บทที่ 17 เจ้า คืออะไรกันแน่

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 17 เจ้า คืออะไรกันแน่

บางทีอาจเป็นเพราะเสียงเพลงในอาณาเขตพื้นที่ป่าผืนนี้ เสียงคำรามของอสูรกลายพันธุ์จึงไม่ปรากฏออกมา ราวกับว่าที่มาของเสียงเพลงคือผู้ปกครองพื้นที่ต้องห้าม

หลังจากมันปรากฏออกมา สรรพสิ่งก็ล้วนนิ่งงัน

หัวหน้าเหลยยังคงนั่งนิ่งมองออกไปด้านนอกอยู่ตรงนั้น ซึ่งจุดที่มองไปนั้นมีแต่ความมืดมิด ไม่มีอะไรอยู่เลย

สวี่ชิงสีหน้าซับซ้อน ครู่ต่อมาสายตาก็กวาดไปรอบทิศ สุดท้ายก็ไปตกอยู่บนกระบองเขี้ยวหมาป่ารวมไปถึงชิ้นส่วนเศษโล่ที่แตกหักของผีเถื่อน

ศพของผีเถื่อนกลายเป็นฝุ่นผงหลังจากที่ปราณหมอกของเสียงเพลงจากไปเหมือนกับศพทั้งหมดที่นี่ ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกมาก่อน

และคนเก็บกวาดเองก็มักจะไม่ค่อยมีญาติมิตร ดังนั้นถึงพวกเขาสลายหายไป บางทีอาจจะมีคนที่ใส่ใจอยู่ไม่มาก

ต่อให้มี ก็คงจะค่อยๆ หลงลืมไปตามการไหลผ่านของกาลเวลาอยู่ดี จนไม่กี่ปีผ่านไป ก็ไม่มีใครล่วงรู้ ไม่มีใครจดจำได้อีก

จู่ๆ สวี่ชิงก็คิดถึงถ้ำยาจก อาจารย์สอนหนังสือที่ดีกับเขาคนนั้น ช่วงชีวิตสุดท้ายก่อนตายเคยพูดเอาไว้ประโยคหนึ่งกับพวกเขาว่า

“ในใจมีคนที่ลืมไม่ลง ถือเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง แต่ถูกคนจดจำไว้ในใจ จึงจะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง”

ตอนนั้นสวี่ชิงยังไม่ค่อยเข้าใจกับประโยคนี้นัก แต่เวลานี้เขามองไปทางหัวหน้าเหลย ก็เหมือนจะเข้าใจถึงความหมายขึ้นมาบ้างแล้ว จึงไม่เข้าไปรบกวน แต่เดินไปยังจุดที่ศพของผีเถื่อนเคยอยู่เงียบๆ หยิบกริชออกมาเริ่มขุดพื้นดิน

ถึงแม้จะรู้จักกับผีเถื่อนไม่นานนัก พูดให้ถูกคือแค่ไม่กี่วัน สนทนากันแค่ไม่กี่ประโยค แต่ประสบการณ์ในป่าที่อีกฝ่ายถ่ายทอดให้แก่ตน ข้ามผ่านความเป็นความตายจากฝูงหมาป่ามาด้วยกัน สุดท้ายยังหยิบยืมสิ่งของของอีกฝ่ายเพื่อต้านทานกับเลือดดำ ดังนั้นสวี่ชิงจึงรู้สึกว่าตนเองควรจะทำอะไรเสียหน่อย

เหมือนตอนที่เขาจัดการฌาปนกิจศพทั้งหมดก่อนจะออกจากเมือง เขาค่อยๆออกแรงขุดดินโคลนบนพื้นมาหนึ่งหลุม หยิบเอากระบองเขี้ยวหมาป่ารวมไปถึงชิ้นส่วนโล่ฝังลงไปด้วยกัน

สวี่ชิงตั้งใจอย่างมากในขั้นตอนนี้ จนไม่ทันได้สังเกตว่าหัวหน้าเหลยที่อยู่ด้านหลังถอนสายตาที่มองไปทางป่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร และตอนนี้กำลังจ้องมองเขา

