[ นี่ๆ ตาแก่บอกหน่อย อีกนานมั้ยอะกว่าพวกเราจะถึงเนี้ย ? ]

 

ขณะกำลังโยกเยกโดยรถม้าที่ถูกลากโดยม้า 2 ตัวเหมือนคันอื่นๆทั่วๆไป เด็กชายถามพ่อของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยดวงตาที่เปล่งประกราย อาการลุกลี่ลุกลนและท่าทางที่ดูหงุดหงิดมันดูราวกับว่าเขาไม่ต้องการที่จะรอให้ถึงที่หมายอีกแล้ว

พ่อของเด็กผู้ชายนั้นได้ตอบกลับไปเพื่อให้ลูกของเขาใจเย็นลง

 

[ เร็วๆนี้แหละ เพราะงั้นเงียบลงหน่อยนะ ]

[ เมื่อตะกี้พ่อก็พูดอย่างงี้ ผมเบื่อที่จะฟังคำว่า “เร็วๆนี้แหละ” อีกแล้ว ! ]

[ แต่ ฉันก็เบื่อที่จะได้ยินไลเนอร์พูดว่า “อีกนานแค่ไหน?” เหมือนกันค่ะ ]

 

ที่ฝั่งตรงข้ามพ่อของเด็กผู้ชาย คือเด็กผู้หญิงผมสีบอร์น เธอนั่งอยู่ด้วยท่าทางที่ไม่เป็นมิตร และกล่าวกับเด็กผู้ชายผมสีแดงราวกับว่าทำให้เธอโกรธ 

ต้นเหตุทั้งหมดมาจากตัวเด็กผู้ชายเอง หรือก็คือ ไลเนอร์ ซึ่งตอนนี้กำลังถูก อีก 2 คนลุมด้วยวาจา แต่ว่ามันก็มีเหตุผลที่เขาแสดงท่าทางออกมาเช่นนี้

 

[ นี่มันเป็นครั้งแรกที่พวกเราจะได้ไปที่เมืองนะ ! ไม่ตื่นเต้นกันเลยหรอ ? ]

 

ที่ๆพวกเขาจากมานั้นคือหมู่บ้านชนบทที่มีชื่อว่าบร๊อช ซึ่งรอบๆมีแต่ภูเขา เพราะมันอยู่ค่อนข้างห่างไกล ดังนั้นไลเนอร์จึงเคยไปแค่ที่หมู่บ้านหรือเมืองบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น แต่ตอนนี้มันแตกต่างจากเดิม เพราะนี่คือครั้งแรกตั้งแต่เขาเกิดมาที่ได้เดินทางออกมาจากดินแดนของตนเอง

 

[ แม้นายจะเรียกมันว่าเมือง แต่มันก็แค่เมืองเดลฟิต มันไม่เหมือนกับว่าพวกเรากำลังไปที่เมืองหลวง และถ้าหากแค่นี้นายยังตื่นเต้นมันก็จะยิ่งชัดเจนเลยว่านายนั้นเป็นไอ้บ้านนอก ]

[ ใช่แล้ว บร๊อชน่ะบ้านนอก ]

[ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย . . .  ]

 

มันเป็นการสนทนาที่ฟังดูมีชีวิตชีวา แต่ทว่ากลับไม่มีใครในที่นี้ให้ความสนใจมันนัก ตั้งแต่แรกแล้ว รถม้าคันนี้แออัดไปด้วยผู้คน และพวกเขาก็พูดคุยกันพอเป็นพิธีตั้งแต่เริ่มเดินทางเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีใครให้ความสนใจในการสนทนานี้สักเท่าไร

แต่ว่าในหมู่คนที่อยู่ในรถคันนี้ มีชายคนหนึ่งที่ลักษณะดูเหมือนจะผ่านชีวิตมามาก ร่างกายของเขายังดูแข็งแรงดีและหนวดเคราที่ดูอุดมสมบูรณ์ เขาเห็นการสนทนานี้ตั้งแต่แรกและเริ่มต้นพูดคุยกับพ่อของไลเนอร์

 

[ พวกคุณมาจากหมู่บ้านบร๊อชงั้นรึ? ]

[ ครับ คุณรู้จักบร๊อชด้วย ? ]

[ มันคือหมู่บ้านๆหนึ่งที่อยู่ทางเหนือสุดของอาณาจักรที่ถูกปกครองโดย ไวท์เค๊าท์บอลลัค ใช่รึปล่าว? ]

[ ดูเหมือนคุณจะมีความรู้เรื่องนี้ดีนะครับ ]

[ ก็ข้าค่อนข้างสนิทกับเขา ]

 

เมื่อกล่าวออกมาเช่นนั้น ชายคนนั้นก็นิ้วมือป้องไปยังปากเป็นสัญลักษณ์ จุ๊จุ๊ และพ่อของไลเนอร์ก็เข้าใจดีในสิ่งที่ชายคนนั้นต้องการจะบอก

 

[ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหล้าสินะ หึ ]

[ ใช่แล้ว ถ้าหากคุณพูดถึง [ โรงเบียร์ของเบเล่ ]  มันเป็นที่รู้จักกันในดีในท้องถื่นนั้น ]

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า “ ชายคนนั้นหัวเราะออกดังลั่นซึ่งก็เหมาะสมกับร่างกายของเขา

ไวท์เคาท์ บอลลัค มีชื่อเสียงโด่งดั่งในชื่อของผู้ที่ชื่นชอบแอลกอฮอล์ ถ้าหากผู้คนในดินแดนถูกถามเกี่ยวกับมัน อย่างน้อยพวกเขาคงจะเคยได้ยินสักครั้งเกี่ยวกับข่าวลือที่เขาจะออกไปดื่มแอลกอฮอล์ทุกๆคืนราวกับอาบน้ำด้วยเหล้าเลยล่ะ หรือไม่ก็เขานั้นไปที่บาร์ในเมืองบ่อยๆเพื่อดื่ม

ตามที่เบเล่เกล่าวมา ท่านไวท์เค๊าท์นั้นเคยอาศัยในเมืองที่เบเล่เปิดกิจการร้านเหล้าอยู่ ดูเหมือนว่าเขานั้นจะชื่นชอบเครื่องดื่มมึนเมาที่มาจากโรงเบียร์เบเล่ก่อนที่เขาจะปกครองดินแดนเสียอีก และหลังจากที่เขากลายมาเป็นไวท์เค๊าท์ เขาก็ยังซื้อขายสินค้าที่มาจากโรงเบียร์เบเล่อยู่ตลอดเหมือนเดิม

มันคงยากที่จะบอกว่าเมืองของเขานั้นใกล้ชิดกับดินแดนของบอลลัค แต่ว่าในเมื่อเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเงินๆทองๆ มันจึงได้ฤกษ์ที่เขาจะขยายกิจการ และนั้น ตอนนี้เขากำลังอยู่ในระหว่างขยายกิจการของเขาในดินแดนของบอลลัคเช่นกัน

ถึงเขาจะมีความรู้เกี่ยวกับหมู่บ้านบร๊อชดี แต่ว่าเขาก็ยังไม่เคยไปที่บร๊อช เขารู้เพียงแค่ชื่อและภูมิศาสตร์โดยรอบแค่นั้น

 

[ เดี่ยวนะ ถ้าหากมาจากบร๊อช แสดงว่าคุณก็มาไกลเลยทีเดียว เดลฟิตคือจุดหมายของพวกคุณใช่มั้ย? มันไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไรนะที่จะพาเด็กๆเหล่านี้มาเปิดหูเปิดตา ]

 

เมืองท่า เดลฟิต ตามชื่อเลย มันคือเมืองที่แผ่ขยายเมืองยืดออกไปในทะเล มันเป็นแหล่งการตกปลาและการค้าที่รุ่งเรืองมาก

เพราะส่วนใหญ่ของตัวเมืองนั้นคือท่าเรือที่อยู่ติดกับทะเล ดังนั้นการค้าขายทางเรือจึงมีขนาดใหญ่และเพราะเช่นนั้นหาดเกือบทั้งหมดจึงไม่ได้ใช้เพื่อความบรรเทิง และอีกฝั่งหนึ่งของท่าเรือซึ่งไม่ใกลนัก หากใครได้ลองไปจะรู้ว่าบรรยากาศมันช่างแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เพราะที่นั้นไม่มีเรือเลยซักลำ พื้นนี้บริเวณนั้นมีเหล่ามอนเตอร์อาศัยอยู่ชุกชุม และเมืองนี้มีไว้เหล่าเหล่านักท่องเที่ยวที่ต้องการเที่ยวชมทะเลด้วยการล่องเรือซึ่งทิปนี้มันกินเวลาเกือบ 3 เดือน ซึ่งดูๆแล้วไลเนอร์และอีก 2 คนคงจะไม่ได้มาเพื่อล่องเรือแน่ๆ พวกเขาคงจะมาลิ้มรสอาหารทะเลและสินค้าต่างๆล่ะมั้ง

 

[ มันไม่ได้มาเพื่อเที่ยวชมนะ ! แต่เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันต่อสู้ !! ]

 

ไลเนอร์ประกาศออกมาอย่างชัดเจนให้กับคำถามของเบเล่

เมืองเดลฟิตนั้นคือเมืองท่า หรืออีกความหมายก็คือ มันคือเมืองของชาวประมง และนั้น ที่นี่มีเหล่าชายหนุ่มแข็งแรงมากมายและภูมิใจในพละกำลังของตนอาศัยอยู่

อาจเพราะตอบสนองต่อจิตวิญญาณแห่งลูกผู้ชายนั้น งานประลองจึงถูกจัดขึ้นในทุกๆปีที่เดลฟิต

แม้ว่างานนี้มันจะถูกจัดขึ้นด้วยเหตุผลเช่นนั้น แต่มันก็มีส่วนช่วยให้หน่วยงานรักษาความปลอดภัยทางเรือมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่เดิมผู้คนนั้นต่างต้องการที่จะระบายความโกรธของพวกเขาเป็นปกติอยู่แล้ว หรือบางคนที่เพียงแค่อยากจะป่าเถื่อน ดังนั้นงานชุมนุมแห่งความรุนแรงนี้จึงถูกจัดขึ้นโดยผู้คนที่อาศัยอยู่เดลฟิตและมันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

เช่นเดียวกับปีนี้ จำนวนพวกสมัครเข้าแข่งขันสูงขึ้นมากกว่าตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้แรกเริ่มเวทีการต่อสู้แห่งนี้จะถูกจัดขึ้นเพื่อคนในเมืองเดลฟิต แต่ว่าตอนนี้ต่างมีผู้สมัครที่มาจากในหลายๆเมืองมาร่วมด้วย 

เมื่อมาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็นึกออกว่ามันถึงช่วงเทศกาลนี้พอดี ขณะที่เริ่มจะมั่นใจ เบเล่ก็มองไปยังไลเนอร์ที่ยังลุกลี้ลุกลนไม่หยุด และกล่าวขึ้น

 

[ งานประลอง? หือ เธอเนี้ยนะ ? ]

[ อ , ไอ้ปฎิกิริยานั้นมันอะไรกันห๊ะ ]

[ มันไม่ใช่ว่าเธออ่อนแอหรอกนะแต่ว่างานประลองที่เดลฟิตนั้นมันโหดพอควร ดังนั้นก็ระวังตัวด้วยอย่าให้บาดเจ็บมากนักล่ะ ]

[ ไม่เป็นไรหรอกน่า ในเมื่อผมจะชนะการประลอง ! ]

[ โฮ มั่นใจจริงนะ ]

[ อืม เขาจะเข้าสมัครแข่งขันในรุ่นอายุต่ำกว่า 13 ปีน่ะ ]

 

พ่อของไลเนอร์ลูบหัวลูกชายของเขาอย่างลวกๆ และนั้น ทำให้ไลเนอร์ร้องออกมาว่า “หยุดนะ” และพยายามปัดมือพ่อของเขาออกไป ขณะกำลังมองฉากที่อบอุ่นนี้ แต่ว่า เบเล่ไม่ได้รู้สึกถึงบรรยากาศความแข็งแกร่งของเด็กนี้ผู้ที่ประกาศว่าจะชนะการประลองเลยสักนิด

และขณะที่ไลเนอร์ยังคงเอะอะอยู่เช่นเคย จู่ๆชายเสื้อของเขาก็ถูกดึง เขาจึงหันไปยังทิศทางของผู้ที่ดึงนั้น

 

[ อะไรรึ? ]

[ มองเห็นแล้วล่ะ เมืองเดลฟิต ]

[ เอ๋ จริงหรือ ? ]

 

แทบไม่ต้องรอให้พูดจบ ไลเนอร์ก็ยื่นหัวของเขา , ไม่สิ ครึ่งตัวของเขาออกไปยังนอกหน้าต่าง และนั้น ภาพของเมืองเดลฟิตที่อยู่ตรงหน้าของเขา

มันอาจจะพูดเกินจริงที่ว่าคนในเมืองนี้นั้นสามารถเอื้อมถึงท้องฟ้า แต่เมื่อเขาได้พบกับสิ่งก่อสร้างสูงเฉียดฟ้ามากมายที่หาพบไม่ได้ในเมือง ลิสเซ่ และมันยังมีคอกม้ามากมายตลอดถนนที่พวกเขากำลังเดินทางผ่าน และผู้คนอีกมากมายที่กำลังเดินทั้งเข้าไปและออกมาจากตัวเมือง

แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เข้าสู่ตัวเมือง เพราะจุดที่เขากำลังอยู่นั้นยังอยู่จากประตูเมืองค่อนข้างไกล แต่มันก็ทำให้เด็กชายร่าเริ่งขึ้นอย่างมาก หัวใจของไลเนอร์นั้นกำลังกระโดดโลดเต้นให้กับสิ่งต่างๆมากมายที่เขาไม่เคยพบและไม่เคยได้ยินมาก่อน และเมื่อรถม้าของเขาเข้าไปยังภายในเมืองเขาก็ยิ่งตื่นเต้น แต่ว่าเด็กผู้หญิงที่มาด้วยกันนั้นกับแสดงสีหน้าเหมือนกับไม่รู้สึกอะไร อาจเพราะความสนใจเหล่านี้นั้นเธอได้เห็นแล้วจากที่นอกหน้าต่าง 

 

[ ว้าววว สุดยอดดดด-! ]

[ ไลเนอร์ เลิกเอ๊ะอะโวยวายได้แล้ว และแบบนั้นมันอันตรายนะ กลับเข้ามาจากหน้าต่างได้แล้ว! ]

[ ไม่เป็นไรน่า ว้าวว นั้นมันอะไรอะ ? ]

 

หลังจากการรอคอยมาอย่างยาวนานก็มาถึงสักที เมืองเดลฟิต อารมณ์ของไลเนอร์ที่กำลังยิ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆไม่หยุดแม้จะเข้ามาในเมืองและลงจากรถม้าแล้ว

และเมื่อเขาได้ยืนอยู่บนพื้นดินของเมืองเดลฟิตด้วย 2 ขาของตนเอง ราวกับถูกสายฟ้าช็อตมาที่ร่าง

 

[ ดูจำนวนผู้คนที่มากมายขนาดนั้นสิ !! ดูบ้านเรือนที่สูงใหญ่นั้นสิ ดูนั้น!! นั้นมันเรือเหล็ก !! ]

[ นั้นมันรูปปั้นเรือ! ]

 

สำหรับตอนนี้ ไลเนอร์ตะโกนออกมาในทุกๆสิ่งที่เขามองเห็น แม้กำลังมองอนุสาวรีย์รูปเรือยักที่ถูกตั้งอยู่กลางน้ำพุที่ลานกลางเมือง เขาก็ไม่แม้จะซ่อนความตื่นเต้นของเขาแต่อย่างใด

ผู้คนโดยรอบในเมืองต่างหัวเราะออกมาเมื่อเห็นภาพของเด็กชายที่กำลังมองสิ่งต่างๆอย่างตื่นเต้น ไลเนอร์ที่กำลังตื่นเต้นถึงขีดสุดจนเขาไม่สังเกตุถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรอบ แต่สำหรับอีก 2 คนที่มาด้วย ซึ่งตอนนี้ได้แต่อายม้วนทีเดียว

 

[ เฮ้ ไลเนอร์ นายจะตื่นเต้นเกินไปแล้วนะ! พวกเราต้องรีบไปสมัครเข้าร่วมงานประลองนะ ]

[ เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังน่า ! ผมขอไปดูทะเลก่อนนะเดียวกลับมา! ]

[ ห๊ะ . . . เดี่ยวสิ ! ]

 

เมื่อเขากล่าวจบก็พุ่งออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงเสียงเรียกที่ตามหลังเขาไป

และร่างนั้นก็เข้าปะปนกับเหล่าฝูงชนและได้ถูกกลืนหายไป

 

[ เห้อ เขาตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาเลยนะ . . . งั้นข้าจะไปลงสมัครให้เอง ดังนั้น ข้าขอฝากเขาไว้กับเธอด้วย และหลังจากที่เธอจับตัวเขาได้ พวกเราค่อยมารวามตัวกันที่หน้ารูปปั้นนี้ก็แล้วกัน ]

[ เข้าใจแล้วค่ะ ]

 

ทั้ง 2 คนต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง

เด็กผู้ชายที่ถูกเรียกว่าไลเนอร์ ผู้เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ผู้ที่มักจะเล่นและเที่ยวไปทั่วจนกว่าเขาจะเหนื่อย ตอนนี้เขาได้มุ่งตรงไปที่ท่าเรือเพื่อดูทะเล แต่ว่า มันไม่รู้ว่าเมื่อเขาได้เห็นทะเลแล้วเขาจะไปที่ไหนต่อ และนั้นมันเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆถ้าหากเธอไม่สามารถจับตัวเขาได้ก่อนที่เขาจะไปที่อื่นต่อ

เธอที่วิ่งออกตามหาเขาหลังจากนั้น เธอเคลื่อนไหวผ่านเหล่าฝูงชนได้อย่างง่ายดาย มันถือว่าเป็นข้อดีที่มีเพียงแค่เธอที่สามารถทำเช่นนี้ได้นั้นเพราะเธอยังเป็นแค่เด็กจึงมีรูปร่างเล็กและความว่องไวและปราดเปรียว

เธอผู้ซึ่งมาจากหมู่บ้านเดียวกับไลเนอร์ นี่ก็เป็นครั้งแรกของเธอเช่นกันที่ได้มายังเมืองนี้ และในขณะมองหาเขาท่ามกลางฝูงชน ทันใดนั้น เธอก็ได้ชนกับร่างของคนๆหนึ่งที่หัวมุมของถนน

 

[ คิยาา! ]

 

อาจเพราะแรงปะทะจากการชน เธอจึงถอยหลังและล้มลงอย่างไม่รู้ตัว และตอนที่ชนนั้นโชคดีที่เธอกำลังเดินอยู่ เธอจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่นั้นมันก็แค่ตัวของเธอเอง และเพื่อจะยืนยันความปลอดภัยของอีกฝ่ายเธอจึงลุกขึ้น

 

[ ขะ , ขอโทษค่ะ! คุณไม่เป็นอะไรนะคะ ? ]

[ ค่ะ ดิฉันไม่เป็นอะไร ]

 

มันเป็นน้ำเสียงที่ใสสดดังก้องเข้ามาภายในหูของเธอ ทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังจอแจ

น้ำเสียงนั้นที่แค่ฟังก็สามารถตราตรึงใจหลายๆคน แต่ว่าเมื่อเธอในพบกับร่างของเจ้าของเสียงนั้น เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่อายุไม่น่าจะต่างจากเธอมาก มันทำให้เธอถึงกับลืมหายใจ

 

( นะ , น่ารัก . . .! )

 

มันไม่ใช่คำเสียดสี แต่ว่านั้นมันคือความรู้สึกประทับใจจริงๆของเธอ

สิ่งที่อยู่ประบ่าทั้ง 2 นั้น คือเส้นผมสีดำที่ถูกมัดอยู่ และผิวสีขาวเนียนที่ดูราวกับผิวกระเบื้อง และดวงตาที่สีเดียวกับเส้นผมของเธอ มันเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดของชาวตะวันออก

ร่างของเด็กสาวคนนี้ ซึ่งถ้าใครก็ตามที่ได้เห็นต่างคิดในทางเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าหากโตขึ้นจะต้องกลายเป็นผู้หญิงที่งดงามแน่ๆ หากจะให้หาคำเปรียบแล้วละก็ก็คงเป็น เด็กสาวผู้งดงาม

 

[ เช่นเดียวกับคุณ ไม่เป็นอะไรนะคะ ? ดูเหมือนคุณจะมึนๆงงๆอะไรสักอย่างรึปล่าว . .  ]

[ เอ๊ะ ? . . .อ่า ขอโทษค่ะ ! มันไม่มีอะไร! เอิ่ม คุณไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนนะคะ ? ]

 

“ฉันจะทำอย่างไรดีถ้าหากเผลอทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนร่างของเด็กสาวที่งดงามขนาดนี้” เธอคือเด็กสาวผมดำที่งดงามมากจนทำให้เธอลุ่มหลง ซึ่งความคิดนี้มันทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

 

[ อย่ากังวลไปเลยค่ะ ดูเหมือนเธอคนนี้จะรับดิฉันเอาไว้ได้ทัน ดังนั้นดิฉันจึงไม่ได้หกล้มค่ะ ]

[ เธอคนนี้? ]

 

เพราะสายตาของเธอถูกขโมยโดยเด็กสาวผมดำ ทำให้เธอไม่รู้สึกตัวว่าที่ด้านหลังของเด็กสาวนั้นมีผู้หญิงผมสีน้ำตาลแก่ที่อายุราวๆ 25 ปี กำลังสวมอยู่ในชุดทำครัว

จะต้องเป็นผู้ดูแลของเธอแน่ๆ และเมื่อเธอมองอย่างชัดๆ เธอก็สังเกตเห็นว่าเด็กผู้หญิงผมดำนั้นกำลังสวมอยู่ในชุดเดรสที่งดงามที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ต้องสงสัยเลย เด็กคนนี้ต้องเป็นขุนนาง

 

[ มาคิดๆดูแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอกำลังรีบอยู่หรือคะ? ]

[ อ่า ใช่ค่ะ แต่ว่า . . ]

 

เธอกำลังอยู่ระหว่างออกไล่จับไลเนอร์อยู่ แต่ว่ามันรู้สึกไม่ดีถ้าหากเธอยังไม่ได้ขอโทษอย่างถูกต้องเสียก่อน 

อาจเพราะรู้สึกถึงความรู้สึกนั้น เด็กสาวผมดำก็ได้เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา มันเป็นรอบยิ้มที่ใครได้เห็นจะต้องรู้สึกอย่างผ่อนคลาย

 

[ ไม่ต้องสนใจดิฉันหรอกค่ะ เพราะว่า นี่อาจจะหมายความว่าพวกเราทั้ง 2 จะต้องมีชะตาที่จะได้พบกันอีกครั้งแน่นอนคะ ]

[ ชะตาที่จะได้พบกัน . . ]

[ ถ้าหากนี่คือสายสัมพันธ์สักอย่างหนึ่ง พวกเราจะได้พบกันอีกครั้งในสักวันแน่นอนค่ะ และนั้น ถ้าหากพวกเราได้กลับมาพบกันอีกครั้ง . . .ได้โปรดเป็นเพื่อนกับดิฉันด้วยนะคะ ]

[ พะ , เพื่อน? ]

 

เมื่อได้ฟังคำขอร้องที่ไม่คาดฝัน ดวงตาของเธอถึงกับเบิกกว้างราวกับจานลองแก้ว 

 

[ หรือคุณไม่ต้องการที่จะ ? ]

[ มะ มะม ะ , ไม่ใช่แน่นอนค่ะ ยิ่งกว่านั้น มันจะไม่เป็นอะไรหรือคะที่จะมาเป็นเพื่อนกับคนอย่างฉัน . . .]

[ ถ้าหากพวกเราได้พบกันอีกครั้ง มันก็เป็นการพิสูจน์ว่าสายสัมพันธ์ของพวกเรานั้นมีจริง ดังนั้นมันจะไม่เป็นปกติหรือคะถ้าหากพวกเราจะกลายเป็นเพื่อนกัน? ]

[ เป็นงั้นเองหรือคะ ? ]

[ ค่ะ ดังนั้น ช่วยเก็บความรู้สึกที่อยากจะขอโทษของคุณเอาไว้จนกว่าพวกเราจะพบกันอีกครั้งจะได้รึปล่าวคะ ? ]

[ ค , ค่ะ ! ]

 

จริงๆแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้มีจุดประสงค์อันใด แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอคิดว่าควรที่จะรับข้อเสนอนี้

อาจเป็นเพราะเสน่ห์ในตัวของเด็กสาวคนนี้ล่ะมั้ง

 

[ ถ้ากระนั้น ไว้พวกเราพบกันใหม่อีกครั้งนะคะ ไปกันเถอะค่ะ จูโนะ ]

[ ค่า~~ ]

 

ภายในเมืองที่ผู้คนต่างเดินกันให้ขวักราวกับไม่มีหยุดพัก เด็กสาวผมดำและผู้หญิงที่ดูเหมือนผู้ดูแลของเธอได้เริ่มต้นออกเดินอย่างใจเย็น

หลังจากนั้น เธอก็รู้สึกตัวเสียทีว่าจะต้องตามหาไลเนอร์ และในตอนที่เธอกลับมายังอนุสาวรีย์พลางลากเขามาด้วย พระอาทิตย์ก็ใกล้จะลาลับขอบฟ้าแล้ว

ตามปกติ เธอคงจะต่อว่าไลเนอร์ไปแล้วที่ทำให้เกิดปัญหา แต่สำหรับวันนี้ การที่ได้พบกับเด็กสาวลึกลับมันทำให้ความรู้สึกของเธอดูสลัวๆพิกล

เธอไม่สามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้ แต่มันอาจเพราะฟันเฟืองแห่งโชคชะตาเริ่มหมุน มันเป็นความรู้สึกที่อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกระดับของความกังวล

ขณะที่เธอยังคงรู้สึกมืดคลึ่มอยู่ในใจอยู่ เช้าวันใหม่ก็มาถึง และวันนี้คือวันที่งานประลองเริ่มต้นขึ้น ไลเนอร์ผู้ซึ่งกระปรี้กระเปร่ากว่าเดิมเกือบ 3 เท่าได้ ที่ตอนนี้กำลังมุ่งตรงไปยังห้องพักของงานประลอง และเธอที่กำลังช๊อคกับสิ่งที่เรียกว่า การพบเจอ ที่มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

ไม่สิ มันไม่ถูกนักที่จะเรียกว่าพบเจอ แต่ควรเป็น”เจอกันอีกครั้ง”

มันเป็นตอนที่ผู้สมัครรุ่นอายุต่ำกว่า 13 ปี รวมถึงไลเนอร์ด้วยกำลังไปรวมตัวที่ห้องก่อนขึ้นลานประลอง ตอนนั้นพวกเขากำลังรอการเรียกชื่อของพวกเขาอยู่

ขณะที่เธอกำลังรอให้งานประลองเริ่มขึ้นและไลเนอร์ขึ้นเวที เธอก็ได้พบกับร่างของคนๆหนึ่งอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง

ร่างของคนๆนั้น ที่ซึ่งเธอไม่เคยลืมเลยจากเหตุการณ์ในวันนั้นเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งชื่อของเขาที่ถูกเรียกนั้นแตกต่างจากชื่อในความทรงจำของเธอ

มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจำผิดให้กับร่างของคนผู้ซึ่งช่วยชีวิตเธอไว้ เขานั้นสูงขึ้นกว่าเดิมและความเป็นหนุ่มแผ่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ความรู้สึกเฉกเช่นในวันนั้นยังคงไม่จางหาย

ราวกับโชคชะตา สายตาของเขานั้นก็รับรู้ตัวตนของเธอ ดวงตาสีแดงเข้มคู่นั้นยังคงแผ่ความรู้สึกเข้มแข็งเฉกเช่นในวันนั้นไม่ผิดเพี้ยน

เมื่อตาของทั้ง 2 ประสานกัน มันทำให้เธอถึงกับลืมหายใจ มันเป็นการประสานกันเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะหันสายตาของเขาออกไป เธอลืมไปเลยว่าจะต้องหายใจจนกระทั้งปอดของเธอเรียกร้องหาอากาศ พร้อมกับการหายใจเฮือกให็ เด็กสาวผมสีบอร์น หรือ คลอเล็ต อเมอร์เรล พูดชื่อของเด็กผู้ชายขึ้นมาราวกับการรำพึง 

 

[ . . . . ท่านฮาโรลด์ ]

——————————–

TL : จบเล่ม 1 แล้ว > <  เป็นเรื่องที่แปลสนุกและเหนื่อยในเวลาเดียวกันจริงๆ