เมอร์ลินยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะค่อยเผยประติมากรรมนูนที่ซ่อนอยู่ในมือของเขาออกมา
เมื่อบอสเห็นมัน เขาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
เมอร์ลินที่เห็นอย่างนั้นก็เข้าใจทุกอย่างแล้วแต่เขาถามลองเชิงไปว่า
“แกรู้จักรูปปั้นนี้อย่างงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินเสียงของเมอร์ลินบอสก็หายจากอาหารตกใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของเมอร์ลินแต่พอเขาเห็นประติมากรรมนูน เขาก็โล่งใจ อย่างน้อย ๆ เขาก็จะปลอดภัยจนที่เมอร์ลินจะได้ของที่ต้องการ
“ผมไม่คาดคิดว่าท่านจะมีรูปปั้นนี้ด้วย แสดงว่าท่านก็มองเห็นความท่าทางแปลกแปลก ๆ จากมันด้วยใช่มั้ย?”
หลังจากพูดเสร็จเขาก็พิจารณารูปร่างของเมอร์ลิน ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเมอร์ลินจะฝึกท่าทางไปมากแค่ไหนแต่เขาก็มั่นใจว่าต้องมีบางอย่างในร่างกายของเมอร์ลินเปลี่ยนไปแน่นอน
“ผมมีรูปปั้นพวกนั้นอยู่สามอัน ผมเก็บพวกมันไว้ในที่ซ่อนอย่างดี หากท่านปล่อยผมไป ผมยินจะแลกเปลี่ยนมันกับของที่ท่านมีอยู่ได้” บอสได้รวบรวมความกล้าและเริ่มทำการต่อรองกับเมอร์ลิน
*ฟุ่บ*
แต่หลังจากที่บอสพูดจบก็มีลูกไฟหลายลูกปรากกฎบนมือของเมอร์ลิน พวกมันได้ลอยจากมือของเขาไปลอยรอบ ๆ บอส ด้วยความร้อนสูงของมันได้ค่อย ๆ หลอมละละลายนำแข็งที่เกาะบนตัวของบอส
หลังจากที่ผลึกน้ำแข็งได้หายไป บอสก็เป็นอิสระแต่เขาก็ยังไม่ไปไหน เขายังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมอร์ลิน เขาจับจ้องไปที่ประติมากรรมนูนบนมือของเมอร์ลินด้วยความอยากได้ เขาต้องการมันเพื่อเพิ่มพละกำลังของเขา
“ฉันต้องการพวกมันทั้งหมด”
ในที่สุดเมอร์ลินก็พูดออกมา นี่เป็นข้อเสนอที่แม้แต่บอสก็คาดไม่ถึง มันเกือบจะทำให้เขาสบถออกมา
“ทะท่านพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าท่านจะปล่อยผมไปเพื่อรูปปั้นแต่การที่ท่านขอมาตั้งสามชิ้น ผมรู้สึกมันจะมากไปหน่อยนะครับ” บอสกล่าวพลางกำหมัดแน่น ตอนนี้เขาตื่นตัวอย่างมาก หากเมอร์ลินเริ่มทำการโจมตี เขาพร้อมที่จะออกไปจากรถม้าทันที
“ฉันสามารถทำให้แกเป็นนักเวทย์ได้นะ”
เมอร์ลินกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาแต่คำพูดของเมอร์ลินได้ดังก้องไปในโสตประสาทของบอส
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ฉันสามารถทำให้แกเป็นนักเวทย์ได้”
เมอร์ลินพูดซ้ำอีกรอบ เมื่อบอสได้ยินอีกครั้งเขาก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความตื่นเต้นนี้ไปได้
*ฟึ่บ*
“ผมมีชื่อว่า คีน กัลลิเวอร์ ครับ!” คีนได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น
ตัวเขาได้ตกลงยอมรับเงื่อนไขของเมอร์ลินโดยไม่ลังเลใด ๆ แถมยังแสดงความจริงใจด้วยการเปิดเผยชื่อจริงของเขา
คีนได้รู้ถึงพลังที่แข็งแกร่งของของนักเวทย์จากข่าวลือที่ออกมาจากอาณาจักรแบล็กมูนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แม้ตอนนี้เขาจะมีพลังกายที่แข็งแกร่งเทียบเท่านักดาบธาตุระดับสามแต่เขาก็ยังถูกเมอร์ลินจัดการอย่างง่ายดาย นี่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของนักเวทย์
การที่จะได้เป็นนักเวทย์นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้รับมัน ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะมอบรูปปั้นทั้งสามอันให้เมอร์ลินเพราะยังไงเขาก็จำกระบวนท่าได้ทั้งหมดแล้ว
“เอ่อ..ท่านพ่อมด..” ดูเหมือนคีนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขารู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อเขารู้ว่าเขาไม่รู้จักชื่อของเมอร์ลิน
“ฉันมีชื่อว่า เมอร์ลิน วิลสัน” เมอร์ลินกล่าวเรียบ ๆ
“ท่านเมอร์ลิน รูปปั้นทั้งสามอัน ผมได้ซ่อนพวกมันไว้ในที่ลับ ท่านต้องการจะไปกับผมหรือจะรออยู่ที่นี่ครับ” คีนได้เปิดปากถามทันทีที่กระโดดลงจากรถม้า
เมอร์ลินคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ฉันจะไปกับเธอ”
คีนยิ้มรับ เขารู้ว่าเมอร์ลินยังไม่ไว้ใจเขาและกลัวว่าจะหนีและถึงเมอร์ลินจะตามเขาไป เขาก็ไม่กล้าทำอะไรเมอร์ลินอยู่ดี
“งั้นเราไปกันเถอะครับ” คีนพยักหน้าและเดินนำไปข้างหน้า เขาได้โบกมือให้หัวหน่วยที่สองมาหาเขา
ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเข้ามาพร้อมกับโจรอีกสองสามคน
“เมอร์ลิน ลูกกำลังทำอะไรอยู่” เลห์แมนถามอย่างไม่เข้าใจ เขาเห็นว่าเมอร์ลินจะปล่อยให้บอสรอดกลับไป
เมอร์ลินไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดได้ในตอนนี้ เขาตอบไปสั้น ๆ ว่า
“ท่านพ่อ บอสของกองโจรพายุ เขามีชื่อว่าคีน เขามีบางอย่างที่ผมต้องการ ผมจะเดินทางไปกับเขาแล้วหลังจากที่ผมกลับมาผมจะเล่าทุกอย่างให้ท่านพ่อฟัง” เมอร์ลินกล่าวจบก็เดินเข้าไปในรถม้า
หลังจากนั้นมอสส์ก็กระโดดขึ้นตรงที่ขับรถม้าและขับรถม้าไปหากลุ่มโจรอย่างช้า ๆ
เมอร์ลินรู้สึกหนักใจที่ตัวเองยังขี่ม้าไม่เป็น เขาจึงตัดสินอย่างเงียบ ๆ ว่าจะหาเวลาในการเรียนขี่ม้า ภายหลังจากลงหลักปักฐานในอาณาจักรแบล็กมูนได้แล้ว
“หยุดก่อน!!”
ด้วยเสียงที่ดังจึงทำให้เมอร์ลินแหวกม่านออกมาดูภายนอก เขาเห็นเจ้าชายเบนินได้ยืนขวางทางของคีนไว้
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล เขาชี้นิ้วไปที่คีนและตะโกนว่า
“เจ้าพวกโจรที่น่ารังเกียจ พวกเจ้ากล้าที่จะออกไปภายหลังจากฆ่าอัศวินของเราไปมากมายได้ง่ายอย่างนี้เหรอ! รองผู้บัญชาการเวย์นจัดการพวกโจรใจทรามพวกนี้ซะ!!”
คีนเหลือบไปมองเมอร์ลินที่อยู่ในรถม้า ท่าทางของเขาดูเฉยเมยไม่สนใจสิ่งอยู่ด้านนอก
คีนจึงอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยเบนิน
“ช่างโง่เง่าเสียจริง”
จากนั้นเขาก็เดินทางไปต่อโดยไม่สนใจเจ้าชายเบนิน
เมอร์ลินได้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาได้หันไปมองเจ้าหญิงเชอรีส เนื่องจากเจ้าชายเบนินยังไร้เดียงสาจึงไม่รู้อะไรแต่ทางเจ้าหญิงน่าจะรู้ดีว่าคีนเป็นเชลยของเขาไม่ใช่ของราชวศ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีอำนาจอะไรมาสั่งการได้ตามใจชอบ
ทางด้านเชอรีสได้เม้าริมฝีปากแน่น เธอพอจะรู้ถึงข้อความที่ส่งผ่านมาจากสายตาของเมอร์ลิน
เธอได้สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะค่อยสงบใจของเธอ ตอนนี้เธอไม่ควรทำอะไรผลีผลามเนื่องจากกองอัศวินปักษาอัคคีของเธอในตอนนี้ได้เหลือเพียง 400 จากเดิม 800 และยังมีคนบาดเจ็บอีกมากมาย
ตอนนี้สถานการณ์ของเธอเลวร้ายอย่างมาก ดังนั้นเธอต้องรีบไปที่อาณาจักรแบล็กมูนให้เร็วที่สุด
“บารอนวิลสัน เราต้องขอบคุณท่านมากที่มาช่วยพวกเรา อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถหยุดอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปเนื่องจากมีการเดินทางที่ยาวไกลรอพวกเราอยู่ ดังนั้นเราต้องขออภัยท่านบารอนด้วยที่ไม่สามารถร่วมเดินทางกับท่านได้”
เจ้าหญิงเชอรีสเม้มริมฝีปากอีกครั้งเพื่อระงับความโกรธ เธอไม่แม้แต่จะมองไปทางเมอร์ลิน เธอได้หันมาสั่งการกองอัศวินปักษาอัคคีที่เหลืออยู่ จากนั้นก็ออกเดินทางต่ออย่างรวดเร็ว
‘ดีแล้วที่พวกเขาเลือกที่จะจากไป มันจะทำให้ปัญหาของฉันน้อยลง’ เมอร์ลินคิด
จากนั้นเขาก็หันไปมองเลห์แมน เขาสังเกตเห็นว่าเลห์แมนไม่สนใจการจากไปของเจ้าหญิงเชอรีสเลย เมอร์ลินที่เห็นแบบนั้นก็โล่งใจเบา ๆ ที่เขาจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องของราชวงศ์อีกต่อไป ภายหลังจากที่ไปถึงอาณาจักรแบล็กมูนแล้ว
เขาได้หันไปสั่งมอสส์ไปออกเดินทางตามพวกโจรไป พวกเขาตามไปเรื่อย ๆ จนค่อย ๆ หายไปจากสายตา