ราชอาณาจักรรูติน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทวีป ภายใต้พื้นที่ควบคุมมีเมืองหลวง เมืองใหญ่เจ็ดเมือง เมืองย่อยสิบห้าเมือง และหมู่บ้านขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วกว่าร้อยหมู่บ้าน

เพราะอยู่ติดทั้งทะเลและภูเขา ทำให้มีสินค้าจำพวกอาหารทะเลและผักภูเขามากมาย เป็นที่ต้องการของเหล่านักเดินทาง

โดยปกติแล้วในเมืองหลวงจะมีผู้คบเดินอยู่ตามถนนอย่างคับคั่ง…แต่ในวันนี้ ความปกตินั้นได้จบลง

ประชากรจำนวนมากพยายามหอบข้าวของให้มากที่สุดเท่าที่จะเอาไปได้ แข่งกันว่าใครจะหนีรอดไปได้ก่อน

ประชากรเหล่านี้หวาดกลัวทัพปีศาจที่ยกทัพเข้ามาใกล้เข้าไปทุกขณะ

การต่อสู้แห่งโชคชะตาที่เดิมพันด้วยความอยู่รอดของอาณาจักรอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่มาก เหล่าทหารพยายามดิ้นรนต่อต้านกองทัพปีศาจเอาไว้อยู่

ยกทหารมากันหมดปราสาท รวมไปถึงเหล่านักเวทย์ กระทั่งกองทหารสมทบจากขุนนางทั้งกลายก็ถูกส่งมายังสนามรบนี้

เหล่าชายฉกรรจ์รวมตัวกันเป็นกองทัพอาสาสมัคร ส่งเสียงให้กำลังใจกันอย่างกล้าหาญ

นี่เป็นครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียว ที่ผู้คนเหล่านี้ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นศัตรูกัน รวมตัวกันสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ เปลี่ยนความตายของสหายร่วมรบให้เป็นพลังใจ เพื่อขับไล่สิ่งผิดมนุษย์เหล่านี้ออกไปจากบ้านเกิดอันเป็นที่รัก

เหล่าราชวงศ์ก็เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้เพื่อเสริมสร้างกำลังใจของเหล่าทหาร ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อต่อสู้กับภัยอันตรายที่ถาโถมเข้ามา

“โฮ่ว…พยายามกันไม่เลวเลย สำหรับพวกมนุษย์ชั้นต่ำน่ะนะ”

“ยักษ์” ขนาดมหึมานั่งอยู่บนหลังสุนัขสามหัว มองไปที่กองกำลังต่อต้านด้วยความดูหมิ่น

ร่างกายสูงกว่าสามเมตร ขนสีดำทมิฬปกคลุมร่างกาย เขาแหลมสองข้างงอกออกมาจากข้างศีรษะ

ถ้ามองดูใกล้ๆ ก็อาจจะบอกได้ว่ามีรูปร่างคล้ายกับวานร แต่พละกำลังที่แสดงออกมานั้นต่างกันอย่างไม่อาจเทียบได้

ทุกๆคนในสนามรบสามารถรู้ได้ทันทีว่านี่คือผู้นำของกองทัพปีศาจ

ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร แต่อย่างน้อยก็พอบอกได้ว่าไม่ใช่ปีศาจธรรมดาแน่

ปีศาจคือสัตว์ป่าที่ถูกครอบงำด้วยพลังของแม่มด และเจ้ายักษ์ตนนี้ไม่ใช่สัตว์ป่าแบบที่ใครเคยพบเห็น

พื้นฐานอาจจะดูคล้ายวานร แต่ทั้งขนาดและพละกำลังนั้นห่างกันเป็นโยชน์

ปีศาจที่ยิ่งกว่าปีศาจ ผู้คนเรียกปีศาจที่แข็งแกร่งเกินไปเช่นนี้ว่า “มหามาร”

มหามารนั้นจะถูกสร้างโดยแม่มดโดยตรง ทำให้มีพลังที่สูงส่งกว่าปีศาจธรรมดาอย่างมาก

แม่มดจะจับสัตว์มาหลากหลายชนิด เปลี่ยนพวกมันเป็นปีศาจ แล้วจึงปล่อยให้พวกมันฆ่ากันเองในกรง

ผู้ที่เหลือรอดจะต้องกลืนกินผู้ที่พ่ายแพ้ เปลี่ยนพวกมันเป็นมารร้ายที่อยู่เหนือปีศาจทั่วไป

