“แต่ว่านะ รู้หรือเปล่า? จริงๆ นักเล่นแร่แปรธาตุไม่ได้หากำไรได้เยอะแยะอย่างที่เธอคิดหรอกนะ”

“เอ๋!? งั้นเหรอคะ!?”

“อื้อ มันไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่เห็นหรอกนะ สินค้าที่พวกเรามีอยู่น่ะมีแต่ของราคาแพงทั้งนั้นเลย”

 

โลเรียจังแสดงอาการตกใจออกมาทางสีหน้าเลย แต่ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แล้วก็ยังใช้ตั้งเป็นเป้าหมายในการเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุด้วย เพราะงั้น ฉันก็ไม่หัวเราะเธอหรอก

มันดูเหมือนจะทำเงินได้มากเพราะพวกเราทำการซื้อขายสินค้าราคาแพงทั้งนั้น แต่ความเป็นจริงเนี่ย มันไม่ได้ง่ายๆ แบบนั้นเลย

 

“อย่างเช่น ผ้าที่โลเรียจังพูดถึงเนี่ย ราคาแพงใช่มั้ย?”

“ค่ะ”

“ถ้าเกิดการเล่นแร่แปรธาตุล้มเหลวล่ะก็ มันจะกลายเป็นของไม่มีค่าในพริบตาเลยนะ”

“…เอ๊ะ? จริงเหรอคะ?”

“อื้อ ถ้าเกิดล้มเหลวผิดพลาดขึ้นมา วัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้ไปแล้วก็จะเอากลับมาใช้ไม่ได้อีก ต่อให้จะใช้เงินไปหลายหมื่นแรร์เพื่อเตรียมพร้อมวัตถุดิบไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าล้มเหลว เงินทั้งหมดนั้นก็จะปลิวหายไปเลย”

 

ทุกครั้งที่ใส่ของลงไปในหม้อเล่นแร่ มันจะไม่มีทางแยกออกจากกันได้อีกเป็นครั้งที่ 2

จริงๆ ก็ขึ้นกับว่าผิดพลาดมากขนาดไหน แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องทิ้งไปเกือบทั้งหมดนั่นแหละ

 

“ถ้าเกิดทำอาร์ติแฟกต์ (อุปกรณ์แปรธาตุ) ราคาซักล้านแรร์พลาดไปซักชิ้นนึงเนี่ย ขำไม่ออกเลยน้า~”

 

ยิ่งถ้าเป็นของที่ทำตามคำสั่งลูกค้าด้วยนี่ ก็ยิ่งไม่มีทางจะไปบอกเขาว่า ‘ทำให้ไม่ได้นะคะ เพราะฉันทำพลาด’ ได้อยู่แล้ว

สิ่งที่ต้องทำก็คือไปซื้อวัตถุดิบมาใหม่ แล้วก็สร้างมันอีกรอบนึง

แล้วตั้งแต่แรกแล้วเนี่ย เงินที่ได้รับจากสินค้าก็จะได้มาหลังส่งมอบของด้วย ถ้าเกิดไม่มีเงินพอจะหาวัตถุดิบที่จำเป็นตั้งแต่แรกแล้วล่ะก็ เราก็ไม่มีทางแม้แต่จะรับงานเลย

 

“เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดนักเล่นแร่แปรธาตุไม่ได้มีเงินสำรองเอาไว้ระดับนึงเลยล่ะก็ เราก็จะไม่สามารถหางานได้เลย”

“ค่ะ… มันไม่ใช่งานที่เต็มเปี่ยมด้วยความฝันขนาดนั้นสินะคะ”

 

ถึงยังงั้น การที่เด็กกำพร้าคนนึงเรียนจนจบในสายงานที่สามารถหาเงินได้มากกว่าคนทั่วไปซะอีกเนี่ย ไม่ต้องสงสัยเลยนะว่าเด็กคนนั้นก็ต้องมี [ความฝัน] เหมือนกัน เพราะยังไง พวกเด็กกำพร้าก็หางานได้ลำบากอยู่แล้วด้วย

 