ดวงตาปรากฏความประหลาดใจเหมือนตอนที่เห็นสวี่ชิงครั้งแรกในซากเมือง หลังจากเห็นสวี่ชิงกลบฝังอาวุธผีเถื่อนเรียบร้อยและเหมือนจะทำป้ายหลุมศพให้ เลยตุ้ยจึงเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

“คนเก็บกวาดไม่จำเป็นต้องมีป้ายหลุมศพ”

“ธุลีสู่ธุลี ดินสู่ดิน นี่คือชีวิตของคนเก็บกวาด ตอนมีชีวิตดิ้นรนอยู่บนโลก หลังจากตาย…ก็ไม่จำเป็นต้องกราบไหว้ แค่สงบสุขก็เพียงพอแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ กลิ่นอายของหัวหน้าเหลยก็ดูอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ความหนักหนาของอาการบาดเจ็บ การสะสมของไอพลังประหลาดรวมไปถึงจิตใจที่ถูกล้วงจนกลวงโบ๋ ทำให้เขาทนอีกไม่ไหว โลกค่อยๆ มืดมัว หลับตาสลบไสลไป

สวี่ชิงเดินเข้าไปใกล้ หยิบหญ้าเจ็ดใบบางส่วนออกมาจากถุง ยัดเข้าไปในปากของหัวหน้าเหลย

เขาไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่ แต่คิดว่าสิ่งนี้เป็นของจำเป็นในการสร้างลูกกลอนขาว อย่างน้อยก็น่าจะมีประโยชน์ในการบรรเทาไอพลังประหลาดลงมาบ้าง

เมื่อสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น เขาก็แบกหัวหน้าเหลยขึ้นหลังโดยใช้เสื้อผ้ามัดเขาเอาไว้กับตัวเองแน่น จากนั้นจึงสูดหายใจลึก พุ่งทะยานตัวอย่างรวดเร็วในป่ายามราตรี

ขณะผ่านจุดที่หัวหน้าเงาโลหิตสลายกลายเป็นฝุ่น สวี่ชิงมองเห็นถุงหนังใบหนึ่ง จึงเก็บขึ้นมาเปิดดู ด้านในไม่มียาลูกกลอน มีเพียงของสัพเพเหระบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นจึงจัดเก็บแล้วไหววูบพุ่งจากไป

ขณะจิตสำนึกที่อ่อนแอของหัวหน้าเหลยฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อยก็ผ่านไปถึงครึ่งชั่วยามแล้ว

เขาสัมผัสได้จากการกระโจนขึ้นลงว่าตนเองถูกร่างผอมเล็กแบกเอาไว้อยู่รางๆ จึงค่อยๆ ลืมตา มองเห็นใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่ม

เขานิ่งงันไป

สวี่ชิงเองก็รู้สึกได้ว่าหัวหน้าเหลยตื่นแล้ว เอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า

“ดีขึ้นบ้างหรือยัง ท่านนอนต่ออีกหน่อยก็ได้ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วยาม ก่อนฟ้าสางพวกเราก็น่าจะออกจากพื้นที่ต้องห้ามแล้ว”

หัวหน้าเหลยไม่พูดจา ร่างกายที่อ่อนแอยิ่งเผยความแก่ชราที่ไม่อาจปิดบังได้ เขาพยายามเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ดำมืด ดวงตาค่อยๆ เลือนราง ตอนที่จิตสำนึกกำลังจะสลบไสลอีกครั้ง เขางึมงำเสียงเบาว่า

“เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเอ่ยชวนเจ้าให้มาด้วยกันถึงสองรอบที่ซากเมืองนั้น”

ร่างสวี่ชิงไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว ส่ายศีรษะ

“แล้วเจ้าจำสถานที่ที่เราพบกันครั้งแรกได้หรือไม่” หัวหน้าเหลยเสียงอ่อนแรง

“จำได้” สวี่ชิงเคลื่อนไหวร่างกายกระโจนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มือขวายกขึ้นตะปบ จัดการคว้าแมงป่องกลายพันธุ์ที่พุ่งออกมาจากที่ซ่อนตรงนั้นขว้างลงไปบนพื้นด้านหน้า