ส่วนมากแล้วผลลัพท์ที่ออกมาก็จะเป็นแค่ปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าปกติ อย่างเช่นพวกมังกรที่ถูกเอลริสจัดการไป

ในเทพนิยายอาจจะมีตำนานอย่างเช่นมังกรครอบครองสติปัญญาสูงส่งและสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่ในความเป็นจริงไม่มีมังกรที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ หรือต่อให้มีก็ไม่มาก

ปีศาจเช่นมังกรนั้นไม่นับว่าเป็นมหามาร ถึงแม้พลังจะใกล้เคียงกัน สิ่งที่พวกมันครอบครองก็มีแค่พลังเท่านั้น

มหามารนั้นเกิดจากการวิวัฒนาการ เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตด้อยปัญญาให้มีปัญญาเทียบเท่าหรือยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดา

เพราะแบบนั้นสัตว์ที่กลายเป็นมหามารส่วนใหญ่จึงมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นหลัก โดยส่วนมากจะเป็นตระกูลวานร

มหามารประเภทอื่นก็มีอย่างสุนัข โลมา หรืออีกา

หรือก็คือจะต้องมีสติปัญญาตั้งต้นเพียงพอจึงจะกลายเป็นมหามารได้

อย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่สามารถกลายเป็นปีศาจได้ เนื่องจากร่างกายมนุษย์นั้นบอบบางเกินกว่าจะรับพลังของแม่มดได้ หากโดนเข้าไปก็จะตายก่อนได้กลายร่างเสียอีก

วิธีรการสร้างมหามารนั้นค่อนข้างจะตรงตัว แต่ก็ยากยิ่ง

99 ใน 100 ครั้งจะออกมาล้มเหลว

ปีศาจลิงนั้นไม่ได้แข็งแกร่งมาตั้งแต่แรก

หรือถ้าพูดให้ถูก โอกาสที่มันจะรอดการฆ่าฟันในกรงมาได้นั้นมีอยู่น้อยนิด

ผู้ที่โชคดีหรือผู้ที่ฉลาด หนีหรือหลบซ่อนตัวจนกว่าสัตว์ตัวอื่นๆจะอ่อนแรงแล้วจึงเก็บตกตัวสุดท้ายทำให้รอดมาได้

แต่ถึงจะรอดการต่อสู้มาได้ ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าร่างกายจะสามารถทนรับพลังที่ดูดกลืนมาได้

ส่วนมากก็มักพลาดในการได้กลายเป็นมหามาร และเสียชีวิตลงเหมือนมนุษย์

แต่ผู้ใดที่สามารถรอดความเป็นไปได้เล็กๆนั้นมาได้ ก็จะกลายเป็นระดับผู้นำทัพปีศาจ

“อย่าไปกลัวมัน! เดินหน้า! อย่าใจเสียไป!”

“เราชนะพวกมันได้น่า! อย่ายอมแพ้!”

“ถ้าเราแพ้ล่ะก็ ประเทศของเราก็จะล่มสลาย! นี่คือเวลาที่เราต้องยืนหยัดสู้มัน!”

ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนก็ยังไม่หมดหวัง

อย่างไรก็ตาม พลังที่มีนั้นไม่เพียงพอ จำนวนทหารก็ไม่เพียงพอ

การต่อสู้กับกองทัพปีศาจนี้ก็เป็นได้แค่แข่งความอดทน อยู่ที่ว่าจะแพ้ตอนนี้หรือแพ้ในอีกไม่นาน

“อย่ายอมแพ้นะ! อย่างน้อยก็ต้านซื้อเวลาไว้ให้ผู้คนหนีไปให้ได้มากที่สุด!”

มหามาร—ขอเรียกว่า วานรยักษ์ แล้วกัน เจ้าปีศาจตนนี้หัวเราะร่า

คำพูดของนายกองแห่งกองทัพมนุษย์ถือเป็นเรื่องน่าขันสำหรับมัน

ไอ้เจ้านั่นโง่รึเปล่าเนี่ย?

