ตอนที่ 11 ตรอกซอยลับ

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 11 ตรอกซอยลับ

“นี่คือสิ่งใด” เจียงจั้นยื่นมือรับสิ่งของชิ้นนั้นมาดูอย่างละเอียด

สิ่งนั้นคือกระบอกไม้ไผ่ท่อนหนึ่ง ฝากระบอกถูกอุดเอาไว้ สำหรับสัมผัสแรก เจียงจั้นคิดว่าข้างในนี้ต้องมีของอยู่แน่ๆ

เขาอดสูดหายใจลึกไม่ได้ พลางมองหน้าเจียงซื่อด้วยความตื่นเต้น

นี่น้องสี่คงไม่ได้แอบชอบคนชั้นต่ำที่ชอบเที่ยวหอนางโลมหรอกกระมัง อย่าเชียวนะ!

เจียงซื่ออธิบายเสียงเบา “ด้านหลังหอนางโลมปี้ชุนมีตรอกซอยลับอยู่หนึ่งซอย พี่รองเคยสังเกตหรือไม่”

เอ๊ะ…น้องสี่รู้แม้กระทั่งตรอกซอยลับนั่น หรือว่าเคยนัดพบกับคนชั้นต่ำแถวนั้นจริงๆ

สีหน้าของเจียงจั้นแย่ลงกว่าเดิม

ตรอกซอยลับนั่นแทบไม่มีคนไป ได้ยินว่า หลังจากสาวขายบริการที่ใบหน้าเริ่มเหี่ยวย่นและล้มป่วยตาย ก็จะถูกห่อด้วยหญ้าแห้งแล้วยกออกไปทิ้งโดยใช้ตรอกซอยนั้นเป็นทางผ่าน

ส่วนเขารู้จักตรอกซอยนั่นได้ ก็เพราะบังเอิญเคยเห็นคนลากตาแก่มึนเมาคนหนึ่ง ออกมาจากหอนางโลมปี้ชุนแล้วทุบตีเขาอย่างรุนแรงตรงนั้น

“พี่รองไม่รู้จักรึ ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นข้า…”

“ข้ารู้ๆ!”

“งั้นข้ารบกวนพี่รองนำกระบอกไม้ไผ่นี่ไปที่ตรอกซอยลับ ตรงนั้นน่าจะมี ‘กล่องร้องเรียน’ ติดอยู่”

กล่องร้องเรียน คือกระบอกไม้ไผ่ยาวหนึ่งฟุต มักถูกติดตั้งไว้ตามตรอกซอยที่ลับตาคน หากมีใครอยากร้องเรียนพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของขุนนาง สามารถแอบหยอดจดหมายเข้าไปได้ พอถึงเวลาจะมีเจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการมาเก็บจดหมายเป็นระยะๆ

ชาติที่แล้ว จวนอันกั๋วกงปิดเรื่องนี้ไว้เงียบสนิท ในจวนปั๋วก็มีท่านย่าช่วยปิดข่าว จึงทำให้เรื่องนี้ไม่ถูกแพร่งพรายออกไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการมาสอบสวนจวนอันกั๋วกง

ตอนนี้เรื่องอื้อฉาวของอันกั๋วกงได้กระจายออกไปแล้ว แต่ผู้ตรวจการของสำนักตรวจการไปเข้าเฝ้าร่วมว่าราชกิจตั้งแต่ฟ้ายังมืด จึงยังไม่รู้เรื่องราว ผ่านไปสองสามวันจนเรื่องซาลง แม้เจ้าหน้าที่ตรวจการจะรู้เรื่องแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปสอบสวนเรื่องราวจากจวนอันกั๋วกงเลยแม้แต่น้อย

ครั้งนี้ เจียงซื่อไม่ต้องการให้จวนอันกั๋วกงผ่านพ้นเรื่องนี้ไปง่ายๆ

มีผู้ตรวจการในสำนักตรวจการคนหนึ่งแซ่หนิว ขึ้นชื่อเรื่องไม่สนใจทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน วันนี้ หลังจากที่เข้าเฝ้าร่วมว่าราชกิจเสร็จสิ้น เขาก็ได้ส่งคนสนิทไปเก็บจดหมายร้องเรียนที่ถูกหยอดตามกล่องร้องเรียนที่เขาแอบติดตั้งไว้ตรงหอนางโลมปี้ชุน นางจึงขอความช่วยเหลือจากพี่ชาย เพื่อให้เรื่องนี้ถูกผู้ตรวจการหนิวท่านนี้จัดการอันกั๋วกงให้อยู่หมัดในเวลาที่สั้นที่สุด

นางเข้าใจดีว่าเรื่องนี้หาใช่เรื่องน่าประหลาดใจไม่ ผู้ตรวจการหนิวท่านนี้ เมื่อชาติที่แล้ว หลังจากที่เก็บคำร้องเรียนมาแล้วหนึ่งฉบับ เขาได้ทำการฟ้องร้องท่านเสนาบดีแห่งกรมพิธีการในทันที

เสนาบดีกรมพิธีการคือท่านปู่ของชายาเอกของไท่จื่อองค์ปัจจุบัน แต่ในตอนท้าย เรื่องราวเรื่องนั้นกลับได้รับการยืนยันว่าเป็นการฟ้องเท็จ จึงทำให้ผู้ตรวจการท่านนั้นต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งไป

แต่ช่างน่าสงสารที่ผู้ตรวจการหนิวเป็นคนหัวรั้น เขากลับเลือกจบชีวิตตัวเองด้วยการวิ่งชนเสา ด้วยเหตุการณ์นี้ เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ เขาได้สร้างศัตรูไว้มาก ลูกเมียที่เหลืออยู่ มีชีวิตต่อไปอย่างไร ก็คงนึกภาพออก

จนกระทั่งถึงคราวที่ไท่จื่อทำผิดจนถูกถอนตำแหน่ง เรื่องราวของผู้ตรวจการหนิวถูกคนวางกับดัก จึงได้ถูกเปิดโปงออกมา แต่เรื่องน่าเศร้าที่ได้เกิดขึ้นแล้วนั้น ไม่สามารถหวนกลับไปแก้ไขได้อีก

เจียงซื่อนึกคิด ด้วยนิสัยที่เป็นคนใจร้อนของผู้ตรวจการหนิว เขาน่าจะอยากเล่าเรื่องราวของอันกั๋วกงให้ฮ่องเต้ฟัง

ขอแค่เรื่องที่จี้ฉงอี้ฆ่าตัวตายกับผู้อื่นไปถึงฮ่องเต้ คุณชายสามจี้อยากแต่งงานกับผู้หญิงชนชั้นสูงอีกก็คงกลายเป็นเรื่องที่เอื้อมไม่ถึงอีกต่อไป ถึงเวลานั้น ไม่แน่ว่าอาจได้อยู่ครองคู่กับเฉี่ยวเหนียงไปตลอดชีวิต และหยุดทำร้ายผู้หญิงอื่นก็เป็นได้

หากสามารถช่วยชีวิตผู้ตรวจการหนิวไว้ได้ แล้วยังทำให้คู่รักคู่หนึ่งได้ครองคู่กัน เจียงซื่อรู้สึกว่าตัวเองได้กระทำในสิ่งเห็นแก่ความรู้สึกของผู้อื่นเป็นอย่างมากแล้วล่ะ

“กล่องร้องเรียนคือสิ่งใดกัน” เจียงจั้นรู้สึกงุนงงกับสิ่งของสิ่งนั้น

เจียงซื่อมองหน้าพี่ชายพลางถอนหายใจ

เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน กลิ่นเดิมไม่มีเปลี่ยน พี่ชายของนางยังคงเป็นคนไร้ความสามารถเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน!

พออธิบายว่า ‘กล่องร้องเรียน’ คือสิ่งใดจนกระจ่าง เจียงจั้นพลันแสดงสีหน้าตื่นเต้นในทันใด “มีสิ่งของน่าสนุกเช่นนี้อยู่ด้วยหรอกรึ ถ้ารู้แต่แรก ข้าคงเขียนจดหมายร้องเรียนบ้างแล้ว”

“พี่รองอย่าได้ทำเป็นเล่นไป จดหมายที่เปิดโปงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของผู้อื่นล้วนถูกมองว่าเป็นภัยพิบัติอันใหญ่หลวง หากถูกแพร่งพรายออกไปแล้วถูกผู้อื่นมองลายมือออก จะเป็นเรื่องเอาได้”

“เช่นนั้นรึ” เจียงจั้นพยักหน้าด้วยความเสียดาย

“พี่รองรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันผู้ตรวจการฟ้องร้องจวนอันกั๋วกงนะเจ้าคะ ท่านย่ากำลังเรียกท่านอารองกลับมา เรื่องใหญ่ๆ ในจวน ท่านย่ากับท่านอาเป็นคนตัดสินใจ ข้าคิดว่าท่านอาก็คงไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกงานสมรสแน่”

“น้องสี่สบายใจได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ จะไม่ให้กระทบถึงเรื่องของเจ้าแน่ๆ!”

“พี่รอง เอาตะเกียบไม้คู่ไปด้วย อย่าลืมคีบกระบอกไม้ไผ่อันเล็กที่อยู่ข้างบนสุดกลับมาด้วยนะเจ้าคะ”

กระบอกไม้ไผ่อันเล็กที่อยู่ด้านบนสุดก็คือจดหมายเกี่ยวกับเสนาบดีกรมพิธีการ

“ทำไมล่ะ”

“ไว้ข้าอธิบายให้พี่รองฟังอีกที จะไม่ทันการแล้วเจ้าค่ะ”

พอเจียงซื่อเอ่ยเร่ง เจียงจั้นก็ลืมความสงสัยทันที พอเก็บกระบอกไม้ไผ่เสร็จก็ออกเดินทางทันที

เจียงซื่ออดขำไม่ได้

พี่รองเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงอยากรู้มาก แต่พอหันหลังก็ลืมทันทีเสียอย่างนั้น

เจียงจั้นหนีบกระบอกไม้ไผ่เอาไว้ เดินตรงไปยังหอนางโลมปี้ชุนโดยไม่ให้เสียเวลาแม้แต่น้อย

ช่วยไม่ได้ ใครสั่งให้เขาคุ้นเคยเส้นทางนั้นเป็นอย่างดีล่ะ

ช่วงเวลายามเช้า เป็นช่วงเวลาที่หอนางโลมปี้ชุนเงียบสงบมากที่สุด ประตูใหญ่ปิดสนิท โคมไฟสีแดงใต้หลังคาถูกดับไฟไว้แต่แรก กำลังแกว่งไปมาตามแรงของลม ช่างดูเงียบเหงาไร้สีสัน

ช่วงเช้าเป็นช่วงพักผ่อนของคนในหอนางโลม พอตกเย็น โคมไฟจะถูกจุดจนสว่าง สีสันและความคึกคักของหอนางโลมปี้ชุนก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้งในเวลานั้น

เจียงจั้นทำตามสิ่งที่เจียงซื่อบอกไว้ ว่าให้แอบเข้าไปในตรอกซอยลับนั่น แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง เขาหากล่องร้องเรียนเจออยู่ตรงแถวอิฐสีเงินด่าง

ก่อนอื่น เขาใช้ไม้ตะเกียบคู่ คีบกระบอกไม้ไผ่ตรงปากกล่องออกมาก่อน จากนั้นค่อยหยิบกระบอกไม้ไผ่อันใหม่ใส่เข้าไป เจียงจั้นที่ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นควรเดินทางกลับทันที แต่พอคิดบางอย่างขึ้นได้ เขากลับปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเรียบร้อยแล้ว

นี่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ใบ้ไม้กำลังผลิบานเป็นจำนวนมาก มากจนสามารถปิดตัวเขาได้มิดชิด

เจียงจั้นนั่งรออยู่บนก้านไม้จนอยากนอนหลับ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเท้ากระทบพื้นเบาๆ ดังขึ้นมา

ความง่วงของเขาหายไปในพริบตา พลางแหวกใบไม้ออกเพื่อส่องดูความเคลื่อนไหวข้างล่าง

บุรุษอายุน้อยรูปงามคนหนึ่งมองซ้ายมองขวาดูลาดเลา จากนั้นเอาตัวแนบกับกำแพงเดินเข้ามาเงียบๆ เมื่อเดินมาถึงหน้ากล่องร้องเรียนก็หยิบจดหมายร้องเรียนออกมาพร้อมกับมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง จากนั้น เขาเก็บจดหมายใส่ในอ้อมอกและวิ่งออกจากตรงนี้ทันที

เจียงจั้นจับคางพลางพูดพล่ามอยู่คนเดียว “มีคนมาหยิบกล่องร้องเรียนในเวลานี้จริงๆ ด้วย”

น้องสี่รู้ได้อย่างไรกันนะ

แต่น้องสี่เป็นคนฉลาดตั้งแต่เด็ก ถ้าจะรู้อะไรเหล่านี้มากกว่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก อืม คงเป็นเช่นนั้นล่ะ

เมื่อเจียงจั้นเตรียมตัวไต่ลงไป พลันมีเสียงเท้ากระทบพื้นดังขึ้นอีกครั้ง

เขาตะลึงตกใจมากจนต้องรีบซ่อนตัว

เสียงย่ำเท้าครั้งนี้เบากว่าคนก่อนหน้านี้มาก ท่าทางต่างๆ ยิ่งละเมียดละไมกว่ามาก เขามาถึงตำแหน่งหยอดจดหมายลงกล่องร้องเรียนด้วยความรวดเร็วดุจมังกรที่แวกว่ายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สอดส่องรูที่ทำขึ้นด้วยแววตาวิบวับ

นี่ใครกัน มาจากที่ไหนอีกละนี่

เจียงจั้นครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

จู่ๆ คนนั้นก็พลันเงยศีรษะขึ้น สายตาคู่นั้นมองทะลุใบไม้จนเหมือนได้สบตากับเจียงจั้น

แรงพิฆาตรคู่นั้นพลันครอบเขาไว้ทั้งตัว เจียงจั้นเองถึงกับชาไปทั้งตัว

มองไม่เห็นข้า มองไม่เห็นข้า

เจียงจั้นพูดปลอบใจตัวเอง พอกำลังจะพูดรอบที่สาม เขาพลันกระโดดลงจากต้นไม้เตรียมวิ่งหนี

เพราะในเวลานี้เช่นนี้ อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวอีกจะดีเสียกว่า การหนีคงเป็นแผนการที่ดีที่สุดแล้ว!

แต่คนนั้นกลับเร็วปานฟ้าผ่า ยื่นมือคว้าแขนเจียงจั้นและดึงกลับมาได้ทัน

เมื่อหมดหวังกับการหนีแล้ว เจียงจั้นไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก จึงหันกลับมาเผชิญหน้าแทน

สำหรับคนที่ก่อเรื่องเป็นกิจวัตรอย่างเขา ฝีมือการต่อสู้ก็ต้องฝึกไว้บ้าง

แต่พอบังเอิญได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่เก่งกว่า เจียงจั้นก็เข้าใจความแตกต่างของผู้มีฝีมือจริงๆ กับพวกเสเพลเกเรทันที

ระยะห่างนั่นมันเกือบพอๆ กับทางช้างเผือกเชียวนะ

เขากลับถูกคนรัดแขนคล้องเท้าในเวลาเพียงพริบตา จากนั้นแสงอันเยือกเย็นกวาบผ่านตรงหน้าเขา

ให้ตายเถอะ เงินที่ติดไว้กับร้านเหล้าจุ้ยเซียวยังไม่ได้ไปคืนเลย!