“ที่เราเรียกเธอขึ้นมาที่นี่ก็เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับแผนของเธอในอนาคต และเพื่อบอกเธอเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของผู้กล้าค่ะ”

 

แผนในอนาคต… หมายถึงฉันจะทำอะไรในกองทัพจอมมารใช่มั้ยคะ?

แล้วสถานการณ์ปัจจุบันของผู้กล้าที่ว่านี่… สถานการณ์ของเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ถูกทำร้ายจิตใจไปเรื่อยๆ และทำให้เธอกลายเป็นอาวุธมีชีวิตใช่มั้ยคะ?

 

“ใช่แล้วค่ะ งั้นก่อนอื่นเลย เราอยากให้เธออุทิศตัวเองกับการฝึกฝนของเธอไปในอีกสองสามปีข้างหน้านี้ค่ะ”

 

อา แบบนี้เอง ตอนนี้ฉันยังอ่อนแออยู่ ถึงจะมีการอวยพรจากดวงจันทร์ช่วยเพิ่มพลังให้ก็ตาม สเตตัสของฉันยังอยู่แค่เกือบๆ 300 เอง ตอนนี้ ถึงมันจะมากกว่าสเตตัสทั่วๆ ไปของคนในโลกแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้แข็งแกร่งพอจะกวาดล้างมนุษย์ตามที่ฉันตั้งใจได้แน่นอน

เพราะว่าขนาดตอนนั้น มนุษย์แค่ 20 กว่าคน ยังทำให้ฉันบาดเจ็บเจียนตายได้เลย

ฉันจะอยู่ที่นี่ ฝึกฝนความแข็งแกร่งอยู่ในกองทัพจอมมารนี่แหละค่ะ

 

“…เธอดูมีเหตุมีผลกว่าที่เราคาดเสียอีกนะคะ ปกติแล้ว คนทั่วๆ ไป หากมีความเกลียดชังในระดับที่เธอมีนี่ล่ะก็ เขาคงจะพุ่งเข้าไปในแดนของศัตรูแล้วก็ตายไปอย่างไร้ค่า แบบไม่คิดหน้าคิดหลังไปแล้ว”

 

อ่า… ฉันรู้ดีเลยค่ะ ในมังงะมีเยอะเลยกับพวกตัวละครที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น แต่สุดท้ายก็ตายไปโดยที่ล้างแค้นไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้

ฉันไม่ชอบแบบนั้นหรอกค่ะ มันเปล่าประโยชน์สิ้นดี

จุดมุ่งหมายของการล้างแค้นนั้นต้องเป็นการฆ่าอย่างสมเหตุสมผล อำมหิต และต้องพอใจกับมันด้วย สิ่งที่ฉันจำเป็นต้องมีก็คือพลังในการต่อสู้ที่ล้นเหลือ เพิ่อทำลายศัตรู รอดชีวิตกลับมา แล้วก็ทำลายศัตรูคนอื่นต่อไปอีกเรื่อยๆ

 

“…ฉันก็คิดว่าการฝึกฝนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำแบบนั้นนะคะ… เยี่ยมเลยค่ะ สมกับที่เป็นคนที่เราเฝ้ามองจริงๆ”

 

ไม่หรอกค่ะ

 

“เธอเข้าใจถูกแล้วล่ะค่ะ ความฝันของเธอจะเป็นจริงได้ก็คือเมื่อเธอได้แก้แค้น เราคิดว่าเธอสามารถเอาชนะทหารทั่วๆ ไปด้วยเวลานิดเดียวเลยค่ะ แต่หากเป็นนักผจญภัยระดับสูงหรืออัศวินของอาณาจักรล่ะก็ เธอต้องแพ้แน่นอนค่ะ แม้จะสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่งก็ตาม ยิ่งถ้าเป็น [12 อัครสาวก] ล่ะก็ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”

 

พูดตรงๆ เลยสินะคะ แต่ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ

จะว่าไป ความสามารถโดยประมาณของพวกคนที่ท่านว่ามานี่ ประมาณไหนเหรอคะ?