ประโยคนั้นขัดแย้งในตัวเอง

ทั้งที่บอกว่าอย่ายอมแพ้แท้ๆ แต่กลับพูดว่า”ซื้อเวลาให้ผู้คนหนีไป”ต่อท้าย นั่นก็หมายความว่ายอมแพ้ไปแล้วไม่ใช่รึไง? นี่เป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับวานรยักษ์เท่านั้น

ซื้อเวลา—คำพูดน่าสมเพชของพวกขี้แพ้

เป้าหมายถูกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เพื่อปกป้องประเทศอีกต่อไป เพราะรู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้น้อยที่สุด พวกเขาได้ทอกทิ้งใจที่อยากชนะไปแล้ว

เป็นคำพูดของผู้ที่ละทิ้งความเป็นไปได้ที่จะชนะ เป็นแค่คำให้กำลังใจตัวเองของผู้ที่ยอมรับความพ่ายแพ้เรียบร้อยแล้ว

“เอาล่า…ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเล่นบ้าง”

วานรยักษ์กระโดดลงจากหลังของสุนัขสามหัว และกระโจนใส่ใจกลางของกองทัพ

ทหารบางนายถูกน้ำหนักของมันบดขยี้เพียงลงเท้าถึงพื้น กระบองของมันกวาดไปรอบๆอย่างรุนแรง

ทหารจำนวนมากถูกฟาดปลิวกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง เกราะที่ควรจะปกป้องร่างกายแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“อุ อุหวาหวาหวา…”

“อย่าไปกลัว! นี่คือแม่ทัพฝั่งศัตรู! ฆ่ามัน!”

“แค่ฆ่ามันได้ทัพอีกฝ่ายก็จะแตกพ่ายแล้ว!”

ทหารจำนวนมากบุกเข้าใส่วานรยักษ์ที่บุกเข้ามาตนเดียว

วานรยักษ์ไม่สนใจความตั้งมั่นเหล่านั้น เพียงกวาดเหล่าทหารกระจายไปอีกครั้งด้วยกระบอง

เสียงชุดเกราะถูกบดขยี้ลั่นไปทั่วสนามรบ ร่างกายของทหารหลายนานถูกอัดกระแทกจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง

พลังของมหามารนั้นเทียบเคียงได้กับมังกร

พลังที่สามารถทำลายกำแพงปราสาทได้ง่ายๆ ผิวหนังที่ฟันแทงไม่เข้าด้วยดาบหรือหอก อึดทนจนสามารถต้านทานเวทมนตร์ได้ด้วยตัวเปล่า

หัวกะทิในหมู่หัวกะทิที่ถูกฝึกมาเพื่อปกป้องเซนต์ถูกเรียกว่า “อัศวินเวทมนตร์”…แค่คนเดียวก็เพียงพอที่จะต่อกรทหารได้ทั้งกองร้อย แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถสู้มหามารได้ด้วยตัวคนเดียว

ถ้าจะจัดการวานรยักษ์ตัวนี้ จำเป็นต้องใช้อัศวินในระดับนั้นจำนวนไม่น้อยถึงจะเอามันลงได้

ปีศาจตนนี้ไม่ใช่อะไรที่ทหารธรรมดาจะจัดการได้ไม่ว่าจะขนมาสักกี่ร้อยคน

ยิ่งเวลาผ่านไป จำนวนผู้เสียชีวิตของฝ่ายมนุษย์ก็ยิ่งมากขึ้นทุกวินาที

ในอีกไม่นานทัพก็จะแตกพ่าย และสุดท้ายประเทศของพวกเขาก็จะถูกเหล่าปีศาจเหยียบย่ำจนราบเป็นหน้ากลอง

อย่างน้อยที่สุดก็พอจะซื้อเวลาให้ประชาชนหนีไปได้

ใช้ชีวิตของพวกตนเป็นโล่ ทอดทิ้งความหวังที่จะชนะ…คอยญื้อเวลาให้ได้มากที่สุดโดยไม่ถอยหนี

—แต่สุดท้าย การต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่สูญเปล่า

“Fortune favors the bold”(โชคชะตาชื่นชอบผู้ที่กล้าหาญ)

เสียงหนึ่งก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคนราวกับกระดิ่ง

ทันใดนั้นเอง ดาบนับพัน ไม่สิ ดาบนับหมื่นที่สร้างขึ้นจากแสงก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าราวกับห่าฝน

ดาบทั้งหลายขจัดปีศาจทุกตนที่ขวางทาง และปักอยู่ตรงหน้าของเหล่าทหาร

จงดึง—ราวกับว่าดาบพูดกับพวกเขาเช่นนั้น

เมื่อทหารดึงดาบออกมา บาดแผลของพวกเขาก็ถูกรักษาเป็นปลิดทิ้งอย่างกับปาฏิหาริย์ พลังในร่างกายถูกเติมเต็มจนจะเอ่อล้นออกมา

ร่างกายเบาอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าอะไรก็ขวางพวกเขาไม่ได้แล้ว

เราชนะได้! จิตใจนักสู้ของเหล่าทหารกล้าถูกฟื้นฟูขึ้นมาพร้อมกับดาบในมือ ฟาดฟันมันเข้าใส่เหล่าปีศาจ

กลางท้องฟ้าเหนือหัวของพวกเขานั้นถูกปกคลุมด้วยแสงออโรร่า เด็กสาวปกคลุมด้วยแสงสีทองลอยลงมาจากสวรรค์

“โอ…ท่านผู้นั้น เธอคือ…”

“อา ไม่ต้องสงสัยเลย เธอจะต้องเป็น…”

เพียงแค่เธอปรากฏตัวก็ทำให้เหล่าทหารรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด บางนายถึงกับตกตะลึงจนลืมไปว่ายังอยู่กลางสนามรบ

ราวกับว่าสายตาเหล่านั้นไม่ทำให้เธอสูญเสียสมาธิแต่อย่างใด เธอผู้นั้นมองลงมายังวานรยักษ์ ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา

“เข้าใจล่ะ…เป็นมหามารนี่เอง ชั้นก็สงสัยอยู่แล้วว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างในระหว่างที่กำลังซ่อนตัวอยู่ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมีจำนวนมากขนาดนี้”

“เจ้า…เข้าใจล่ะ เจ้าคือเซนต์สินะ…”

วานรยักษ์เข้าใจแล้วว่าเด็กสาวคนนี้คือเซนต์ ความหวังของมนุษยชาติ มันจึงยกกระบองขึ้น

ถ้าเซนต์ตายซะที่นี่ ชัยชนะของแม่มดก็จะอยู่แค่เอื้อม

แม้เธอจะปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝัน แต่ในทางกลับกัน นี่ก็เป็นโอกาส

วานรยักษ์ไม่มีทางพลาดโอกาสนี้ที่เธอมาด้วยตัวคนเดียวโยไม่มีคนคุ้มกัน

“เจ้าช่างโง่เขลานักที่มาที่นี่ ข้าจะฆ่าเจ้าและฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ แล้วกำลังใจของพวกมนุษย์ก็จะตกต่ำถึงขีดสุด”

“ก็ไม่เคยคิดแบบนั้นหรอกนะ แต่หัวใจของผู้คนน่ะไม่มีทางแตกสลายง่ายๆเพียงเพราะชั้นตายไปหรอก ถึงแม้ชั้นจะหายไป ความหวังของมนุษยชาติก็จะคงอยู่ อีกอย่างหนึ่ง…”

เซนต์—เอลริสรวบรวมแสงบนฝ่ามือ

จากนั้นจึงปล่อยมันออกไป

“อย่างน้อยที่สุด ชั้นจะยังไม่หายไปในตอนนี้…’Cut your coat according to your cloth’”

แสงนั้นถูกเปลี่ยนเป็นใบดาบและพุ่งไป

ปีศาจถูกกำจัดไปทีละตัวสองตัว จำนวนของพวกมันลดลงอย่างรวดเร็ว

วานรยักษ์เริ่มกระวนกระวาย มันเริ่มสั่งการกองทัพ

“ยิงเจ้านั่นซะ! เอามันลงให้ได้!”

สุนัขสามหัวพ่นลูกไฟใส่ รวมถึงพวกปีศาจที่มีความสามารถในการโจมตีระยะไกล

ลูกไฟนั้นร้อนพอที่จะทำให้เกราะบนพื้นที่มันบินผ่านละลาย ผสานด้วยการโจมตีจากปีศาจตนอื่นๆตามมาติดๆ

พวกปีศาจมีปีกก็บินพุ่งเข้าใส่เธอในเวลาเดียวกัน แต่ลูกไฟที่พุ่งเข่าใส่เอลริสเป็นลูกแรกถูกขยายใหญ่ขึ้น และทำลายการโจมตีอื่นๆที่ตามมาทั้งหมดรวมถึงผู้โจมตี

เป็นบาเรียสะท้อนการโจมตีที่ถูกใช้ที่สถาบันเมื่อก่อนหน้านี้

เอลริสนำนิ้วชี้มาไว้ที่ริมฝีปาก

“Out of the mouth comes evil”(แปลว่า ปากพาจน)

เวทมนตร์ถูกใช้งานในขณะที่เหล่าปีศาจเตรียมพร้อมรับการโจมตีนั้น

…แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เวทมนตร์ผิดพลาดงั้นเหรอ? ปีศาจตนหนึ่งหัวเราะเยาะให้กับความคิดนั้น

—ทันใดนั้น อัสนีบาตตกลงมาจากฟากฟ้า ผ่าลงกลางหัวของปีศาจตนนั้นอย่างแม่นยำ

“กิ!? –ก๊าาาา!”

ปีศาจอีกตนที่ตกใจกับสิ่งนั้นส่งเสียงร้องออกมา แล้วก็ถูกฟ้าผ่าเช่นเดียวกัน

เหล่าปีศาจเริ่มกระวนกระวายและส่งเสียงร้องออกมาทีละตัวสองตัว สายฟ้าก็ผ่าลงมาทำลายพวกมันอีกท่ามกลางความงงงวยนั้น

“นะ นั่นมัน…? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”

ทหารฝ่ายมนุษย์ก็สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นและพูดออกมา แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา

ดูเหมือนว่าเวทมนตร์นี้จะไม่ส่งผลกับพวกเดียวกัน

ปีศาจที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ส่งเสียงร้องออกมาทำให้โดนฟ้าผ่า ปีศาจทุกตัวที่เปิดปากออกล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วง

คำตอบที่ถูกต้องก็คือ”เสียง” ศัตรูตนใดที่ส่งเสียงออกมาจะถูกโจมตีด้วยสายฟ้าฟาด

ฟ้าผ่าลงมา ทำให้ปีศาจที่อยู่ใกล้ๆกรีดร้อง และเจ้าตัวที่กรีดร้องก็ถูกฟ้าผ่าต่อ

วังวนที่โหดร้ายนี้เป็นไปอย่างไม่ยอมหยุด เปลี่ยนปีศาจทั้งหลายเป็นศพดำไหม้เกรียม

ไม่ใช่แค่นั้น ตัวเอลริสเองยังถือดาบที่สร้างจากแสงลงมาสู้ด้วยตัวเอง

ปีศาจในบริเวณใกล้เคียงถูกตัดออกเป็นท่อนๆ ถึงแม้ตัวดาบจะยื่นไม่ถึงพวกมันด้วยซ้ำ

ศพแรกผ่านไป ศพสองศพสามค่อยๆผ่านไป ด้วยความเร็วของเอลริสและวิชาดาบ ในตอนนี้เหลือเพียงวานรยักษ์ที่ยังยืนอยู่ได้

“…….”

เพราะไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ จึงทำได้เพียงมองเอลริสด้วยสายตาที่เกลียดชัง

ถ้ามันส่งเสียงล่ะก็จะถูกฟ้าผ่าแน่

ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้ก็เพราะมีแค่มันที่เข้าใจถึงเรื่องนั้น

แต่ถึงรู้อย่างนั้น มันก็ทำอะไรไม่ได้ จะสั่งการก็ไม่ได้

“อย่าส่งเสียง ถ้าส่งเสียงล่ะก็จะถูกฟ้าผ่า” ถึงจะอยากบอกแบบนั้น แต่มันนี่แหละที่จะถูกฟ้าผ่าตั้งแต่ที่คำแรกหลุดออกจากปาก

เป็นวิธีที่น่าสะพรึงกลัวในการปิดปากผู้บังคับบัญชา

ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการที่เก่งมาจากไหน หรือเป็นนักวางแผนที่เก่งกาจอย่างไร ก็คงทำอะไรไม่ได้หากถูกฆ่าโดยทันทีที่เปิดปาก

อาจจะสามารถสั่งการได้โดยใช้การเขียนแทน แต่ไม่มีกองทัพไหนว่างพอจะมาทำอะไรแบบนั้นหรอก

“—–!”

