“โซราโอะ! ตาขวา! มันหลุดแล้ว!”
ฉันตกใจมาก ก่อนจะรีบเอามือขึ้นมาจับที่หน้า แล้วฉันก็รู้ตัวซักที; ตาขวาฉันมันไม่ได้หลุดจากเบ้าหรืออะไรแบบนั้นหรอก คอนแทคเลนส์สีของฉันมันไหลหลุดไป เขาก็เลยเห็นนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นสีฟ้าของฉันแล้ว
“พวกเธอ เป็นพวกเดียวกับพวกสัตว์ประหลาดมาตลอดงั้นเหรอ?”
จ่าสิบเกร็กถามออกมาช้าๆ พร้อมกับสีหน้าดีใจของเขาค่อยๆ หายไป
“โซราโอะ! วิ่งเร็ว!”
โทริโกะไหลก้นของเธอจากหลังคาลงไปที่กระโปรงหน้ารถ แล้วใช้โมเมนตัมตรงนั้นออกวิ่ง ฉันก็รีบตามเธอไปเหมือนกัน พวกเราวิ่งดาหน้าฝ่าออกไปจากตรงนี้ ทิ้งไรเฟิลกระบอกนั้นไว้ตรงนั้นเลย
“เดี๋ยว! ทางนั้นมันอันตรายนะ!”
ร้อยโทตะโกนเตือนพวกเรามาจากข้างหลัง
“อย่าไป―รถไฟจะมาถึงแล้วนะ!”
พวกเราวิ่งตัดผ่านค่ายพักไปจนถึงสถานีคิซารากิ โดยที่ยังไม่ทันทำความเข้าใจเรื่องที่เขาพูดเลย พวกเราวิ่งผ่านจุดตรวจตั๋วที่ไม่มีคนอยู่ และทันทีที่พวกเรามาถึงชานชะลา ฉันก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นอีกแล้ว
*แก๊ง… แก๊ง… แก๊ง… แก๊ง…*
“…เสียงตรงจุดตัดรถไฟนี่”
โทริโกะพูดขึ้นมายังกับเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งเลย มันไม่ใช่เสียงระฆัง มันเป็นเสียงกริ่งเตือนตรงจุดตัดรถไฟต่างหาก
ฉันเห็นแสงมาจากรางรถไฟทางซ้าย ตรงทาง [ความมืด] แสงไฟหน้าจากหัวขบวนรถไฟที่วิ่งตัดผ่านสถานีที่ไม่ควรจะมีอยู่จริง รถไฟที่แม้แต่เหล่านาวิกโยธินผู้เชี่ยวศึกก็ยังไม่อยากเข้าใกล้ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
พอฉันหันหลังไปมองผ่านจุดตรวจตั๋ว ฉันก็เห็นกลุ่มนาวิกนำโดยจ่าสิบเอกเกร็ก วิ่งไล่ตามพวกเรามา ตอนนี้ เราจะวิ่งข้ามรางรถไฟหนีเลยดีมั้ย? พอฉันเพ่งด้วยตาขวาเพื่อมองดูกลิตช์ ฉันก็เห็นว่า รถไฟที่วิ่งมาขบวนนั้น มันมีแสงสีเงินจางๆ หุ้มอยู่ด้วย ในภาพวูบวาบนั่น รถไฟที่วิ่งมามันเป็นภาพซ้อน ภาพนึงเป็นรถไฟเก่าสนิมเขรอะ อีกภาพนึง เป็นรถไฟแบบที่ทั้งใหม่กว่า ทั้งคุ้นตากว่าเลย
“นั่นไง! โทริโกะ! โทริโกะ! ทางออกของพวกเราอยู่นั่นแล้ว!”
“รถไฟน่ะนะ?”
โทริโกะเอี้ยวตัวออกจากชานชะลาไปดู
“โลกเบื้องหน้ากับโลกเบื้องหลังซ้อนทับกันตรงนั้น ถ้าเราขึ้นไปนั่งได้ ก็น่าจะพาเรากลับไปได้นะ”
โทริโกะมองดูรถไฟที่วิ่งเข้ามา สายตาหรี่เล็กด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
“แต่มันดูเหมือนจะไม่ได้จอดแวะที่สถานีนี้เลยไม่ใช่เหรอ?”
ก็จริงนะ รถไฟขบวนนั้นดูไม่มีทีท่าจะชะลอลงเลย
“จะรอขบวนต่อไปมั้ยล่ะ?”
ฉันถามแบบนั้นดู พอโทริโกะหันกลับมาจ้องหน้าฉัน ฉันก็ส่ายหน้าอย่างจริงจัง
“ล้อเล่นน่า เราต้องขึ้นไปนะ โทริโกะ”
“ยังไงล่ะ?”
“…ยืมมือเธอหน่อยนะ”
พอโทริโกะรู้สึกถึงบางอย่างในประโยคที่ฉันพูด เธอก็ขมวดคิ้วเลย
“เธอจะให้ฉันจับอะไรแปลกๆ อีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย?”
“ก็ไม่ปฏิเสธล่ะนะ”
“ว่าแล้วเชียว!”
ถึงเธอจะร้องออกมาด้วยน้ำเสียงอารมณ์เสีย แต่เธอก็ถอดถุงมือออกอยู่ดี นิ้วโปร่งแสงในมือซ้ายของเธอก็เผยออกมา แสงจากไฟหน้าของรถไฟวิ่งผ่านและหักเหนิ้วของเธอ จนเกิดเป็นประกายระยิบระยับดูแปลกตาเลย
“จะให้ฉันทำอะไรล่ะ?”
“พอฉันให้สัญญาณ ก็กำอะไรก็ตามที่จับได้นั่นให้แน่นเลยนะ แล้วก็ดึงมันให้สุดแรงไปเลย ดึงแบบจะฉีกมันให้ขาดน่ะ”
แสงสีเงินนั่นเหมือนจะเป็นผิวสัมผัสร่วมที่ทั้ง 2 โลกสัมผัสกัน ถ้าเกิดฉันมองเห็นได้ โทริโกะก็สัมผัสมันได้
“ไม่รู้สิ… มันอันตรายหรือเปล่า?”
“อันตรายสุดๆ เลยล่ะ เวลาก็กระชั้นมากเลยด้วย”
“ไม่มั่นใจอะไรแล้วแฮะแบบนี้”
ฉันใช้มือซ้ายจับมือขวาของโทริโกะเอาไว้แน่น ฝ่ามือของเธอที่ถอดถุงมือหนังออกตอนนี้เหงื่อชุ่มไปหมดเลย รถไฟใกล้จะมาถึงที่นี่แล้ว ฉันยิ้มให้เธอ ทำเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“เดี๋ยวเราก็จัดการได้นั่นแหละน่า พวกเรามีกันตั้ง 2 คนนี่เนอะ”
โทริโกะอึ้งจนปิดปากสนิทเลย
“เดี๋ยว นั่นมันคำพูด―”
“เอาล่ะนะ!”
“กรี๊ดดดดดด!?”
ฉันโดดลงจากชานชะลา ดึงมือของโทริโกะตามมาด้วย พุ่งตัวเข้าหารถไฟที่วิ่งตรงเข้ามา ไฟหน้าของรถไฟทำให้ภาพเงาของพวกเรายืดยาวออกไปตามแนวรางรถไฟ รถไฟส่งเสียงลั่นสั่นสะเทือนไปตามราง พลางวิ่งเข้ามาใกล้พวกเราเรื่อยๆ
น่ากลัว―น่ากลัวเป็นบ้าเลย! ฉันเห็นโทริโกะที่ตัวยังลอยอยู่กลางอากาศตรงมุมหางตา เธอหลับตาปี๋เลย ก็นะ ฉันเองก็อยากหลับตาของตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ แต่ทำได้ซะที่ไหนเล่า ฉันต้องมองเอาไว้จนกว่าจะถึงเสี้ยววินาทีสุดท้าย ถ้าเกิดฉันหลับตาด้วย พวกเรา 2 คนต้องถูกรถไฟนี่ชนตายแน่ แล้ว ฉันก็ตะโกนลั่น
“เอาเลย!!”
ฉันกำมือซ้ายของโทริโกะ แล้วก็เหวี่ยงสุดแรง ฉันเห็นม่านระหว่าง 2 โลกถูกฉีกออก พร้อมๆ กับที่พวกเราโดนดูดเข้าไปในรอยแยกที่เราฝืนแหกมันออก รถไฟขบวนนี้ก็วิ่งเลยผ่านสถานีคิซารากิไป
“อึก!”
ฉันร้องขึ้น เพราะแรงกระแทกที่ตัวเองถูกโยนลงกับพื้นรถ ตอนนี้ ฉันนอนตะแคงหายใจรัว พอมองไปที่โทริโกะที่นอนอยู่ข้างๆ เธอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ อย่างหวาดระแวง
“…ยังไม่ตาย”
ถึงจะยังมึนๆ อยู่บ้าง แต่ฉันก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ทันทีที่ฉันทำแบบั้น ฉันก็เห็นกับภาพที่ทำเอาขนทุกเส้นทั่วร่างลุกชูชันเลย แล้วก็พุ่งเข้าไปปิดตาโทริโกะโดยที่ไม่ต้องสั่งร่างกายให้ทำแบบนั้นด้วยซ้ำ
“เอ๋! เดี๋ยว! ทำอ―”
“ม- ไม่ได้ อย่าเพิ่งมองนะ”
ฉันบอกเธอด้วยเสียงที่สั่นไปหมด
ในขบวนรถตอนนี้ ยังมีภาพ 2 ภาพที่ซ้อนทับกันอยู่ ภาพนึงนี่แหละปัญหาใหญ่เลย ในขบวนรถผู้โดยสารเก่าๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากยุคไหน แต่ก็มีผู้โดยสารนั่งนิ่งเงียบกันอยู่จำนวนนึง ฉันเห็นมีบางคนใส่ชุดนาวิกด้วย แล้วตรงปลายทางไกลๆ ก็มีพวกตัวอะไรซักอย่างที่ดูเหมือนลิงไม่มีหาง ขนสีดำเข้ม กำลังใช้ทั้งคีม ทั้งมีด ทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ฆ่าผู้โดยสารพวกนั้นอย่างโหดร้ายทารุณ
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็มีเยอะแล้ว ทั้งเพดาน ทั้งพื้น ส่องประกายแสงออกมาจากทั้งเลือดทั้งอวัยวะภายใน พอพวกลิงชำแหละร่างของคนคนนึงเสร็จ พวกลิงก็เดินไปจัดการกับเหยื่อราวต่อไปอย่างไร้ความปราณี พวกเขาต้องรู้แน่ๆ ว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา แต่เพราะอะไรไม่รู้ ผู้โดยสารพวกนั้นถึงได้ไม่ขยับตัวเลยซักนิด จะพูดอะไรซักคำก็ไม่มี
ภาพนั่นน่ะ มันทั้งน่ากลัวและชั่วร้ายสุดๆ แค่มอง ฉันก็แทบจะกรี๊ดออกมาอยู่แล้ว มันรู้สึกเหมือนกับว่าเล็บมันขุดลงไปถึงส่วนควบคุมความกลัวของสมองตรงๆ เลย ฉันไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นตอนที่ปิดตาของโทริโกะเอาไว้ แต่ดีแล้วล่ะที่ฉันทำแบบนี้ ให้ฉันเห็นภาพที่โหดร้ายนี่คนเดียวก็พอแล้ว―อย่าให้โทริโกะต้องเห็นภาพพวกนี้เลย
ออ งี้เอง นี่สินะ สิ่งที่พวกนาวิกหวาดกลัวกัน ต้องเป็นเจ้านี่แน่ๆ―ภาพแสนโหดร้ายจากภายในขบวนรถไฟที่วิ่งตัดผ่านสถานี พวกเขากลัวว่ารถไฟจะจอดที่สถานีนั่น แล้วเปิดประตูออก
พวกลิงที่มีเลือดท่วมทั่วตัวหันมามองทางพวกเรา พร้อมกับฉีกยิ้มยิงฟันใส่ ภาพที่เห็นในขบวนรถค่อยๆ จางลงไป นี่ในที่สุด พวกเรากำลังจะออกมาจากโลกเบื้องหลังแล้วงั้นเหรอ…? ไม่ ไม่ใช่
ฉันกำลังหมดสติไปต่างหาก
TN: นี่ถ้าฉีกแสงสีเงินไม่ทัน ทั้งคู่ได้เทรนคุงพาไปเจอทาเนียแน่ครับ 555