 

“หากเทียบด้วยเกณฑ์แบบนักผจญภัยล่ะก็ เธอคงเทียบเท่ากับนักผจญภัยระดับ B หรืออาจต่ำกว่าเล็กน้อยค่ะ สำหรับนักผจญภัยระดับ A จะมีสเตตัสเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1000 ซึ่งก็เท่าๆ กับคุณพ่อของเธอค่ะ ส่วนพวกอัศวินของอาณาจักรก็จะแข็งแกร่งประมาณเธอตอนนี้นี่แหละค่ะ”

 

เข้าใจแล้วค่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสินะคะ

แต่ แน่นอน นี่เรากำลังพูดถึง ‘ฉันในตอนนี้’ สินะคะ

ที่นี่ ขอแค่ฉันพยายามแล้ว มันก็คงไม่สำคัญสำหรับฉันแล้วล่ะค่ะ ทำไมน่ะเหรอ?

 

เพราะฉันเพิ่งจะเลเวล 10 เอง ขนาดที่เลเวล 10 ฉันยังเทียบได้ประมาณนักผจญภัยระดับ B แล้ว ยิ่งไปกว่านั่น ด้วยความสามารถของฉันที่เพิ่มขึ้น 2 เท่าอยู่แล้วจากการเพิ่มศักยภาพจาก [เจ้าหญิงแวมไพร์] ล่ะนะ

แล้ว… คนพวกนั้นนี่มีเลเวลประมาณเท่าไหร่นะคะ?

 

“โดยทั่วๆ ไปจะอยู่ที่ประมาณ 60-70 นะคะ ส่วนพวกระดับ A จะอยู่ที่ประมาณ 80-90 ค่ะ”

 

ฉันก็ไม่อยากยืดหรอกนะ แต่ความต่างของเลเวลระหว่างฉันกับเจ้าพวกนั้นนี่ แสดงว่าถ้าฉันกับพวกมันมีเลเวลใกล้เคียงกันล่ะก็ สเตตัสของฉันก็จะทิ้งห่างพวกมันไปไกลเลยสินะ

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าฉันมีการอวยพรจากดวงจันทร์ด้วยล่ะก็ ในคืนที่จันทร์เต็มดวง ฉันก็อยู่เหนือพวกระดับ A ได้เลย ถ้าดูแค่สเตตัสล่ะนะ

แน่นอน นี่ยังไม่ได้นับประสบการณ์ของฉันที่ยังมีน้อย กับความสามารถอื่นๆ ที่ฉันไม่รู้จักด้วยล่ะนะ

 

“ถูกต้องค่ะ…พูดตามตรงแล้ว พรสวรรค์ของเธอนั้นสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกเลยนะคะ ด้วยความพยายามและประสบการณ์จะทำให้เธอไม่มีทางแพ้อีกเลยแน่นอนค่ะ”

 

…เอ แล้วใครเป็นอันดับ 1 กับอันดับ 2 เหรอคะ?

 

“อันที่ 2 เป็นของจอมมาร ส่วนอันดับ 1 เป็นของผู้กล้ารุ่นปัจจุบันนี้ค่ะ”

 

บ้าน่า! ผู้กล้ามีพลังแฝงในตัวมากกว่าจอมมารอีกเหรอเนี่ย?!

 

“เพราะแบบนั้น พวกมนุษย์จึงต้องการจะทำลายจิตใจของผู้กล้าให้เร็วที่สุดนั่นเองค่ะ แม้เธอจะมีพรสวรรค์สุดโกงขนาดไหนก็ตาม แต่เลเวลของเธอยังอยู่ที่ 1 อยู่เลย เธอยังไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นค่ะ ข้อเสียเปรียบอีกอย่างหนึ่งของพวกนั้นก็คือ พวกเขาไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าเรามีแผนจะนำผู้กล้ามาอยู่ฝั่งของเราค่ะ ช่างโง่เขลาจริงๆ”

 

เห็นด้วยเลยค่ะ… โอ๊ะ! จะว่าไป แล้วสเตตัสของพวก [12 อัครสาวก] ล่ะคะ?

 

“ระดับพลังของพวก 12 อัครสาวกนี่ต่างกันเยอะพอสมควรเลยค่ะ อย่างไรก็ตาม คนที่อ่อนแอที่สุด… ลำดับที่ 12 นั้น มีสเตตัสเฉลี่ยอย่างต่ำๆ ก็ 5,000 ค่ะ”

 

…แกร่งกว่าที่คาดหยั่งกับสัตว์ประหลาดเลยสินะคะ เจ้าพวก [12 อัครสาวก] เนี่ย…?

 

“ทั้ง 2 คนที่สังหารพ่อแม่ของเธอนั้น นอยน์และอีดิธ ที่อยู่ในลำดับที่ 6 กับ 7 นั้นมีสเตตัสเฉลี่ยประมาณ 10,000 ค่ะ เธอในตอนนี้เทียบไม่ติดเลย แม้จะเป็นคืนจันทร์เต็มดวงก็ตาม”

 

ตามปกติ การอวยพรจากดวงจันทร์ของแวมไพร์นั้นจะเท่ากันทุกคนในแต่ละคืน ยกเว้นแต่คืนจันทร์เต็มดวงเท่านั้นที่ผลของการเพิ่มสเตตัสขึ้นกับพรสวรรค์ของแต่ละคนแทน สำหรับแวมไพร์ทั่วไปจะได้พลังเพิ่มขึ้นประมาณ 10 เท่า ส่วนพ่อฉันที่เป็น [แวมไพร์ลอร์ด] ก็ได้พลังเพิ่มขึ้นตั้ง 15 เท่าเลย

 

“สำหรับเธอ ด้วยพรสวรรค์ที่เธอมีแล้ว พลังจะเพิ่มขึ้นได้ 20 เท่าในคืนจันทร์เพ็ญค่ะ”

 

มีแค่คืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงเท่านั้นที่ฉันจะได้พลังเพิ่มขึ้น 20 เท่า ถ้าเทียบจากสเตตัสปัจจุบันของฉัน สเตตัสเฉลี่ยของฉันก็จะขึ้นไปได้ทะลุ 4,000 เลย แถมยังมีผลจาก [ผู้ชำระแค้น] ที่เพิ่มความสามารถของฉันอีก 2 เท่าเมื่อสู้กับมนุษย์อีกด้วย

กล่าวคือ สเตตัสของฉันจะกระโดดขึ้นไปถึง 8,000 ได้เดือนละครั้ง

ถ้ามองแค่นี้ ฉันก็มีพลังเทียบเท่ากับนอยน์หรืออีดิธแล้วนะ แต่ว่า…

 

“ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งแค่ไหนในแง่ของสเตตัสก็ตาม หากเธอไม่มีพลังพอจะควบคุมมัน ทุกอย่างก็จบค่ะ เธออาจจะจบชีวิตตัวเองลงจากความเร็วสูงมากจนไม่สามารถหยุดตัวเองได้ หรืออาจเผยช่องว่างหลังการโจมตีได้อย่างง่ายๆ จนถูกโจมตีสวนเข้ามา อีกทั้ง พวกนั้นยังเป็นบรรดานักสู้ผู้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มาอย่างยาวนานหลายปี ผ่านสงครามมามากมายเหลือคณานับ แม้พวกนั้นภายในจะเน่าเฟะ แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับค่ะว่าพวกเขาแข็งแกร่งเป็นพิเศษเลยทีเดียว”

 

ตามนั้นเลยค่ะ หรือก็คือ ถ้าฉันหลงตัวเองแล้วเข้าเผชิญหน้ากับเจ้าพวกนั้นละก็ ฉันคงถูกฆ่าทันทีเลย

แถม การอวยพรจากดวงจันทร์ก็มีจุดด้อยอยู่หลายข้อเลย ถ้าดวงจันทร์ถูกเมฆหรืออะไรก็ตามมาบัง ผลของการเพิ่มความสามารถจะลดลงฮวบฮาบเลย เพราะแบบนั้น ที่หมู่บ้านแวมไพร์ เราจึงมีนักเวทที่สามารถใช้เวทลมเพื่อให้ท้องฟ้าปลอดเมฆได้ แต่โชคร้าย ฉันยังใช้เวทมนตร์ไม่เป็นเลย เพราะงั้นฉันเลยใช้วิธีนั้นไม่ได้

อย่างน้อยที่สุด ฉันควรจะแข็งแกร่งพอๆ กับการที่ใช้ความสามารถพวกนั้นให้ได้ แม้ฉันจะอยู่ในเวลากลางวันก็ตาม มีอะไรต้องทำอีกเยอะเลยแฮะ

 

“เรามั่นใจว่าเธอต้องทำได้แน่นอนค่ะ เพราะเทียน่าจะสอนเวทมนตร์ให้เธอ เธอจะต้องใช้เวทมนตร์ได้ในไม่ช้าแน่นอน ตอนนี้ เราคิดว่าอาจใช้เวลาประมาณ 3 ปีเพื่อให้เธอพร้อมกับการออกภาคสนามอีกครั้งนะคะ ด้วยเวลาเท่านั้น เธอต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากแน่นอน แล้วก็… ระหว่างนั้นเราต้องวางแผนปกป้องผู้กล้าด้วย”

 

…เอ๋? ไม่ใช่ว่าเราต้องไปช่วยผู้กล้าตั้งแต่ตอนนี้หรอกเหรอคะ?

ฉันนึกว่าเราต้องเข้าไปช่วยเธอก่อนจิตใจของเธอจะพังทลายซะอีก

 

“หากเป็นไปได้ เราก็อยากให้ทำเช่นนั้นค่ะ… แต่ผู้กล้าตอนนี้อยู่ใจกลางอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เมอร์คิวเรียส…เมืองหลวงของดินแดนของเผ่ามนุษย์ที่ใหญ่ที่สุด รวมทั้งเป็นที่อยู่ของพวกนักผจญภัยและอัศวินมากฝีมือมากมาย รวมถึงยังมี [12 อัครสาวก] ลำดับที่ 2 และ 3 คอยเฝ้าระวังเธออยู่ตลอดเวลาด้วยค่ะ… แค่จะแตะตัวเธอตอนนี้เรายังทำไม่ได้เลย หากจะฝืนทำจริงๆ ล่ะก็ เราจำเป็นต้องใช้ผู้บริหารของกองทัพจอมมารทุกคน รวมทั้งเหล่าว่าทีผู้บริหารและยอดฝีมือทั้งหมด อีกทั้งยังต้องเตรียมใจสละกำลังดังกล่างไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่งด้วย”

 

ค่ะ เป็นไปไม่ได้เลย นี่รอบตัวผู้กล้าจะถูกล้อมไว้หนาแน่นขนาดไหนกันคะเนี่ย?

 

“เพราะแบบนั้น เราคาดว่าเวลาที่ผู้กล้าจะเริ่มถูกส่งไปรบในแนวหน้านั้น… คงจะอีกประมาณ 3 ปี ขึ้นกับข้อมูลต่างๆ และสถานการณ์นั้นๆ ค่ะ ระหว่างนั้น เราอยากให้เธอฝึกฝนตัวเองและเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับผู้กล้าพร้อมกับเหล่าผู้บริหารด้วยนะคะ”

 

…แต่ว่า ป่านนั้นจิตใจของผู้กล้าจะถูกทำลายไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ?

 

“เรามั่นใจว่าจะเป็นเช่นนั้นค่ะ ถึงอย่างนั้น แม้เราสามารถปกป้องเธอได้ โอกาสที่เธอจะเข้าร่วมกับพวกเราก็มีไม่มากนัก ตอนนั้นก็ขึ้นกับว่าเธอกับจอมมารจะทำได้ดีแค่ไหนแล้วค่ะ”

 

แปลกจังเลยนะ…

ขนาดฉันยังรู้สึกสงสารผู้กล้าเลย…  

อาจจะเพราะเธอก็เหมือนฉันก็ได้ เป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ชีวิตตัวเองต้องถูกทำลายจากเหตุผลสุดเห็นแก่ตัวของเจ้าพวกมนุษย์นั่น

เพราะแบบนั้นฉันเลยกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่สามารถเอาเธอมาเข้าร่วมกับเราได้ล่ะคะ?

 

“เราเข้าใจความกังวลใจของเธอนะคะ แต่นี่คือสงคราม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในแผนนี้ของเราหรอกค่ะ หลังจากเราปกป้องผู้กล้าได้แล้ว หากเราไม่อาจช่วยฟื้นฟูให้ผู้กล้าได้อีกแล้ว เราก็ต้องฆ่าเธอค่ะ”

 

เมื่อตอนที่ฉันได้พบท่านอิซึสึก่อนหน้านี้ ฉันค่อนข้างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่กับความคิดที่ว่า ‘ถ้าเธอทำไม่ได้ ก็ฆ่าทิ้งซะ’ เอาซะเลย แต่ตอนนี้ที่ฉันใจเย็นลงแล้ว ฉันกลับรู้สึกเห็นใจผู้กล้าจนลังเลที่จะฆ่าเธอแน่เลย

 

ใช่ค่ะ นี่อีกตั้ง 3 ปีกว่าจะเกิดเหตุพวกนั้น แต่ฉันก็รู้สึกหดหู่ซะแล้ว…