“ก็ ถ้าฉันไม่คิดอะไรมากเนี่ย การทำโพชั่นเบื้องต้นอาจจะเป็นวิธีหาเงินที่วางใจได้ที่สุดแล้วนะ เพราะความเสี่ยงก็ต่ำด้วย”

“อุหวา ภาพของนักเล่นแร่แปรธาตุสร้างอะไรเจ๋งๆ พังหมดเลยค่ะ”

“อะฮะฮะ ถ้ายังอยากเก็บภาพแบบนั้นเอาไว้ล่ะก็ อาจจะต้องคอยมองดูจากที่ไกลๆ นะ การทำอะไรที่สุดยอดน่ะยากเลยล่ะ ทั้งทางการเงิน ทั้งความเสี่ยงเลย”

 

ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไปทำลายภาพฝันของเด็ก (?) ไปหน่อยนึงเลยแฮะ แต่จะอาชีพไหนๆ อุดมคติกับความเป็นจริงมันก็ต่างกันหมดนั่นแหละเนอะ?

 

รวมๆ แล้ว คนที่แวะมาในวันแรกที่เปิดร้านก็มีแค่นักเก็บสะสม 2-3 คนเอง

นอกจากโลเรียจังแล้ว ก็มีคุณเอลลิสที่มายินดีกับเรื่องที่เปิดร้านแล้ว มีผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็มีคุณแมรี่ (แม่ของโลเรียจัง) ที่มาพาโลเรียจังกลับบ้านล่ะนะ

ยอดขายวันนี้ มีแค่โพชั่น (ยาแปรธาตุ) ประมาณ 10 ขวดเอง ก็พอได้อยู่… มั้ง?

 

“มาคิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่แย่ขนาดนั้นสำหรับกำไรในวันๆ นึงนะ”

 

ของที่ถูกที่สุดในร้านของฉัน ก็คือยารักษาบาดแผลเบื้องต้น ราคา 500 แรร์

วัตถุดิบแทบทั้งหมดก็หาได้จากในสวนเลย เพราะงั้น ราคาก็ดีมากเลย เทียบกับในเมืองน่ะ

พวกนักเก็บสะสมก็ซื้อไปอย่างยินดีกันเลยนะ แถมดูยิ่งดีใจเข้าไปอีกตอนที่ฉันอธิบายระบบการลดราคาของร้านของฉันให้ฟัง

 

“ต่อให้ขายแบบครึ่งราคา 200 แรร์ก็ยังได้กำไรอยู่นะ”

 

ถ้าสั่งอาหารกลางวันจากร้านของคุณดีรัล นั่นก็ 40 แรร์

แค่นั้น สำหรับฉันก็พอแล้ว แล้วฉันก็ไม่ดื่มด้วย ก็เลยไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอะไร

อาหารมื้อเช้าหรือเย็นนี่ ทานแค่ขนมปังง่ายๆ หรือออกไปทานข้างนอกเลยก็ได้

ราคาก็ประมาณนี้นี่แหละ เพราะงั้น ถ้าฉันขายยารักษาบาดแผลเบื้องต้นได้ขวดนึง ก็ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในวันๆ นั้นได้แล้วล่ะ

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันบอกโลเรียจังไปเมื่อวานนี้หรอก แต่ถ้าฉันทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตของฉันก็อยู่ตัวแล้วนะ

แต่ก็น้า ฉันอยากโตขึ้นกว่านี้หน่อย แล้วฉันก็อยากส่งเงินกลับไปหาบ้านเด็กกำพร้าที่ดูแลฉันมาตลอดด้วย เพราะงั้น ฉันก็จะพยายามหาเงินให้ได้เต็มที่เลย

 

หลังจากเปิดร้านมาได้ 2 สัปดาห์ ยอดขายที่ร้านของฉันก็เพิ่มขึ้นมาประมาณนึง แล้วฉันก็เริ่มพอจะคุ้นเคยกับนักเก็บสะสมที่ปักหลักอยู่ในหมู่บ้านนี้แล้วด้วยล่ะ

ระบบการลดราคาที่ฉันให้เองก็เป็นที่นิยมพอควรเลยเหมือนกันนะ แล้วก็ได้ความคิดเห็นแบบ ‘ฉันไม่ต้องกลัวได้แผลแล้ว’ หรือ ‘ถึงจะต้องจ่ายเยอะขึ้น แต่ก็หาเงินได้เยอะขึ้นเหมือนกัน’

ก็นะ ถ้าเกิดได้รับบาดเจ็บล่ะก็ คนเจ็บก็จะทำงานไม่ได้ไปซักพักนึง เพราะงั้นจริงๆ แล้ว การใช้เงินซื้อโพชั่นไปใช้ก็เลยดีกว่าการเก็บเงินเอาไว้ไงล่ะ

แต่ มันก็ไม่ได้ถูกหรอกนะ ก็เลยมีการชั่งใจอยู่ว่าจะใช้ดีมั้ย ขึ้นกับรายได้ของตัวเองว่ามีมากแค่ไหน ฉันว่าระบบการลดราคานี่ก็ช่วยลดความลำบากใจที่ว่านั้นลงมาด้วย

แถมเพราะฉันเริ่มรับซื้อวัตถุดิบที่เก็บมา ของหลายๆ ชิ้นในร้านก็เลยเป็นที่หมายตาของนักเก็บสะสมไปด้วย แล้วดูเหมือนว่ารายได้ประจำของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นด้วยนะ อย่างพวกของที่เก็บเอาไว้ได้ไม่นานพอที่จะเดินทางข้ามเมืองได้น่ะ

ในฐานะที่อยู่ฝั่งคนขายแล้ว ฉันก็ทำอาร์ติแฟกต์สำหรับนักเก็บสะสม แล้วก็เอามาตั้งโชว์ในร้านดู

ในบรรดาของพวกนั้น ของที่ได้รับความนิยมที่สุดเลยคืออาร์ติแฟกต์ไล่แมลงนะ

มันก็ไม่ได้ถูกหรอก เพราะราคาของมันอยู่ที่ 20,000 แรร์ แต่หลายๆ กลุ่มที่มาที่ร้านก็พูดกันว่า ‘นี่มันถูกกว่าที่ซื้อในเมืองเยอะเลย!’ แล้วก็ซื้อไปเลย

เพราะพวกเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงแมลงที่อยู่ในทะเลป่าใหญ่ล่ะเนอะ

ก็ เข้าใจความรู้สึกอยู่นะ เพราะตอนที่ฝึกอยู่ในโรงเรียน พวกเราก็มีหลักสูตรนึงที่เรียกว่าการเก็บรวบรวมอยู่ด้วย

ในตอนนั้น นักเรียนก็ต้องไปทำการเก็บรวบรวมวัตถุดิบจริงๆ เพื่อจะเรียนรู้ความรู้พื้นฐานและความรู้เชิงปฏิบัติในการเก็บวัตถุดิบ

แน่นอนว่าฉันก็ผ่านมันมาแล้วเหมือนกัน… แต่ สารภาพตามตรงเลยนะ มันโหดเลยล่ะ

ถึงมันจะเป็นแค่การจำลองที่จัดในพื้นที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยใกล้กับเมืองหลวงเท่านั้นเอง แต่เรื่องที่ต้องทรมานกับอากาศร้อนอากาศหนาวนี่ก็ต้องเจอเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ไหนจะพวกสัตว์ป่ากับแมลงอีก

ก็เป็นการเอาชีวิตรอดในระดับนึงอยู่นะ แต่อันตรายมันก็ต่ำนั่นแหละ เพราะพวกเรามีคนนำอยู่ด้วย

พอฉันคิดแบบนั้นแล้ว ประโยชน์ของการไล่แมลงก็เลยเข้าใจได้ง่ายสุดๆ ไปเลยล่ะ

กลับกัน อาร์ติแฟกต์ให้แสงสว่างกลับขายไม่ค่อยได้เลย

ฉันนึกว่ามันจะสะดวกดีซะอีก แต่นักเก็บสะสมในหมู่บ้านนี้ ตามปกติก็จะไม่ค้างคืนกันนะ ตารางทำงานปกติของพวกเขาคือจะออกไปแต่เช้าตรู่ แล้วก็กลับมาก่อนที่ฟ้าจะมืด พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ได้จำเป็นต้องใช้แสงไฟเลย

