้างุนงงน่ารักน่าชังตอนนี้จึงดึงดูดสายตาของคนที่ผ่านไปมา

เด็กน้อยหน้าตาดีเช่นนี้ช่างเหมือนก้าวออกมาจากภาพวาดอวยพรยามขึ้นปีใหม่

เฉียวเวยภูมิใจเป็นที่สุด

เดินตระเวนจนรอบ เฉียวเวยก็พอจะให้คำจำกัดความกับตลาดนัดได้แล้ว มันเทียบได้กับตลาดค้าส่งในยุคปัจจุบัน ราคาถูกกว่าในร้านค้า แต่เพราะเมืองแห่งนี้คือด่านสำคัญที่จะผ่านไปยังเมืองหลวง คนเดินทางผ่านไปมามาก ความน่าเชื่อถือของร้านค้าจึงไม่สูงนัก จะซื้อได้ของดีสมราคาหรือไม่ล้วนต้องดูว่าดูของเป็นหรือไม่ แล้วก็ต่อราคาเป็นหรือไม่

พอดีว่าเฉียวเวยเป็นหญิงสาวผู้มากความสามารถ อีกทั้งตาเฒ่าซวนจื่อยังแนะนำร้านที่น่าเชื่อถือให้หลายร้าน หลังจากฟาดฝีปากอย่างต่อเนื่อง นางจึงซื้อน้ำมัน ข้าวสาร แป้งและเครื่องปรุงได้จนครบ ตอนซื้อเกลือ เฉียวเวยปวดใจเล็กน้อย เกลือในยุคนี้ล้วนเป็นเกลือธรรมชาติ คุณภาพเทียบไม่ได้กับเกลือที่ผ่านกระบวนการผลิต แต่เพราะทางการผูกขาด ราคาจึงสูงยิ่งนัก สิบชั่งก็ทำให้นางเสียเงินไปหนึ่งตำลึงเงินแล้ว นางปวดใจแทบตาย

หลังจากนั้นเฉียวเวยก็ไปเยือนร้านขายผ้าเพื่อซื้อของจำเป็นของสตรีจำนวนหนึ่ง แต่นางก็เศร้าใจเมื่อพบว่าผู้อื่นไม่ขายแผ่นรองระดูกัน ทุกคนล้วนทำของตัวเอง นางจึงซื้อวัตถุดิบเอากลับไปใส่ไว้ในรถม้า

เสื้อนวมสำหรับฤดูหนาวเป็นสิ่งจำเป็น ราคาของเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเสร็จแล้วแพงกว่าราคาผ้ากับปุยฝ้ายสามเท่าถึงห้าเท่า เฉียวเวยลังเลเล็กน้อยก่อนจะซื้อเสื้อผ้าสำเร็จให้ลูกๆ กับตนเองคนละสองชุด แล้วเอาผ้าอีกจำนวนหนึ่งเพื่อกลับไปค่อยๆ ฝึกตัดเย็บ

เจ้าซาลาเปาน้อยได้เสื้อผ้าชุดใหม่ก็ดีใจเป็นที่สุด เดินกระโดดโลดเต้นไปตามทาง

ตาเฒ่าซวนจื่อมองรถม้าที่มีของกองพะเนินจนแทบจะกลายเป็นภูเขาลูกน้อยแล้วถามว่า “เสี่ยวเฉียว ยังมีอะไรต้องซื้ออีกหรือไม่ หากไม่มีแล้วพวกเราก็กลับกันเถิด”

เฉียวเวยคิดครู่หนึ่ง “อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าขอถามท่านสักหน่อย ใกล้ๆ นี้มีโรงตีเหล็กหรือไม่”

“โรงตีเหล็กหรือ ตรอกต้าซิงมีอยู่โรงหนึ่ง ห่างจากที่นี่สักหนึ่งลี้ ทำไมหรือ เจ้าจะไปที่นั่นทำอะไร” ตาเฒ่าซวนจื่อหูตึงข้างหนึ่ง เวลาพูดเสียงจึงค่อนข้างดัง

