บทที่ 16 ศิษย์ชั้นต่ำ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

ผู้สอบที่เข้าเรียนใหม่จะถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับชั้นตามลำดับคะแนน ได้แก่ ห้องหนึ่งเทียนจื้อ ห้องสองเทียนจื้อ ห้องหนึ่งตี้จื้อ และห้องสองตี้จื้อ

กู้ต้าซุ่นผู้สอบได้ที่สอง จึงได้ไปอยู่ห้องหนึ่งเทียนจื้อโดยปริยาย ส่วนเซียวลิ่วหลังที่สอบได้รองโหล่ก็ได้อยู่

ห้องสองตี้จื้อไป

ส่วนบุคคลกรณีพิเศษอย่างกู้เสี่ยวซุ่นเองก็ต้องถูกจัดให้ไปอยู่ห้องสองตี้จื้อเช่นกัน

เดิมทีกู้ต้าซุ่นนึกว่ากู้เสี่ยวซุ่นที่ได้สิทธิพิเศษเพราะช่วยเหลือคนสำคัญของสำนักไว้ แต่สุดท้ายพอได้เข้ามาจริงๆ

ก็ต้องมาอยู่ห้องโหล่อยู่ดี เห็นทีดูท่าคนที่เขาช่วยเหลือไว้คงจะมิใช่คนใหญ่คนโตอะไรมากนัก

“ห้องสองตี้จื้ออยู่นั่นไง เจ้าเข้าไปสิ” กู้ต้าซุ่นพอเอ่ยกับกู้เอ้อซุ่นเสร็จ ตนเองก็รีบเดินเข้าห้องหนึ่งเทียนจื้อไป

กู้เอ้อซุ่นใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าตนจะได้เข้าเรียนหนังสืออย่างกู้ต้าซุ่น วันนี้ฝันของเขาเป็นจริงแล้ว

แต่พอต้องมาอยู่ห้องเดียวกับเซียวลิ่วหลัง ก็พลันรู้สึกขุ่นมัวเสียอย่างนั้น แม้ตัวเขาเองจะไม่รู้ว่าต้องมีการแบ่ง

ห้องหนึ่งห้องสองไปเพื่ออะไร แต่ในเมื่อเซียวลิ่วหลังสอบได้รองโหล่ นั่นก็แปลว่าห้องนี้คงไม่ได้มีดีอะไรหรอกจริงไหม

เห็นทีเขาต้องไปตามหานายท่านผู้นั้นที่กู้เสี่ยวซุ่นช่วยเอาไว้ จะได้ให้เขาช่วยได้ย้ายห้อง!

กู้เอ้อซุ่นคิดเองเออเองโดยที่ไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไร

เขาเหลือบไปมองนักเรียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง จากนั้นทำท่าจะเข้าไปนั่ง แต่จู่ๆ อาจารย์ที่กำลังบรรยายหน้าชั้นเรียนอยู่กลับโพล่งขึ้น “เจ้าเป็นใคร”

“ข้าคือนักเรียนใหม่ นามกู้เอ้อซุ่นขอรับ”

อาจารย์เมื่อได้ยินดังนั้นก็พลันเอ่ยถามต่อ “ชื่อของเจ้าไม่อยู่ที่นี่ เราไม่ต้อนรับคนนอก จงออกไปซะ”

กู้เอ้อซุ่นถึงกับหน้าชา

ทุกสายตาในห้องจับจ้องมาที่เขา ใบหน้าของกู้เอ้อซุ่นเริ่มร้อนผ่าว “ข้า…ข้าคือ…”

“เอ แล้วนี่กู้เสี่ยวซุ่นมาถึงแล้วหรือยัง ”จู่ๆ อาจารย์ก็ถามแทรก

ไร้ซึ่งคำตอบจากคนในห้อง เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้ง

“กู้เสี่ยวซุ่นมาแล้วหรือยัง”

เหล่านักเรียนเริ่มซุบซิบ

กู้เสี่ยวซุ่น กู้เอ้อซุ่น ฟังดูแล้วยังไงยังไงก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกันแน่นอน แต่ไฉนอาจารย์ถึงไม่ถามเขา…

ขณะที่พวกนักเรียนกำลังซุบซิบกันก็เหลือบไปมองกู้เอ้อซุ่นด้วยสายตาฉงนสงสัย

เห็นได้ชัดว่ากู้เอ้อซุ่นตอนนี้หน้าชาขนาดไหน เขาพยายามตามหากู้ต้าซุ่น โดยหวังว่ากู้ต้าซุ่นจะช่วยเขาแก้ปัญหาได้ แต่กลับพบว่าห้องหนึ่งเทียนจื้อได้เริ่มการสอนไปเสียแล้ว

บัดนี้กู้เอ้อซุ่นไร้ทางหนีทีไล่ เขาแทบอยากจะมุดดินหนีออกไปจากที่นี่

พอเลิกชั้นเรียน กู้ต้าซุ่นถูกอาจารย์เรียก

“ท่านอาจารย์เฉิน” กู้ต้าซุ่นคารวะทักทาย

อาจารย์เฉินยืนนึกอยู่สักพัก จากนั้นเอ่ยถาม “เจ้ารู้เรื่องที่น้องชายของเจ้าได้เข้าเรียนที่นี่แล้วใช่ไหม”

กู้ต้าซุ่นตอบ “ทราบแล้วขอรับ ผู้ดูแลจากสำนักบัณฑิตนำหนังสือมาส่งถึงเรือนข้า เอ่อ…มิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นขอรับ”

อาจารย์เฉินขมวดคิ้ว “คนที่ได้เข้าเรียนคือกู้เสี่ยวซุ่น แต่คนที่มาปรากฏในชั้นเรียนกลับเป็นกู้เอ้อซุ่นน่ะสิ นี่เจ้ารู้เรื่องนี้ใช่ไหม”

กู้ต้าซุ่นสังเกตเห็นสีหน้าของท่านอาจารย์ พลันเอะใจอะไรบางอย่าง จึงรีบตีหน้าซื่อแล้วเอ่ยตอบ “ข้าไม่รู้เรื่องเลยขอรับ พอดีข้าออกมาก่อน สองคนที่ท่านกล่าวถึงเขาเป็นน้องชายข้า เป็นลูกของลุงรองนะขอรับ”

“เอาละ เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปเรียนเถิด”

“ท่านอาจารย์ขอรับ น้องชายข้า เขา…” กู้ต้าซุ่นหันไปหาอาจารย์ด้วยสีหน้ากังวล

เมื่ออาจารย์เห็นดังนั้นจึงรีบโบกมือปัด “ไม่มีอะไรหรอก เป็นเรื่องของตระกูลลุงรองเจ้านี่นา ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก เจ้ารีบไปเข้าเรียนเถอะ ครั้งนี้เจ้าทำคะแนนไว้ดีมาก อาจารย์ใหญ่มองเห็นความสามารถของเจ้านะ”

จากนั้นกู้ต้าซุ่นรีบเดินเข้าชั้นเรียน

ขณะที่กำลังนั่งเรียน เขาเหลือบไปตรงทางเดินนอกห้อง

คิดในใจ เจ้ากู้เอ้อซุ่นขี้กลัวขนาดนั้น คงไม่กล้าพูดจามั่วซั่วให้ใครเข้าฟังหรอกนะ

ขณะเดียวกัน ณ ตลาด กู้เจียวมุ่งตรงไปที่แผงร้านค้าประจำของนาง ใครๆ ต่างก็รู้ว่านางจะนำของป่ามาขาย

จึงช่วยกันจับจ้องที่ไว้ให้

วันนี้กู้เจียวนำเห็ดสดจากที่เก็บจากในป่ามาขาย รวมถึงเห็ดหูหนูแดดเดียว

“ของแบบนี้กินได้ด้วยรึ เห็นว่ากันว่ามันมีพิษน่ะ” หญิงเฒ่าที่เป็นแม่ค้าขายมันหวานเดินมาหยิบเห็ดหูหนูแห้งพลางเอ่ย

“ของที่ข้าขายแปลว่ากินได้” กู้เจียวเอ่ย

เห็ดหูหนูสดที่ผ่านการตากแดดจนความชื้นและเชื้อโรคระเหยออกหมด สามารถนำมาประกอบอาหารได้

หญิงเฒ่าเชื่อนาง พลางเอ่ย “ข้าเอามันหวานของข้ามาแลกได้ไหม”

กู้เจียวตอบ “อืม”

เห็ดที่นำมาถูกแลกขายให้แม่ค้ากันเองไปจำนวนครึ่งหนึ่ง ดังนั้นของที่ยังเหลืออยู่มีไว้ขายให้ผู้คนที่ผ่านไปมา

กู้เจียวใช้มือข้างเดียวแบกตะกร้า

ซึ่งเต็มไปด้วยของที่แม่ค้าคนอื่นเอามาแลก มีทั้งมันหวาน ฟักเขียว ฟักทอง และอื่นๆ เต็มไปหมด แต่นางก็ยกถือ

ได้ด้วยมือข้างเดียวอย่างสบายสบาย

พอคนในตลาดเห็นดังนั้นก็พลันทำตาโต และมองนางเดินถือตะกร้าหนักๆ ออกจากตลาดไป

กู้เจียวยังไม่กลับหมู่บ้าน และมุ่งหน้าไปยังตรอกซอยแห่งหนึ่ง

เซวียหนิงเซียงเองก็มาที่ตลาดเช่นกัน

อาการปวดขาของยายนางเริ่มปะทุกำเริบอีกแล้ว นางไม่มีเงินไปโรงหมอ ทำได้ก็แต่มาตามหายาสมุนไพรที่ตลาด

พอได้ยามาแล้ว ขณะที่กำลังเดินทางกลับ ก็เห็นเงาตะคุ่มตะคุ่มของใครบางคนที่คุ้นเคย

นางเพ่งสายตาอีกครั้ง ถึงได้แน่ใจว่าตนมองไม่ผิด จากนั้นทำหน้าฉงน

“นี่นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แล้วไฉนจึงเดินเข้าไปในที่แบบนั้นด้วย”

นางรู้ว่าในตรอกซอยนั่นเป็นที่อโคจร แหล่งรวมของโรงพนัน หอนางโลม ตลาดมืด…

เซวียหนิงเซียงคิดไม่ตกจริงๆ ว่าเหตุใดนางถึงเข้าไปในนั้น

จะโดนใครเขาหลอกมาหรือเปล่านะ หรือว่า…

เซวียหนิงเซียงขมวดคิ้ว จากนั้นตัดสินใจเดินตามไป

พอเข้าไปก็พบว่ากู้เจียวหายไปแล้ว ฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นโรงพนันขนาดใหญ่ ฝั่งซ้ายเป็นหอนางโลม ส่วนฝั่งขวา

ไม่รู้จักว่าคืออะไร แต่มีเสียงกรีดร้องดังออกมาเป็นระยะๆระยะ สักพักก็มีคนเดินออกมาด้วยสภาพฟกช้ำดำเขียว สักพักก็ตามมาด้วยคนในสภาพเลือดตกยางออก จะเดินก็ยังเดินไม่ไหว

เซวียหนิงเซียงรู้สึกตกใจอย่างสุดขีด ครั้นจะหันหลังกลับไป แต่กลับถูกชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งยืนขวางไว้

“เฮ้ย แม่สาวจากที่ใด หน้าตาช่างจิ้มลิ้มนัก!”

“จริงด้วย มาอยู่เล่นกับข้าด้วยกัน มามะ”

ชายสองคนที่ยืนด้านหน้าพยายามยื่นมือมาแต๊ะอั๋ง ส่วนอีกสองคนยืนหัวเราะชอบใจอยู่ด้านหลัง

พวกเขาพยายามรุมล้อมนางจนติดกับ

ครั้นจะกรีดร้องเรียกความช่วยเหลือ แต่กลับถูกมือของคนพวกนั้นปิดปากไว้

ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนพวกนี้ก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกมันดูชำนาญนัก คนหนึ่งปิดปากนางไว้ ส่วนอีกสองคนพยายามจับนางไว้ จากนั้นพวกมันก็เริ่มลวนลาม

เซวียหนิงเซียงพยายามเปล่งเสียงแต่ไม่ได้ผล ขยับไปไหนก็ไม่ได้ นางรู้สึกสิ้นหวังเสียจนต้องปล่อยโฮออกมา!

และในตอนนั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของพวกมัน “นี่ หลบไปซะ”

พอพวกอันธพาลได้ยินว่าเป็นเสียงของสตรี พลันคิดในใจ หรือจะมาอีกคนงั้นรึ

พอหันกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นสตรีร่างเล็กรูปโฉมอัปลักษณ์ที่ใบหน้ามีปานแดง

แถมยังรูปร่างผอมบางไม่มีน้ำนวลใดๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง

พวกอันธพาลไม่อยากเสียเวลาเสวนากับนาง หนึ่งในนั้นที่กำลังใช้มืออุดปากเซวียหนิงพลันตะโกนขึ้น

“ไสหัวไปซะ!”

“ข้าบอกว่า หลบไป”

น้ำเสียงของนางแผ่วเบาแฝงไปด้วยความไม่พอใจ สักพัก ไม่รู้ว่าพวกมันเกิดสะกิดใจอะไรเข้า จึงเบนความสนใจไปที่นาง

“ชิ” เสียงจุปากดังขึ้น เขาทำหน้ายิ้มเย้ยอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วเดินมาทางกู้เจียว

จากนั้นง้างมือแล้วปล่อยกำหมัดพุ่งเข้าไปที่กู้เจียว!

เซวียหนิงเซียงเอามือปิดตาเพราะไม่กล้ามอง

กร๊อบกรอบ!

“อ๊าก”

เสียงกระดูกหักและเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังขึ้น ทำเอาทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กัน

กู้เจียวไม่รอช้า คว้าคอเสื้ออันธพาลคนต่อมา แล้วใช้แรงผลักอันธพาลออกไปจนร่างชนกับกำแพงและล้มลง

อันธพาลอีกสองคนที่เหลือเข้ามารุมนาง แต่ไม่ทันไรก็ถูกนางใช้ขาเตะเข้าให้จนล้มลงไปกับพื้น

ชายคนแรกที่ล้มลงกับพื้น พยายามลุกขึ้นแล้วคว้าก้อนอิฐ จากนั้นเล็งเข้าไปตรงด้านหลังศีรษะของกู้เจียว