เสียงปึงดังขึ้น เถาวัลย์มากมายบนพื้นเข้าพันบิดตัวแมงป่องที่ตกลงไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่มันดิ้นรน เถาวัลย์ก็แทงทะลุผิวหนัง กลืนกินเลือดและเนื้อลงไป

สวี่ชิงใช้โอกาสนี้กระโจนตัวขึ้น เลี่ยงจากอันตรายแล้วเดินหน้าต่อ

เวลานี้ด้านหลังมีเสียงไร้เรี่ยวแรงของหัวหน้าเหลยดังงึมงำ เสียงอ่อนแรงจนหากไม่เข้าไปใกล้ก็ฟังแทบไม่ออก

“ข้าเห็นเงาเจ้าที่กำลังฌาปนกิจศพ ตอนนั้นเจ้าที่มีเปลวเพลิงอยู่ข้างกายถูกแสงไฟสะท้อนราวกับหลอมรวมเข้าด้วยกัน จนทำให้ข้าเหมือนกับมองเห็น…ความอบอุ่นสายหนึ่งในโลกที่โหดร้ายนี้”

สวี่ชิงหยุดเท้า นิ่งงันไป หัวหน้าเหลยที่อยู่ด้านหลังเองก็สลบไสลไปอีกครั้ง

ผ่านไปหลายอึดใจ สวี่ชิงจึงยกเท้าขึ้นเงียบๆ ทะยานต่อไปในป่า พุ่งผ่านต้นไม้ออกไปอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านไป เพียงไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม

สวี่ชิงเบี่ยงเลี่ยงอันตราย ร่างกายใกล้ขอบชายป่าขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นช่วงที่มืดสนิทที่สุด ความหนาวเย็นยามราตรีบุกรุกมาทุกทิศทางจากพื้นที่ต้องห้าม โชคดีที่สวี่ชิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่ตลอด ร่างกายสร้างความร้อนขึ้นมาโดยสัญชาตญาณจึงต้านทานความหนาวเย็นได้เล็กน้อย

เพียงแต่…ขณะที่เขาเร่งรุดไปข้างหน้า ความหนาวเย็นนี้ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป ร่างของสวี่ชิงก็หยุดลงฉับพลัน จ้องมองด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ด้านหน้าเขาปรากฏหมอกผืนใหญ่มาจากในป่า

ปราณหมอกเข้มข้นมากนี้แผ่ซ่านมาจากที่ไกลๆ แต่แตกต่างกับหมอกเลือดเสียงเพลงที่สวี่ชิงเห็นมาก่อนหน้า มันราวกับไม่มีแรงกดดันที่รุนแรงนัก

เพียงแต่เมื่อมองไปยังจุดที่ถูกปราณหมอกปกคลุมล้วนเลือนรางไปหมด จนไม่อาจมองบริเวณรอบๆ ได้ชัดเจนนัก

โดยเฉพาะการบดบังของปราณหมอกยิ่งรุนแรงขึ้นในราตรียามนี้ สวี่ชิงคิดจะหลีกเลี่ยง แต่เขาวิ่งอย่างเร็วมานานแล้ว สิ่งที่เห็นก็ยังเป็นเพียงปราณหมอกที่รุกคืบเข้ามา

เขารู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร

กางเขนกับเขี้ยวหงส์เคยพูดไว้ขณะที่เพิ่งเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามว่า อันตรายในพื้นที่นี้มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าหมอกลวงตา

ถ้าหากถูกหมอกนี้ปกคลุม ผู้คนจะสูญเสียทัศนวิสัยและหลงทางไปในที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้นหากปราณหมอกนี้ก่อตัวขึ้นมา ก็ต้องใช้เวลานานมากถึงจะสลายไปเอง

สวี่ชิงคิดว่าถึงแม้ตนเองจะสามารถทนจนถึงช่วงที่หมอกสลายได้ ไอพลังประหลาดในร่างกายไม่มีทางปะทุขึ้น แต่หัวหน้าเหลยที่อ่อนแอนั้นไม่ไหว หากถูกขังอยู่ในนั้น ไม่นานก็คงจะกลายพันธุ์จนตายเป็นแน่

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงจำต้องถอยหลัง คิดอ้อมปราณหมอกไปวงนอกที่กว้างกว่า

แต่…ปราณหมอกก็ใหญ่เกินไป ต่อให้เขาจะเร็วเพียงใด ก็ยังตกอยู่ในพื้นที่ที่มีปราณหมอกห้อมล้อมอยู่ดี ไม่มีที่ให้หลบซ่อน ถูกปราณหมอกโถมกลืนอยู่ด้านใน

และเพียงไม่นาน ปราณหมอกผืนนั้นที่โถมกลืนจุดที่สวี่ชิงอยู่ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเบาบางลง ท้ายสุดก็ปรากฏร่างที่น่าจะเป็นสวี่ชิงออกมา

เขาก้มหน้าลง มองเห็นใต้เท้าของตนเอง

ยามค่ำคืนไม่มีเงา แต่สวี่ชิงก็ยังสัมผัสได้ว่าปราณหมอกข้างกายเวลานี้กำลังหลั่งทะลักเข้าไปใต้เท้าของตนเอง

ราวกับว่าเงาที่มองไม่เห็นก่อตัวเป็นกระแสวนแล้วดูดกลืนปราณหมอกจากทุกทิศทาง

ความเร็วการดูดกลืนนี้ไม่ได้รวดเร็วนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ทันไรก็เหมือนจะอิ่มเสียแล้ว ไม่มีการดูดกลืนต่ออีก ทำให้ปราณหมอกกลืนตัวสวี่ชิงเข้าไปอีกครั้ง

แต่…หลังจากเงาดูดกลืนเสร็จสิ้นก็มีพลังสะท้อนทะลักเข้ามาในร่างกาย รวมเข้ามาที่ตาทั้งสองของสวี่ชิง จุดที่มองไปในปราณหมอกที่หนาแน่นกลับกลายเป็นโปร่งใสไปเสียแล้ว

บางทีคงใช้คำว่ามองเห็นมาเปรียบเปรยไม่ได้ มันคือการสัมผัสถึง!

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าปราณหมอกยังอยู่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเข้มข้นหนาแน่นมาก แต่ในประสาทสัมผัสของเขาเหมือนจะแค่ลางเลือน ต่างจากการบดบังทัศนวิสัยจนทำให้คนต้องหลงทางอยู่ลิบลับ

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงหายใจถี่เร็วขึ้น ก้มหน้าลงมองยังเงาที่มองไม่เห็นใต้เท้าตนเอง

“เจ้า คืออะไรกันแน่…” สวี่ชิงเอ่ยเสียงต่ำ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้นสำรวจไปรอบทิศ นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วเร่งเคลื่อนไหวทันที ไม่ลดความเร็ว พุ่งทะยานไปในหมอกหนาราวกับภูตผี

สวี่ชิงที่วิ่งทะยานอยู่ในหมอกหนาแน่นนี้ไม่นานก็มองเห็นคนเป็น

เป็นคนเก็บกวาดสองคน

สวี่ชิงจำได้ว่าเหมือนเคยเห็นอยู่ในฐานที่มั่น ทั้งสองคนเวลานี้จูงมือกันเดินไปเบื้องหน้าช้าๆ ราวกับคนตาบอดในหมอกหนา

แต่สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าอันที่จริงเส้นทางที่พวกเขาเดินไปนั้นวนเป็นวงกลม และเหมือนพวกเขาเองก็รับรู้แล้ว เม็ดเหงื่อบนหน้าผาก ลมหายใจหอบหนัก แสดงถึงความตึงเครียดและความสิ้นหวังต่ออนาคตของพวกเขาออกมา

มองสองคนนี้ผาดหนึ่ง สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา ร่างกายโยกไหวจะจากไป

เขาไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจมากนัก ชีวิตในโลกอันโหดร้ายนี้ การช่วยคนอย่างไม่มีเป้าหมายจะสะท้อนกลับมาทำร้ายตนเอง เห็นตัวอย่างมาแล้วมากมายในถ้ำยาจก

แต่สำหรับคนที่ถูกบดบังทัศนวิสัย ความสามารถในการฟังจะยิ่งเฉียบคมขึ้นในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสัมผัสถึงเสียงก้าวเท้าขณะที่สวี่ชิงจากมาได้

ทั้งสองคนสีหน้าตึงเครียดขึ้นทันที พวกเขาไม่อาจยืนยันได้ว่าสิ่งที่ส่งเสียงมาคือคนหรือสัตว์ หนึ่งคนในนี้จึงคำรามกราดเกรี้ยวเสียงต่ำออกมาราวกับจะขู่ให้กลัว

แต่อีกคนหนึ่งกลับตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดัง กระทั่งล้วงเอาลูกกลอนขาวกับเหรียญวิญญาณจากถุงหนังออกมาแสดงความจริงใจ รับปากว่าจะส่งมอบให้ ขอแค่ให้รอดชีวิตเพียงเท่านั้น

สวี่ชิงหยุดเท้า หันหน้าไปมองยังลูกกลอนขาวในมือคนผู้นั้น จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของหัวหน้าเหลยที่อยู่บนหลัง

หลังจากคิดครู่หนึ่งจึงรื้อค้นในถุงหนัง หยิบเทียนเล่มหนึ่งออกมาจุด ทำให้จุดที่อยู่นี้มีแสงขึ้นมา เพียงแต่แสงไฟนี้ริบหรี่เหลือเกิน และกำลังจะมอดดับลงอย่างช้าๆ เพราะแรงกดดันจากปราณหมอก

สวี่ชิงถือโอกาสที่แสงไฟยังไม่มอดดับถอยหลังห่างออกไปเล็กน้อย มองไปยังคนสองคนไม่ไกลนัก เอ่ยขึ้นช้าๆ

“เดินไปทางขวาเจ็ดก้าว จากนั้นไปทางซ้ายสิบก้าว…”

ร่างของคนเก็บกวาดทั้งสองคนสั่นเครือเพราะเสียงที่ส่งมาของสวี่ชิง ใบหน้าเผยความยินดีลิงโลดออกมา หายใจหอบถี่ทำตามที่สวี่ชิงชี้แนะทันที

พวกเขาหมุนซ้ายหมุนขวาภายใต้การชี้แนะของสวี่ชิงไม่นานก็เลี่ยงจุดอันตรายออกมาได้ ปราณหมอกตรงหน้าก็เบาบางลงช้าๆ เพราะเข้าใกล้จุดที่ไฟอยู่

จนกระทั่งพวกเขาเดินเข้าไปในในอาณาเขตของไฟเทียนที่ใกล้มอดดับ ขณะถูกแสงไฟสะท้อน ก็ราวกับคนตาบอดที่เห็นแสงสว่างอีกครั้ง โถมตัวล้มลงไปหาเทียนในพริบตา อารมณ์ตื่นเต้นปะทุขึ้นมาอย่างแรงกล้า

ส่วนสวี่ชิงเวลานี้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ถึงแม้แสงไฟจะส่องสะท้อนเพียงเล็กน้อยแต่ร่างเงาก็ยังคงเลือนราง จ้องมองสองคนที่กำลังตื่นเต้นตรงหน้านี้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ส่งลูกกลอนขาวมาให้ข้า”

หนึ่งคนในนี้ร่างกายสั่นเครือ หลังรอดพ้นจากภยันอันตรายจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย โยนถุงหนังที่ใส่เหรียญวิญญาณกับลูกกลอนขาวบนตัวส่งไปให้สวี่ชิงทันที รีบร้อนขอบคุณ