วานรยักษ์โจมตีเอลริสทั้งที่ยังเงียบอยู่

แต่ก่อนที่จะเข้าถึงตัวเอลริส ทหารถือดาบที่สร้างจากแสงก็เข้ามาขวางและแทงมันเข้าให้

สีหน้าอันสงบของเอลริสไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย

ตุบ

วานรยักษ์ล้มลงกับพื้น….คุกเข่าไปยังทิศทางที่เอลริสอยู่และก้มหัว

กุมมือเข้าด้วยกันทำท่าเหมือนร้องขอชีวิต

ไม่สิ นั่นแหละคือสิ่งที่มันทำอยู่

มันกำลังร้องขอชีวิตอย่างจริงจัง

เอลริสเดินเข้าหาวานรยักษ์อย่างช้าๆ

“ท่านเอลริส อย่าเข้าไปครับ!”

“ใช่ครับ! อย่างมันไม่สมควรได้รับความเมตตาจากท่านหรอก!”

“มันก็แค่พยายามลวงให้ท่านลดการป้องกันลงครับ! กรุณาถอยไปเถิด!”

ถึงแม้เหล่าทหารจะร้องเตือน เอลริสก็ยังไม่หยุดเท้า

เธอโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือออกไป

เธอเป็นเซนต์ที่แท้จริง ทั้งภายนอกและภายใน

เธอผู้เมตตาไม่อาจทำใจทอดทิ้งผู้ที่ร้องขอความเมตตาได้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะทำบาปมามากแค่ไหน

แต่ก็อย่างที่คาด นั่นเป็นความผิดพลาด

ในโลกนี้มีผู้ที่จะไม่ยอมรับความเมตตานั้นไม่ว่าจะให้ไปมากเท่าใด

เหยียบย่ำความรู้สึกของผู้อื่น ไม่สนว่าจะต้องใช้วิธีใดตราบที่ได้รับชัยชนะมา

ผู้ที่โง่เขลาจนเกินเยียวยา ชั้นต่ำเสียยิ่งกว่ามูลสุนัข

มันลุกขึ้นและกระโจนเข้าใส่เซนต์ที่อุตส่าห์ยื่นมือเข้าช่วยเหลือมัน

“ท่านเซนต์!”

“เดี้ยวก่อน อย่ายิง! เดี๋ยวท่านเซนต์โดนลูกหลง!”

มือขนาดใหญ่ของวานรยักษ์คว้าร่างเล็กๆของเอลริสไว้ได้

มันพยายามที่จะบีบขยี้เธอให้แหลกคามือ

ในเวลาเดียวกับที่เสียงของการบตขยี้ดังขึ้น รอยยิ้มที่บิดเบี้ยวจากชัยชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน

แต่สีหน้านั้นกลับอยู่ได้เพียงชั่วพริบตา สีหน้าของมันกลายเป็นความเจ็บปวด ซึ่งส่งตรงมาจากแขนของมัน

สิ่งที่ถูกบดขยี้นั้นไม่ใช่เอลริส แต่เป็นนิ้วของวานรยักษ์เอง

เอลริสนั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเวทย์ป้องกัน

บาเรียที่จะสะท้อนการโจมตีกลับด้วยความรุนแรงถึงสามเท่า

วานรยักษ์บดขยี้นิ้วของตัวเองแทนที่เอลริส

ด้วยความเจ็บปวดนั้นมันจึงจำต้องปล่อยตัวเอลริสลง และหันมาพูดกับเธอด้วยความเคียดแค้น

“เจ้า…ทำเป็นว่า…โดนหลอก…”

ใบหน้าของเอลริสนั้นยากที่จะอ่าน…หากไม่สังเกตให้ดีๆ ก็จะไม่รู้เลยว่าเธอนั้นยิ้มอยู่บางๆ ก่อนที่จะหันหลังกลับไป

รอยยิ้มนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน?

เป็นการเยาะเย้ยวานรยักษ์ที่พยายามจะหลอกลวงเธอ แต่กลับโดนหลอกเสียเองอย่างนั้นหรือ?

ไม่ ผิดแล้ว เธอคงพยายามที่จะเชื่อใจมัน และนั่นทำให้เธอเศร้าใจ

นั่นคงเป็นการเยาะเย้ยตัวเองที่ยอมเชื่อใจ ทั้งที่รู้ว่าอย่างไรก็จะถูกหักหลัง…

ไม่ว่าจะอย่างไร สีหน้านั้นเพียงบ่งบอกได้ว่าเธอนั้นมีจิตใจดีงามแค่ไหน

ที่เบื้องหลังของเอลริส สายฟ้าฟาดเข้าใส่วานรยักษ์— และแล้วสงครามปกป้องราชอาณาจักรรูตินก็ปิดม่านลง