เฉียวเวยไม่ใส่ใจสักนิด นางขยับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก็ข้าล่าสัตว์มิใช่หรือ อุปกรณ์ไม่ค่อยพอนักจึงจะไปดูสักหน่อย”

เรื่องที่เฉียวเวยล่าเสือตายได้ตัวหนึ่งแพร่ไปในหมู่บ้านแล้ว ทุกคนไม่คิดว่าเป็นเพราะความสามารถของนาง พวกเขาล้วนรำพึงว่านางช่างโชคดีนัก เมื่อเห็นนางดึงดันต้องการซื้อ ตาเฒ่าซวนจื่อจึงมิสะดวกเอ่ยอันใดมาก เขาใช้รถม้าพาทั้งสามคนไปยังตรอกต้าซิง

ที่โรงตีเหล็กเฉียวเวยซื้อมีดสั้นเล่มหนึ่งไว้ป้องกันตัวแล้วซื้อมีดสับกระดูกเล่มหนึ่งกับตะขอหลายตัวไว้สำหรับทำกับดัก

“ยังต้องการอะไรอีกหรือไม่” ตาเฒ่าซวนจื่อถาม

“ข้ายังอยากจะสั่งเตียงสักหลัง” บ้านที่พวกเขาอยู่ไม่มีเตียง มีแต่เตียงเตาแคบๆ หลังหนึ่ง แม่ลูกสามคนนอนด้วยกันความจริงก็เบียดอยู่เล็กน้อย นางคิดจะสั่งทำเตียงสักหลังให้ตนเองนอน ส่วนเตียงเตาเอาไว้ให้ลูก

ตาเฒ่าซวนจื่อจึงนำนางไปร้านช่างไม้เพื่อสั่งทำเตียง เมื่อทำเสร็จตามขนาดที่สั่ง นำกลับบ้านไปประกอบเองก็ใช้ได้แล้ว คิดไม่ถึงว่ายุคโบราณจะทันสมัยเช่นนี้ เฉียวเวยประหลาดใจยิ่งนัก

ยุ่งวุ่นวายมาจนถึงเที่ยง ในที่สุดของที่สมควรซื้อก็ซื้อได้ครบแล้ว เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยๆ ของบุตรชายและบุตรสาว “หิวหรือไม่”

ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง

หิวแล้วก็ไม่บอก ช่างรู้ความจนทำให้คนปวดใจจริงๆ

“อยากกินอะไรกัน” เฉียวเวยถาม

เฉียววั่งซูถามเสียงเบา “ข้าอยากกินเกี๊ยวเนื้อวัว ได้หรือไม่”

เฉียวเวยยิ้ม “ได้แน่นอนสิ! นอกจากสิ่งนี้แล้วยังอยากกินอะไรอีก”

เฉียววั่งซูเลียริมฝีปาก “แล้วก็อยากกินขนมกุยช่ายทอด แป้งทอดต้นหอม”

“มีอีกไหม”

“ไม่มีแล้ว”

เฉียวเวยมองไปหาบุตรชาย “จิ่งอวิ๋นอยากกินอะไร”

เฉียวจิ่งอวิ๋นตอบเยี่ยงผู้ใหญ่ตัวน้อย “ข้ากินได้ทั้งนั้น”

สิ่งที่เด็กๆ เอ่ยมาล้วนเป็นของทานเล่น ใช้เงินเพียงไม่กี่อีแปะ เฉียวเวยกับตาเฒ่าซวนจื่อหาร้านที่ค่อนข้างสะอาดร้านหนึ่งแล้วสั่งเกี๊ยวเนื้อวัวชามโตสองชาม ชามหนึ่งให้ตาเฒ่าซวนจื่อ ชามหนึ่งให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซู แล้วจึงสั่งขนมกุยช่ายทอดสี่ก้อน แป้งทอดต้นหอมสี่แผ่น ซี่โครงผัดซอสอีกหนึ่งจานกับแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะอีกสองชาม