ตอนที่ 17 พลีชีพ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา..
เป็นเวลาพักเที่ยงของจิงเฉิงกรุ๊ปพอดี พนักงานในบริษัทต่างก็พากันขึ้นไปที่โรงอาหารซึ่งอยู่บนชั้นที่ 23 ของอาคาร
บรรดาพนักงานขายที่วุ่นวายกับตลอดเช้า ก็เริ่มเก็บข้าวของทีละคน และเตรียมตัวที่จะไปรับประทานอาหารเที่ยงกันที่ชั้น 23
แต่ปรากฏว่า หลิวเฉียนกลับเดินออกมาพอดี พร้อมกับร้องตะโกนบอกลูกน้องในแผนกว่า “เอาล่ะทุกคน ฟังทางนี้!!”
และทุกครั้งที่คำพูดทำนองนี้ออกจากปากของหลิวเฉียน ก็มักไม่ใช่เรื่องดีทุกครั้ง คล้ายๆกับที่คุณครูชอบประกาศแบบนี้กลางห้องเรียนไม่มีผิด
แม้ทุกคนจะมีท่าทีละล้าละลัง แต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงออกต่อหน้าผู้จัดการแผนก ดังนั้น ทุกคนจึงวางข้าวของของตนเองลง พร้อมกับนั่งประจำที่ตามเดิม
สีหน้าของหลินหนานหงิกงอ และกำลังคิดอยู่ว่าจะกินอะไรตอนเที่ยงดี ตั้งแต่เช้ามายังไม่มีอะไรตกถึงท้องของเขาเลย อีกทั้งตอนที่ต่อสู้กับพวกอันธพาล เขาเองก็ใช้เรี่ยวแรงไปมากมาย ตอนนี้จึงรู้สึกหิวจนแทบหน้ามืด
“ฝ่ายการเงินแจ้งว่า มีใบแจ้งหนี้หลายใบของแผนกเราที่เรียกเก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้ และขอให้แผนกเราส่งคนไปจัดการตามเก็บเงินจากลูกค้าให้ได้โดยเร็วที่สุด”
พูดจบ.. หลิวเฉียนก็กวาดสายตามองลูกน้องในแผนก ก่อนจะถามทุกคนด้วยน้ำเสียงที่ลากยาว
“ในแผนกของเรา.. มีใครอาสาจะรับหน้าที่นี้บ้างมั๊ย?”
ทุกคนต่างก็ทำหน้าตาเลิกลัก และหันมองหน้ากันไปมาด้วยความงุนงง
“หัวหน้า ลูกค้ารายไหนกัน? แล้วจะให้พวกเราไปตามทวงหนี้จากลูกค้าเองเหรอครับ?” พนักงานเก่าในแผนกเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้
“นั่นน่ะสิ! ปกติเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเงิน แล้วก็ฝ่ายเร่งรัดหนี้สินไม่ใช่เหรอครับ ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายขายสักหน่อย!” พนักงานขายอีกคนเอ่ยขึ้น
ปกติพนักงานขายจะรับผิดชอบเพียงแค่ยอดขายเท่านั้น แล้วเหตุใดจุ่ๆ พวกเขาจะต้องมารับหน้าที่ทวงเงินลูกค้าด้วย?
แต่ในระหว่างที่ทุกคนรุมตั้งคำถามกับหลิวเฉียนนั้น เขาก็กระแอมออกมาเบาๆ แสดงออกถึงความไม่พอใจ และเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกคนหุบปาก!
พนักงานในแผนกจึงได้แต่นิ่งเงียบไปในทันที!
และท่าทีการแสดงออกเพียงแค่เล็กน้อยนั้น ทุกคนในแผนกต่างก็รู้ดีว่าหลิวเฉียนเริ่มจะโมโหมากแล้ว!
หลิวเฉียนพูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียดบึ้งตึง “ในเมื่อลูกค้าที่เก็บเงินไม่ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นลูกค้าที่ฝ่ายขายของเราหามาทั้งนั้น ในเมื่อลูกค้ายังไม่ยอมจ่ายเงิน พวกเราก็ควรต้องช่วยฝ่ายการเงินบ้างไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าจะอยู่แผนกไหน ก็คือพนักงานบริษัทเดียวกันทั้งนั้น จะช่วยกันบ้างไม่ได้หรือยังไง?”
หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำพูดของหลิวเฉียน พวกเขาก็แทบอยากจะอาเจียนออกมา..
ทุกคนล้วนเป็นพนักงานบริษัทเดียวกัน.. ต่อไปพวกเขาคงไม่ต้องไปทำความสะอาดห้องน้ำแทนแม่บ้าน หรือไปเฝ้าบริษัทแทนพนักงานรักษาความปลอดภัยหรอกหรือ?
ทำไมพนักงานฝ่ายขายถึงต้องมาแบกรับหน้าที่ของพนักงานฝ่ายอื่นๆด้วยเล่า?
“เอ่อ.. ผู้จัดการคะ ไม่ทราบว่าลูกค้าที่ค้างชำระเป็นลูกค้าของใครเหรอคะ?” ใครบางคนรวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“เป็นลูกค้าของอาจื่อที่ลาออกไปแล้ว ตั้งแต่ที่อาจื่อยังอยู่ ลูกค้ารายนี้ก็ยังมีหนี้ค้างชำระกับเราสูงถึงหนึ่งล้านสองแสนหยวน..” หลิวเฉินตอบกลับไปทันที
“ลูกค้าของอาจื่อเหรอคะ?”
ทุกคนในแผนกถึงกับร้องอุทานออกมาพร้อมกัน ในขณะที่ฉินเสี่ยวยู่ได้แต่นั่งตัวลีบ ใบหน้าซีดเผือด
“นี่คุณกลัวอะไรงั้นเหรอ? ก็แค่ลูกค้าของพนักงานขายคนเก่าไม่ใช่เหรอ?” หลินหนานกระซิบถามฉินเสี่ยวยู่ที่อยู่ข้างๆเสียงเบา
ฉินเสี่ยวยู่หันไปมองค้อน และหลินหนานเองก็เข้าใจความหมายในสายตาของหญิงสาวดี เธอคร้านที่จะพูดกับหลินหนาน เพราะเขาดูเหมือนไม่เข้าใจบรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมในการทำงานบริษัทเลยแม้แต่น้อย
หลิวเฉียน “ถึงแม้อาจื่อจะลาออกไปแล้ว แต่พวกเราในฐานะที่อยู่ฝ่ายขาย ต้องช่วยกันสะสางปัญหานี้ให้กับทางบริษัท!”
ช่างเป็นคำพูดที่เห็นแก่ตัวแล้วก็ไร้ยางอายชะมัด!
ช่วยบริษัท?! แล้วใครบ้างที่จะช่วยพวกเรา?
ลูกค้าของอาจื่อเป็นปัญหาที่หมักหมมมาเนิ่นนานมาก และทุกคนต่างก็รู้ว่า บริษัทแทบจะต้องตัดเป็นหนี้สูญไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ เคยมีพนักงานเร่งรัดหนี้สินหลายคนไปทวงหนี้ที่บริษัทนี้ ตอนไปก็อยู่ในสภาพที่ดีกันทุกคน แต่หลังจากนั้นต่างก็กลับมาในสภาพที่แทบดูไม่ได้
บ้างก็แขนหัก หรือไม่ก็ต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่โรงพยาบาลนานหลายวันเลยทีเดียว..
มีใครบ้างเล่าที่จะกล้าไปทวงหนี้ลูกค้าของอาจื่ออีก?
“แต่รับรองว่าผมไม่ให้พวกคุณเหนื่อยฟรีแน่ ผมเพิ่งจะปรึกษากับฝ่ายการเงินมา และได้บทสรุปว่า ถ้าพนักงานคนไหนสามารถทวงเงินก้อนนี้กลับมาได้ บริษัทจะให้ส่วนแบ่ง 10% ของเงินก้อนหนี้เป็นรางวัล..”
“สิบเปอร์เซ็นต์เหรอ?!”
หลินหนานพึมพำออกมา และคิดคำนวณเงินรางวัลสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยแววตาเป็นประกาย.. เท่ากับ 120,000 หยวน!!
นี่นับเป็นเงินก้อนโตสำหรับเขาเลยทีเดียว ในช่วงที่กำลังร้อนเงินเช่นนี้!
หากเป็นลูกค้ารายอื่น และด้วยเงินรางวัลก้อนโตถึงเพียงนี้ ทุกคนคงจะต้องเสนอตัวแย่งกันทำงานนี้แน่
แต่…
ลูกค้ารายนี้น่ากลัวเกินไป ทุกคนจึงได้แต่นิ่งเงียบ..
“อะไรกัน?!! ไม่มีใครกล้ารับงานนี้เลยเหรอ?” หลิวเฉียนกวาดตามองทุกคน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
พนักงานฝ่ายขายทุกคนได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง บางคนก็แสร้งทำเป็นมองเพดาน บางคนก็แสร้งเหม่อมองออกนอกหน้าต่าง ราวกับว่าทัศนียภาพด้านนอกอาคารนั้นงดงามอย่างมาก
และไม่มีใครกล้ามองหน้าหลิวเฉียนเลยแม้แต่คนเดียว..
รวมทั้งฉินเสี่ยวยู่ด้วย เธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองเล็บมือของตัวเอง..
“นี่คนสวย! ทำไมคุณไม่เสนอตัวรับงานนี้ล่ะ?” หลินหนานเอื้อมมือไปสะกิดแขนของฉินเสี่ยวยู่ พร้อมกับเอ่ยถาม
“ฉันไม่เอา..” ฉินเสี่ยวยู่กระซิบตอบกลับทันที
“เงินรางวัลตั้งสิบเปอร์เซ็นต์เชียวนะ! ถ้าพวกเราทำสำเร็จ ก็จะได้เงินจำนวน 120,000 หยวน นี่เป็นโอกาสที่ดีมากเลย ทำไมถึงไม่รีบคว้าไว้ล่ะ?” หลินหนานคะยั้นคะยอด้วยความสนใจ
“ฉันไม่สนใจ ถ้านายอยากทำ นายก็เสนอตัวเองสิ อย่ามายุ่งกับฉัน!” ฉินเสี่ยวยู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ห้วนยิ่งกว่าเดิม
ในใจได้แต่คิดว่า หลินหนานช่างไร้เดียงสา และไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ!
“หึ.. ไม่มีใครกล้าอาสาทำงานนี้เลยสินะ?” หลิวเฉียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ความจริงหลิวเฉียนเองคิดก็ไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้..
นั่นเพราะทุกคนในแผนกต่างก็รู้ดีว่า ลูกค้าของอาจื่อรายนี้เลวร้ายมากเพียงใด และหากไม่โง่จนเกินไป ย่อมต้องไม่เสนอตัวทำงานนี้แน่ๆ
และแผนต่อไปของเขาก็คือ เขาจะใช้อำนาจของการเป็นผู้จัดการ สั่งให้ฉินเสี่ยวยู่รับงานนี้ไป และในเมื่อฉินเสี่ยวยู่อยู่ทีมเดียวกับหลินหนาน ทั้งคู่ก็ต้องรับผิดชอบงานนี้ร่วมกัน
และเมื่อทั้งคู่ทำงานไม่สำเร็จ หลิวเฉียนก็จะได้ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการไล่หลินหนานออกจากบริษัท!
หลิวเฉียนได้แต่นึกภูมิอกภูมิใจในแผนการอันชาญฉลาด แต่ไร้ยางอายของตัวเอง และรู้สึกว่าตนเองนั้นปราดเปรื่องอย่างที่สุด!
เขากำลังคิดไปถึงว่า หลังจากที่ปฏิบัติภารกิจที่ผู้อำนวยการเย่มอบหมายให้สำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็อาจได้เลื่อนตำแหน่งก็เป็นได้!
แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะอ้าปากพูดนั้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น
“ผมขออาสาทำงานนี้เองครับ!”
ใครกัน?
ใครกัน.. ไม่กลัวตายบ้างหรือยังไง?
ทั้งหลิวเฉียนและทุกคนในห้อง ต่างก็พากันหันมองไปทางต้นเสียงพร้อมๆกัน และเมื่อเห็นว่าเป็นใคร หลิวเฉียนถึงกับตกตะลึง!
หลินหนาน?!!
หมอนี่รับอาสาที่จะไปทำงานนี้ด้วยตัวเองเชียวเรอะ?
ช่างบังเอิญมากจริงๆ!!
ฉินเสี่ยวยู่หันไปมองหลินหนานที่ลุกขึ้นยืน ด้วยใบหน้าที่ซีดขาวไปหมด เธอเพียงแค่พูดประชด แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าหลินหนานจะลุกขึ้นยืน และประกาศรับงานนี้จริงๆ
หลินหนาน.. ถ้านายอยากจะตายก็ตายไปคนเดียวสิ ทำไมถึงต้องลากฉันไปตายด้วยแบบนี้!
เมื่อพนักงานในฝ่ายขายเห็นหน้าหลินหนาน ทุกคนต่างก็พากันซุบซิบขึ้นทันที..
“หมอนั่นเป็นใครกัน?! นี่มันไม่กลัวตายบ้างหรือยังไง?”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะเป็นพนักงานใหม่?”
“โคตรน่าสงสารเลย! เพิ่งมาใหม่นี่เองถึงได้ตกหลุมพลางผู้จัดการ ซวยแล้วไอ้หนูเอ๊ย!!”
“ช่างเถิดน่า! ในเมื่อหมอนี่รับหน้าที่ไปแล้ว ก็จะได้จบๆสักที!”
หลินหนานแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงซุบซิบของพนักงานคนอื่นๆ แววตาของเขาไม่เพียงมุ่งมั่นแน่วแน่ แต่ยังมีร่องรอยของความตื่นเต้นปรากฏขึ้นด้วย
แน่นอน!! เงินรางวัล 10% เป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างมาก! และโอกาสดีๆแบบนี้ เขาจะปล่อยให้หลุดลอยไปได้อย่างไรกันเล่า?
ก็แค่งานทวงนี้.. ง่ายจะตายสำหรับเขา!
หลิวเฉียนต้องข่มความดีอกดีใจไว้อย่างมาก เขากระแอมเบาๆ ก่อนจะประกาศเสียงดังว่า “หลินหนานเป็นพนักงานใหม่ แต่นับว่ากล้าหาญมาก ผมชื่นชมคุณมากจริงๆ! เอาล่ะทุกคน ปรบมือให้กับความกล้าของหลินหนานหน่อย!”
เสียงปรบมือเปาะแปะดังขึ้น และแน่นอนว่ามันคือเสียงปรบมือของความรู้สึกสงสาร ที่มอบให้กับผู้พลีชีพต่างหาก ไม่ใช่นักรบผู้กล้าหาญ!
“ผู้จัดการหลิว อย่าเสียเวลาพูดเรื่องอื่นเลย เงินรางวัล 10% ผมจะได้รับเมื่อทำงานสำเร็จจริงๆใช่มั๊ย?”
หลินหนานถามตรงประเด็นที่อยากรู้ทันที!