วัตถุดิบที่เก็บได้มีถมเถเลย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหาเงินได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปตลอดทางตอนขากลับด้วย… แต่ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุแล้วเนี่ย มันก็น่าผิดหวังหน่อยๆ อยู่นะ

วัตถุดิบที่หายากจริงๆ น่ะ ซ่อนอยู่ลึกข้างในป่านั่น แบบนี้ เรื่องจะหาวัตถุดิบหายากส่งไปให้อาจารย์ก็คงยากแหงๆ เลย

อีกอย่าง วัตถุดิบหายากก็ราคาสูงมากๆ เลยด้วย ถ้าทำได้ดีล่ะก็ แม้แต่นักเก็บสะสมเองก็มุ่งหาทางรวยเร็วๆ ได้เลยล่ะ

ก็นะ จะหลับตาเมินอันตรายแล้วเอานิ้วไปแหย่ไฟเนี่ย มันก็ไร้ความรับผิดชอบไปหน่อย เพราะงั้น ฉันก็คงไม่ทำแบบนั้นหรอก

 

“โอ้ ซาราสะจัง พอจะว่างมั้ย?”

“ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

 

ระหว่างที่ฉันทำงานง่ายๆ อยู่หลังเคาน์เตอร์ แล้วก็ดูแลร้านอย่างทุกที ฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยมาจากหน้าร้าน

พอฉันหยุดมือ แล้วออกมาจากร้าน ก็มีหมีตัวใหญ่นั่งอยู่ตรงนั้น

ข้างหน้ามันก็มีคุณอังเดร นักเก็บสะสมมือเก๋า ยืนยืดอกอยู่พร้อมกับสีหน้าภูมิใจเลยล่ะ

 

“ยินดีต้อนรับกลับนะคะ คุณอังเดร แองเกอร์แบร์ตัวนั้นดูดีเลยนะคะ”

“ใช่มั้ยหล้า? เชือดมันได้ที่ใกล้ๆ หมู่บ้านนี่แหละ ก็เลยลากมานี่ไม่ได้พักเลย พอจะช่วยซื้อมันหน่อยได้รึเปล่า?”

 

สมาชิก 2 คนในปาร์ตี้ที่ไม่ได้พักจริงๆ นั่นแหละ ―― ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นคุณกิล กับคุณเกรย์นะ ―― พวกเขาโยนเชือกที่ใช้มัดเจ้าหมีตัวนั้นและพาดอยู่ออก แล้วก็กำลังนั่งหมดสภาพอยู่ข้างๆ เจ้าหมีเลย

 

“เอ ไม่มีปัญหานะคะ บาดแผลหลักอยู่ที่หัว ลูกตาแตก 1 ข้าง เรื่องความสด… ดูจะไม่เป็นปัญหานะคะ ขนเสียหายไปบ้างเล็กน้อย ซัก 43,000 แรร์เป็นยังไงคะ?”

“จริงเรอะ!? มันต้องยังงี้ซี่!”

 

พอได้ยินราคาที่ฉันเสนอ คุณอังเดรก็ตะโกนร้องออกมาเสียงดังเลย ทั้ง 2 คนที่เหนื่อยหมดแรงเองก็ตาลุกวาวขึ้นมาเหมือนกัน

 

“ค่ะ ราคานี้ฉันรับได้อยู่ ฉันคิดว่ามันจะตายน่าจะไม่ถึงวันดีเลยนะคะ”

“ว้าว~ จนถึงตอนนี้ ต่อให้ลำบากหรือทรมานขนาดไหน ก็มีแค่เนื้อเองนะที่มีประโยชน์น่ะ…”

“ถ้าตัวมันโดนทำลายไปซักครึ่งตัวแล้ว ก็คงไม่มีค่าแล้วล่ะค่ะ เป็นเหยื่อที่รับมือยากจริงๆ”

 