ทว่าอีกคนหนึ่งขณะกำลังจะหยิบยาลูกกลอนบนตัวออกมา หลังจากที่สายตากวาดไปเห็นร่างสวี่ชิง จึงสะกดความตื่นเต้น

เพราะสวี่ชิงอยู่ในที่มืดโดยมีปราณหมอกบางๆ พันโอบอยู่รอบๆ ดังนั้นคนผู้นี้จึงมองหน้าสวี่ชิงไม่ชัด เห็นเพียงร่างผอมเล็ก รวมไปถึงบนหลังเหมือนจะแบกคนที่กำลังสลบอยู่คนหนึ่งเอาไว้ ในดวงตาเขาจึงมีประกายขึ้นมา แต่ใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้ม เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีจริงใจ

“น้องชาย ลูกกลอนขาวบนตัวข้า ข้ากินไปจนหมดแล้ว แต่เจ้าวางใจเถอะ รอจนหมอกสลายหาย ถ้าเจ้ามีวิธีพาข้าออกไป ข้าจะตอบแทนเจ้าเป็นสองเท่าเลย”

พูดจบ ดวงตาเขากระพริบเล็กน้อย มองไปยังสวี่ชิง มีความอยากจะลองของ

เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เขาเวลานี้ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้มอบของออกเร็วเกินไปบ้างแล้ว

สวี่ชิงมองคนเก็บกวาดที่ไม่มอบลูกกลอนขาวให้เขาผาดหนึ่ง ไม่พูดจา

เพียงยกมือขวาขึ้นโบก ลมพัดมาไฟเทียนจึงดับลงทันควัน รอบด้านตกอยู่ในหมอกลวงตา มืดมิดอีกครั้ง

ขณะที่เสียงตกใจดังลอดมาจากปากคนเมื่อครู่ สวี่ชิงก็โยกตัวเข้าประชิด ดึงถุงหนังบนตัวเขาออกมา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบ สะท้อนก้องไปทั่วทิศ

“ไม่ต้องแล้ว เจ้าก็อยู่ในนี้ไปแล้วกัน”

“เดี๋ยวก่อน ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ข้าจะให้ลูกกลอนขาวกับเจ้า ข้า…”

คนผู้นี้ร้อนรนขึ้นมา คิดจะไล่คว้าอะไรบางอย่าง แต่ร่างกายก็ดันสะดุดท่อนไม้ใต้เท้าจนล้มลง

ขณะที่ลุกขึ้นมา ลมหายใจเขาก็ร้อนรนขึ้นไปอีก ความรู้สึกสำนึกผิดอันแรงกล้าแผ่ซ่านมาจากจิตใจ

“น้องชาย เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน ข้า…”

สวี่ชิงไม่สนใจการร้องป่าวของอีกฝ่าย เดินตรงไปยังอีกคนที่ให้ลูกกลอนขาวเขา

ปัจจุบันคนผู้นี้สีหน้าหวาดผวา อยู่ท่ามกลางหมอกลวงตาอีกครั้งก็ตื่นตกใจ ขณะที่เขายังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้ สวี่ชิงก็เดินผ่านตัวเขา เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เดินตามเสียงเท้าของข้ามา”

กล่าวจบ สวี่ชิงก็ไม่หันมอง ออกเดินหน้าต่อ และหลังจากที่คนผู้นั้นได้ยินคำพูดของสวี่ชิง ก็ฟังเสียงแล้วเดินตามด้วยอาการหายใจหอบถี่ทันที รู้สึกยินดีอย่างยิ่งจากก้นบึงของหัวใจที่ตนเองเพิ่งจ่ายค่าตอบแทนอย่างรวดเร็วไปเมื่อครู่

โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินเสียงโหยหวนร้อนรนที่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นการด่ากราดจากด้านหลังที่การอ้อนวอนไม่เป็นผล ความสิ้นหวังในเสียงนั้นทำให้ก้นบึ้งจิตใจเขาสั่นสะท้าน ความรู้สึกเคารพศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อเจ้าของเสียงฝีเท้าด้านหน้าเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก