บทที่ 19 ออโรร่าน้อยกับการเยือนกองอัศวินศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“นี่เราทำบ้าอะไรไปเนี่ย”

ผมได้แต่ก้มหน้าบ่นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน นั่นมันคงเป็นสิ่งที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของผมแล้ว

ที่หนักที่สุดก็คือเวลาหลับตาลงแล้วภาพของตัวผมที่กำลังร้องเพลงช้างโดยมีเหล่าคนในเขตเซาท์เรสเวนส่งใจภาวนาช่วยเหลือ ทำเอานอนไม่หลับเพราะความอายไปเลยทีเดียว

แค่นั้นยังไม่พอ เพราะเมื่อผมตื่นขึ้นมาพบกับเรื่องที่บ้าที่สุดในชีวิต นั่นคือเหล่านักบวชชั้นสูงของวิหารต่างยิ้มอย่างยินดีที่ผมฟื้นขึ้นมา

“ท่านฟื้นแล้ว! ช่างน่ายินดีจริงๆ”

ที่ด้านหลังของพวกนักบวชชั้นสูงมีท่านสังฆราชที่กำลังก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อย หากให้ผมเดาแล้วที่เขามานั่งก้มหน้าแบบนี้คงไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจาก…

“ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆ ท่านนักบุญ ข้านั้นประมาทเลินเล่อจนลืมไปว่าตัวท่านนั้นถึงจะมีพลังแห่งความเมตตาของพระเจ้าสถิตในร่างมากมายแต่อายุท่านก็ยังน้อย การที่ให้งานรักษาซึ่งแม้แต่นักบวชชั้นสูงหลายท่านยังทำไม่ได้นั้นนับเป็นความผิดของข้าจริงๆ”

ท่านสังฆราชเดินเข้ามากุมมือผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นแบบคนแก่พูดกับหลานๆ ส่วนในใจของผมก็คิดว่านั่นน่ะไม่ใช่ความผิดของท่านสังฆราชแม้แต่น้อย ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเจ้าเฮอร์แมนคนเดียว

“แต่ต้องขอบคุณเคาท์เฮอร์แมนจริงๆ ที่ไหวตัวทันแล้วเรียกผู้คนมาช่วยสวดภาวนา”

จะไปขอบคุณมันทำไม ท่านสังฆราช รู้ไหมว่าเจ้านั่นน่ะทำให้เรื่องมันแย่ไปกว่าเดิมอีกนะ เพราะจากที่ผมจะแค่หอบนิดๆ จากความอาย แต่พอมันตามคนมาเป็นตำบลแค่นั้นล่ะ…แทบเป็นลม

คิดแล้วก็ยังแค้นเจ้าบ้านั่นไม่หาย เพราะการที่มันอยากสร้างภาพทำเป็นช่วยผมทำงานแท้ๆ เชียว เลยทำให้ผมต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้

ดังนั้นตอนนี้ในใจของผมเริ่มเตรียมวางแผนการแก้แค้นเจ้าขุนนางหนวดจอมคอร์รัปชันไว้เรียบร้อย รออีกไม่นานเถอะเฮอร์แมน แล้วเราจะได้เห็นดีกัน

แต่ในความโชคร้ายนั่นก็นับเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งของผม เพราะหลายคนคิดว่าผมเป็นลมจากการใช้พลังที่มากเกินไป ทำให้ตอนนี้งานพวกที่ต้องใช้พลังเยอะอย่างการรักษาหรืองานอะไรที่ต้องใช้เวทจึงถูกเอาออกไป

งานที่ผมต้องไปทำในฐานะนักบุญก็เลยเหลือแค่งานพบปะหรือให้กำลังใจประชาชนเท่านั้น หรือถ้าจะเอาอันที่ดูเป็นทางการหน่อยก็ไปพูดเทศน์คำสอนในที่ ๆ ร้องขอมา

เจ้าอาชีพนักบุญนี่มันช่างเป็นอาชีพจิปาถะจริงๆ ล่ะนะ แต่หากมองตามอำนาจที่มีมันก็ยังถือว่าเป็นตำแหน่งที่สูงมากอยู่ดี เพราะถึงผมจะเรียกว่าภารกิจ แต่ที่จริงพวกนั้นคือจดหมายร้องขอที่ผมอยากจะทำหรือไม่ก็ได้

ทว่าหากมองในทางปฏิบัติ มันก็ควรมีผลงานอะไรบ้าง ไม่งั้นอาจถูกใครหมั่นไส้เอาได้ แถมพวกนักบุญในอดีตก็ดันมีแต่คนดีๆ ไม่ปฏิเสธกันทั้งนั้น ถ้าเกิดผมเป็นแกะดำบอกไม่อยากทำขึ้นมาคงมีซวยแน่

จะว่าไปก็ต้องขอบคุณที่ศาสนจักรในประเทศนี้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำให้ไม่มีกฎอะไรเกี่ยวกับการมีเงินหรือการใช้จ่าย แถมการบริจาคเข้าศาสนจักรยังเป็นเรื่องดี ดังนั้นการที่ผมทำภารกิจนักบุญไปนั้นจึงมีค่าตอบแทนด้วย

ซึ่งในคราวนี้ผมก็ทำผลงานไว้ดี พวกผู้ป่วยหายจนเหมือนไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน แถมเมื่อรวมกับที่ผมเป็นลมล้มไปจึงทำให้มันกลายเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ทางพวกขุนนางและพวกทางราชการจึงขอบคุณมาด้วยเงินหลายเหรียญทอง ผมที่ได้เห็นจำนวนเหรียญที่อยู่ในถุงแล้วก็ยิ้มแก้มปริ เพราะขนาดนี้มันมากพอจะให้ผมเหมาขนมในร้านขนมราคาแพงได้ทั้งร้านอย่างสบายๆ

โอ้ว ก่อนไปก็ได้ค่าขนมน้ำชา หลังทำเสร็จยังมีค่าตอบแทนสูงแบบนี้ อาชีพนักบุญนี่มันเลอค่าจริงๆ

ผมที่ตอนแรกไม่อยากเป็นเพราะต้องมาเจออะไรสุดบ้าระห่ำในมหาวิหารก็รู้สึกว่าพอมีอะไรมีปลอบใจผมได้บ้าง…..รู้สึกผมแอบงกแปลกๆ

แต่ก็นั่นล่ะ ถึงจะน่าอายแต่ในความน่าอายมันก็มีอะไรมาพอปลอบใจอยู่ เลยพอเริ่มทำใจได้บ้าง แต่ถ้าจะให้กลับไปทำอะไรแบบนั้นอีกล่ะก็ ผมคงต้องขอลา

เอาเถอะเรื่องอนาคตมันก็ส่วนของเรื่องอนาคต ตอนนี้ผมก็กลับมาอยู่ในเรื่องปัจจุบันที่กำลังเจอน่าจะดีกว่า หาเรื่องอะไรมาคิดจะได้ลืมๆ ไอ้ที่ไม่อยากจำไป

เรื่องที่รบกวนใจผมอยู่ก็คือเรื่องของเจ้าเฮอร์แมนที่ผมมีประเด็นด้วย เพราะจากเท่าที่ดู เจ้าหมอนี่ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน

ตอนแรกก็กะจะปล่อยแล้วดูอย่างห่างๆ แต่เพราะมันมาทำให้ผมสติแตก ผมจึงตัดสินใจต้องจัดการเจ้าหนวดเฮอร์แมนให้หายแค้นให้ได้

“เอาล่ะ ที่เหลือก็แค่รอเวลา”

ขึ้นชื่อว่าอยากล้างแค้นใคร สิ่งที่จำเป็นที่สุดนั้นคือเราต้องรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายก่อน เพราะฉะนั้นผมจึงได้เดินออกจากห้องไปแล้วตรงดิ่งไปที่กองอัศวินศักดิ์สิทธิ์

ในระหว่างทางที่เดินผมก็เจอพวกอัศวินเดินผ่านมา เมื่อพวกเขาเห็นผมก็รีบคุกเข่าทำความเคารพโดยไว ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่แปลก

แต่ไอ้ความรู้สึกยิ่งใหญ่นั่นมันก็สลายกลายเป็นปุ๋ยไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของพวกเขา

“อา รัศมีที่เจิดจรัสของท่านนักบุญ ข้ารู้สึกได้…เพียงแค่มองก็ราวกับข้าได้รับการอวยพรจากพระองค์ท่าน”

“ข้ายังจำได้นะถึงน้ำตาที่เศร้าสร้อยของท่านนักบุญที่หลั่งออกมาให้กับเหล่าผู้ถูกไฟคลอกน่ะ มันช่างตราตรึงใจของข้าเหลือเกิน”

เวอร์ไปแล้ว!

คำพูดที่ได้ยินนั้นมันก็เหมือนจะเป็นคำชมอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมผมฟังแล้วถึงได้รู้สึกว่ามันช่างชวนขนลุกเหลือเกิน แถมไม่ทราบว่าเจ้าอัศวินคนนั้นมันจะมโนเกินไปไหม นี่แค่ผมเดินผ่านก็บอกว่าเห็นรัศมีแผ่กระจายงั้นเหรอ ถ้างั้นขอแนะนำให้ไปหาหมอด่วนเลย ท่าทางจะเกินเยียวยาแล้วล่ะ

ส่วนเจ้าคนที่บอกว่าเห็นผมร้องไห้น่ะคือมันก็จริงตามที่เขาพูดนะ แต่แค่ตอนนั้นผมกำลังร้องไห้อนาถใจให้กับตัวเองอยู่ นึกไม่ถึงว่าจะคิดไปไกลขนาดนั้นได้

“เสียงของท่านตอนนั้นช่างไพเราะยิ่งนัก แม้ทำนองเพลงจะดูเป็นดั่งเพลงกล่อมเด็กแต่ข้าก็รู้สึกได้เลยนะว่านั่นต้องเป็นบทเพลงแห่งสวรรค์แน่นอน”

ฮือ! ใครมันมาพูดอะไรแปลกๆ

ผมที่ได้ยินใครไม่รู้มาพูดถึงเพลงที่ผมร้องทำให้ผมค่อยๆ ลดความเร็วของตัวเองลง ก่อนจะเงี่ยหูฟัง

“น่าเสียดายนักที่ข้ามิได้ไปเข้าร่วมภารกิจในครั้งนั้น บทเพลงนั้นเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”

“เจ้าพลาดของดีไปแล้วนะรู้ไหม ก็อย่างที่ข้าบอกไปเพลงที่ท่านนักบุญร้องออกมานั้นเป็นภาษาที่พวกเราทุกคนในที่นั้นมิอาจฟังออกว่าเป็นภาษาใด แต่จากความสวยงามของน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ย มันจะต้องเป็นภาษาของเหล่าเทพไม่ผิดแน่”

ได้ยินแบบนี้ผมก็แอบดีใจที่ผมใช้ภาษาไทยในการร้องเพลงจริงๆ เพราะหากเขาฟังออกแล้วรู้ว่าผมร้องอะไรออกมา มันจะต้องเป็นการรักษาที่ดูไม่จืดแน่นอน

“แล้วท่วงทำนองเล่า?”

“อันนี้สุดยอดมาก ท่วงทำนองนั้นราวกับบทเพลงที่เหล่าเด็กๆ ร้องกัน”

“หือ? บทเพลงที่เหล่าเด็กๆ ร้องกันงั้นเหรอ?”

ฮือออ ก็นะเจ้าเพลงช้างนี่น่ะมันเพลงสำหรับเด็กน้อยร้องจริงๆ นี่นา ทำไงได้ล่ะ ก็คนมันร้องเพลงไม่เป็นนี่!

“ใช่ท่วงทำนองนั้นช่างง่ายดายต่อการร้องตามแบบเพลงที่พวกเด็กใช้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ไว้ ตัวข้าที่ฟังแล้วยังลืมหายใจเลยนะรู้ไหม”

กับเพลงช้างเนี่ยนะ! โอ้แม่เจ้า มีคนลืมหายใจเพราะเพลงช้าง โลกนี้มันบ้าไปแล้ว!

“ในเวลานั้นข้าก็เข้าได้เข้าใจ ว่าที่ท่านร้องจังหวะเช่นนี้คงต้องการให้จิตใจของเหล่าผู้เจ็บป่วยสงบ”

“ช่างเป็นคนที่สูงส่งจริงๆ ว่าแต่เจ้าพอรู้เนื้อเพลงบ้างไหม?”

“แน่นอนสิ ข้าจดมากับมือเองเลยนะ”

พอฟังมาถึงจุดนี้ ผมก็แทบสะดุ้งเฮือกพร้อมรู้สึกเสียวสันหลังไปทั่วร่าง เพราะรู้สึกได้ถึงลางร้ายอะไรบางอย่าง….จะ..จดงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่า

“นี่ไง ชง..ชาง นอง เคย เฮน. อือ ออกเสียงยากสมเป็นภาษาจากแดนเทพจริงๆ”

ตัวผมแทบสั่นเป็นเจ้าเข้าเมื่อได้ยินทำนองเพลงที่พวกนี้ร้องขึ้นมา…มันร้องเพลงช้าง… ด้วยใบหน้าปลื้มปริ่ม สยองง่ะ!

“นั่นสินะ ยากจริงๆ ด้วย ว่าแต่เจ้าจดแบบนี้จะเอาไปทำอะไรต่อเหรอ?”

“แน่นอนก็ต้องนำไปส่งให้ทางท่านผู้ดูแลบทเพลงและพิธีการสิ ท่านร้องขอมาด้วยตัวเองเลยนะว่าต้องการบทเพลงที่ท่านนักบุญร้องเพื่อจะนำไปใส่ในพิธีการขั้นสูง”

บัดซบ! งานงอกแล้วไง นี่บ้ากันไปแล้วเหรอ จะเอาเพลงช้างไปใส่ในงานพิธีการ! ขืนมีคนจากโลกผมมาอยู่ที่นี่แล้วได้ยินเข้ามันจะดูไม่จืดนะสหายทั้งหลาย

ซวยแล้ว ซวยๆ พอคิดภาพงานแต่งงานหรืองานพิธีการขั้นสูงอย่างขอบคุณพระเจ้าที่มีเหล่านักบวชร้องเพลงช้างประกอบ เพราะคิดว่าเป็นเพลงจากสวรรค์แล้วผมจะเป็นลม ยิ่งมาคิดว่าตัวต้นเหตุนี้เป็นผมก็โคตรจะอายจนอยากเอาหน้าซุกปี๊บสักสิบอัน

ไม่ได้! งานนี้ผมต้องหยุดมันให้ได้

เมื่อตระหนักแล้วว่าควรทำสิ่งใด ผมก็ค่อยๆ เดินออกไปอย่างช้าๆ ให้เหมือนว่าผมบังเอิญผ่านมาแล้วได้ยินพอดี เพื่อไม่ให้พวกเขาสงสัย

“สวัสดีค่ะท่านอัศวิน มิทราบว่าทำอะไรกันอยู่เหรอคะ?”

“ท่านนักบุญ! เป็นเกียรติมากครับที่ได้พบท่าน”

“พวกเรากำลังจะนำบทเพลงอันแสนวิเศษของท่านไปส่งน่ะครับ”

อัศวินทั้งสองนายก้มตัวลงและตอบผมมาด้วยความเคารพ ทางผมเองก็พยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มแต่ในใจนั้นกระวนกระวายจนเหงื่อแตกแล้ว

“งั้นเหรอคะ? ต้องขอบคุณมากค่ะ แต่หนูคิดว่าอย่าเลยดีกว่าค่ะ คือมัน…”

“เข้าใจครับท่านนักบุญ ว่าท่านกังวลว่าพวกเรานั้นจะไม่มีความสามารถพอจะเรียนรู้ภาษาเทพได้ แต่ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”

เขาตอบผมกลับมาด้วยรอยยิ้มที่แสนจะมั่นใจ ทางผมน่ะเหรอ หน้านิ่วคิ้วขมวดจนจะกลายเป็นปมแล้วเนี่ย!

นายน่ะไม่ได้เข้าใจอะไรสักนิด! บอกว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังงั้นเหรอ? ก็ไอ้สิ่งที่นายกำลังทำอยู่นั่นละที่ทำให้ผมผิดหวังสุดๆ น่ะ!

“ดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลนะครับ พวกผมจะฝึกปรือเพลงนี้แล้วจะร้องออกมาให้ไพเราะและงดงามเช่นท่านให้ได้”

ว้ากกกก พอเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องเพลงช้างนั่นเลย ยิ่งพูดยิ่งทำให้ความทรงจำอันแสนเลวร้ายของผมกลับมานะ!

“ถ้างั้นต้องขอตัวก่อนนะครับ ผมจะรีบนำไปส่งเดี๋ยวนี้เลยครับ”

ใจเย็นๆ ช้าๆ ก็ได้ไม่ต้องรีบ

ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรอัศวินทั้งสองคนก็ก้มหัวคำนับ ก่อนรีบเดินตัวปลิวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้ให้ผมน้ำตาไหลเป็นสายเลือดอยู่คนเดียว

ฮือ ไปหมดแล้วสมงสมอง นี่ผมต้องเจอเพลงช้างตามมาหลอกหลอนแบบไม่มีรู้จบจริงๆ อย่างงั้นเหรอ

เมื่อรู้แล้วว่าทำอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ ผมจึงได้เดินต่อไปยังสำนักงานอัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งน้ำตา

หลังจากเดินไม่นานมากนัก ในที่สุดผมก็มาถึงที่หมายของผม โดยตรงหน้าของผมคืออาคารขนาดใหญ่มีลักษณะคล้ายกับป้อมปราการของพวกทหาร เพียงแต่จัดแต่งสวนที่ด้านหน้าป้อมและมีธงตราของศาสนจักรติดเอาไว้

ที่ด้านหน้าของอาคารมีประตูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ตรงด้านหน้าของประตูก็มีอัศวินเฝ้ายามยืนคุ้มกันอย่างหนาแน่น ทั้งยังมีเดินตรวจตราอยู่ตลอดเวลา ทำให้หากใครคิดจะบุกเข้ามาคงจะเป็นคนที่สิ้นคิดน่าดู

“นั่นใคร? …ท่านนักบุญ ต้องขออภัยจริงๆ ครับ”

เมื่อเห็นใครก็ไม่รู้เดินพรวดพราดออกมาจากพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว พวกอัศวินเฝ้ายามก็ยกอาวุธในมือของตัวเองขึ้นพร้อมเพิ่มความระวังตัวขึ้นมาทันที แต่เมื่อพวกเขารู้แล้วว่าเป็นใครก็รีบลดอาวุธของตัวเองลงทันที

“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยได้หรือไม่คะ?”

“ด้วยความยินดีครับ”

อัศวินคนนั้นรับคำ ก่อนที่จะสั่งการให้ลูกน้องของเขารีบวิ่งไปเปิดประตูทันที โดยที่ผมไม่ต้องผ่านระเบียบอะไรทั้งนั้น

ปรกติการจะเข้าไปในอาคารของพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะถ้าเป็นคนทั่วไปหรือยศสูงไม่พอต้องการจะเข้าไปล่ะก็ ทุกคนจะต้องมีตราประทับของท่านสังฆราชหรือนักบวชชั้นสูงที่ได้รับสิทธิประทับเอาไว้ ซึ่งเจ้าตรานั่นกว่าจะได้มาก็ต้องเขียนสาเหตุการเข้าพบและตรวจประวัติเป็นอย่างดีจึงจะได้มา

ดังนั้นก็นับเป็นโชคดีของผมที่นักบุญนั้นโคตรจะเป็นอภิสิทธิ์ชนที่สามารถเดินผ่านเข้าออกได้ทุกที่แบบไม่ค่อยต้องแคร์สื่อเท่าไหร่ เพียงแค่ตัวผมที่อายุน้อยอยู่นั้นอาจยังถูกจำกัดสิทธิบางส่วนเอาไว้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับตอนนี้

ผมเดินเข้าไปในอาคารซึ่งข้างในเป็นห้องโถงปูพรมแดงขนาดใหญ่แยกออกไปตามทางต่างๆ ตัวผมที่มาเป็นครั้งแรกก็งงๆ อยู่บ้าง แต่ก็โชคดีที่นี่มีป้ายบอกทางจึงไม่ต้องกลัวหลง

“หน่วยข่าวกรอง”

ผมเงยหน้ามองป้ายที่แปะไว้อยู่ที่หน้าประตูเพื่อดูให้มั่นใจ ก่อนจะเคาะประตูเพื่อเข้าไปข้างใน

“ยินดีต้อนรับครับท่านนักบุญ มิทราบว่าท่านมีธุระอันใดกับฝ่ายข่าวกรองของอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งเรสเวนน่ากันเหรอครับ?”

ท่าทางอัศวินด้านหน้าจะส่งคนมาบอก ทำให้ตอนนี้อัศวินทั้งหมดในแผนกนี้มายืนตั้งแถวเรียงหน้ากระดานรอต้อนรับผมอย่างพร้อมเพรียง

“ค่ะต้องขอรบกวนด้วยนะคะ พอดีหนูอยากได้ข้อมูลของคน ๆ หนึ่งน่ะค่ะ มิทราบว่าจะได้หรือไม่คะ?”

“ข้อมูลของบุคคล? แน่นอนว่าถ้าเป็นคำขอของท่านนักบุญแล้วย่อมไม่มีข้อมูลใดที่เราไม่สามารถหามาให้ได้ ขอแค่ท่านบอกมา แม้แต่ข้อมูลที่ต้องไปเอาถึงใจกลางแดนปีศาจพวกเราก็จักนำมาให้ท่านอย่างแน่นอน”

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ”

“ไม่ครับ พวกเราทั้งหมดนั้นล้วนเกิดมาเพื่อรับใช้พระเจ้า เช่นนั้นบุคคลผู้เปรียบดั่งประกายแสงอันยิ่งใหญ่เช่นท่านแล้ว ไม่ว่าอะไรพวกเราก็ยินดี ใช่ไหมพวกเรา!?”

หัวหน้าหน่วยตะโกนขานรับด้วยเสียงอันนั้นดังก้อง พวกลูกน้องก็เช่นกัน พวกเขาทุกคนนั้นต่างขานรับเสียง ก่อนจะเริ่มคุกเข่าลงให้ผมแล้วตะโกนออกมา

“เช่นนั้นเชิญท่านบัญชาได้เลยครับ”

เวอร์กันจริงๆ อัศวินพวกนี้

“ขอบคุณมากค่ะ ถ้างั้นฉันขอข้อมูลของท่านเคาท์เฮอร์แมนจะได้ไหมคะ?”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ หัวหน้าอัศวินก็เลิกคิ้วขึ้นสงสัยแต่ก็พักเดียวเท่านั้น

“เฮอร์แมน…อ๋อ ท่านเคาท์แห่งเขตเซาท์เรสเวนสินะครับ ที่ท่านนักบุญเพิ่งเจอเมื่อวานสินะครับ ว่าแต่จะนำข้อมูลไปทำอะไรงั้นเหรอครับ…เอ ให้เดาก็คงจะดูของที่ท่านชอบไม่ชอบเพื่อนำไปเป็นของขวัญใช่ไหมครับ?”

ทางหัวหน้าอัศวินที่ตอนแรกเหมือนจะถามผมมาด้วยคำถามที่ผมยังไม่ได้เตรียมคำตอบ ทำเอาผมแอบเสียวไปชั่ววูบว่าจะตอบไม่ได้ แต่แกก็ดันหาคำตอบให้ตัวเองไปแล้วซะงั้น ดังนั้นจึงเป็นโชคดีของผมที่สามารถตามน้ำไปได้อย่างง่ายดาย

“ก็ประมาณนั้นค่ะ”

เมื่อผมตอบไปแบบนั้น หัวหน้าอัศวินก็ยิ้มให้ผมด้วยความเคารพ ก่อนที่จะโบกมือสั่ง

การให้ลูกน้องไปจัดเตรียมข้อมูลมาให้

“ท่านนักบุญช่างเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงามจริงๆ ครับ ทั้งๆ ที่ท่านไปช่วยเหลือเขตแดนของเขาแล้วยังคิดให้ของขวัญเพื่อเป็นกำลังใจให้อีก”

“นิดๆ หน่อยๆ เองค่ะ”

ไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่อัศวินพวกนี้ดูเหมือนจะมองผมในแง่บวกแบบเกินหลอดวัดความศรัทธาไปเป็นที่เรียบร้อย

“ในฐานะของผู้ศรัทธาในความบริสุทธิ์ของท่านผู้เป็นดั่งประกายแสงของพระองค์ท่าน ทางผมอยากจะเตือนอะไรเอาไว้ก่อนครับเพราะกลัวว่าหากท่านทราบทีหลังแล้วจะรู้สึกไม่ดีได้ครับ”

“ท่านเคาท์เฮอร์แมนคนนี้มีประวัติที่น่าสงสัยและดูไม่ค่อยจะขาวสะอาดเท่าไหร่ครับ ขอโปรดระวังไว้ด้วย”

โอ้ นั่นไง เหมือนจะได้ยินอะไรน่าสนใจมาแล้วสิ ดีเลยๆ ถ้าทางหน่วยข่าวกรองบอกมาแบบนี้แปลว่ามีเงื่อนงำอะไรให้ผมแน่นอน

“นี่ครับข้อมูล อาจจะยังไม่ครบถ้วนเท่าไหร่ ดังนั้นหากอยากได้อะไรเพิ่มเติม ท่านสามารถมาหาพวกเราได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”

“ขอบคุณมากค่ะ”

ว่าแล้วผมก็รับกองเอกสารมาจากหัวหน้าหน่วย ก่อนจะโค้งหัวขอบคุณเล็กๆ โดยในใจของผมก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา

หึๆ เฮอร์แมน เอ็งเสร็จผมแน่!

แต่แล้วความคิดผมที่กำลังเดินออกจากห้องก็สะดุดลง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนแว่วๆ ออกมาจากห้องของหน่วยข่าวกรอง

“เฮ ทุกท่าน ยินดีด้วย หน่วยของพวกเราได้รับการร้องขอจากท่านนักบุญเป็นหน่วยแรกเว้ย เป็นหน่วยแรก!นี่มันเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเลยนะรู้ไหม!? ไม่ฉลองคงไม่ได้ เอ้าคืนนี้ฉลองยาวๆ ไปเลยพวก”

ผมว่าหนักอะ

—————————————————————————

จบไปแล้วกับการแนะนำกองอัศวินสุดน่ารักประจำตัวศาสนานี้นะครับ ก็ถือว่าตอนนี้เป็นตอนแนะนำสถานที่ก็แล้วกัน (ฮา)