ส่วนที่ทำเงินได้ดีที่สุดของแองเกอร์แบร์ก็คือหัวใจ, ตับ และลูกตา

แต่ ถ้าชำแหละออกมาไม่ดีล่ะก็ มันก็จะเอาไปใช้ไม่ได้เลยล่ะ

ถ้าเอากลับมาทั้งตัวเลยแบบครั้งนี้ นักเล่นแร่แปรธาตุก็สามารถจัดการมันเองได้อยู่นั่นแหละ แต่การจะเอามันกลับมาในระยะเวลาสั้นๆ ก็เป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะขนาดตัวของแองเกอร์แบร์น่ะ

ของที่ดีที่สุด ก็ต้องให้นักเล่นแร่แปรธาตุออกไปเก็บมันมาเองนั่นแหละ แต่… เอาเถอะ นักเล่นแร่แปรธาตุแปลกๆ แบบนั้นก็ไม่ได้มีเยอะหรอก

โดยพื้นฐาน ฉันก็เป็นสายบุ๋น ไม่ได้มีแรงกายเยอะเท่าไหร่ แล้วก็มีงานที่หาเงินได้โดยไม่ต้องเสี่ยงอะไรอยู่ด้วย

 

“43,000 แรร์เหรอ… ซาราสะจัง! ขอบคุณจริงๆ ที่หนูมาที่หมู่บ้านนี้นะ!”

“ไม่หรอกค่ะ ไม่หรอก ฉันเองก็ยังทำเงินได้อยู่นะคะ”

 

คุณอังเดรกับคนอื่นๆ ก็ผลัดกันขอจับมือขอบคุณกับฉันกันด้วยอารมณ์ดีใจที่เอ่อล้นเลย

ฉันก็ดีใจที่ทุกคนดีใจกันนะ แต่บีบกันแรงจนฉันเจ็บมือนิดนึงแล้วเนี่ยสิ

ฉันเสริมแกร่งให้ร่างกายของตัวเองเบาๆ แล้วอดทนด้วยรอยยิ้มก็แล้วกัน

 

“งั้น นี่เงินของพวกคุณนะคะ”

 

ฉันกลับเข้าไปในร้านทีนึง แล้วพอฉันยื่นเงินที่เข้าไปเอามาไปให้คุณอังเดร เขาก็รับมันเอาไว้พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะขึ้นเสียงดังอีกครั้ง

 

“ดีล่ะ――! ไปดื่มฉลองกันโลด!”

““โโโอ้!””

“จริงสินะ! ซาราสะจัง! ไว้จะมาไหว้วานใหม่นะ!”

“ค่า~”

 

ผู้ชาย 3 คนนี้ ทำให้ฉันไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยแฮะ

ดวงอาทิตย์ยังสูงโด่อยู่เลย นี่จะไปดื่มกันแล้วเหรอเนี่ย

พวกเขาจะฉลองกันนี่เนอะ ก็อาจจะไม่เป็นไรหรอก แต่ว่า… ฉันต้องรีบจัดการแล้วสิ

ฉันซื้อวัตถุดิบคุณภาพดีมาด้วย

ขั้นแรก ฉันใช้ {ฟรอเซ่น (แช่แข็ง)} แบบเบาๆ เพื่อทำให้ซากเย็นลงอย่างเหมาะสมซะก่อนเลย

ถ้าแช่แข็งไปเลย ซากของมันอาจจะเสียหายก็ได้ เพราะแบบนั้น การปรับพลังเวทก็เลยสำคัญมาก

พอมันเย็นลงจนถึงระดับนึงแล้ว ฉันก็ลากมันไปที่ข้างหลังบ้าน

ไม่ใช่ที่สวนหลังบ้านนะ ข้างนอกรั้วเลยต่างหาก

ฉันไม่อยากให้สวนที่ดูแลจนเรียบร้อยมีคราบเลือดโชกอยู่เท่าไหร่ แล้วครั้นจะจัดแสดงการชำแหละซากมันซะที่หน้าร้านไปเลยมันก็ออกจะเร้าใจไปหน่อย ถ้าโลเรียจังแวะมาเล่นด้วย อาจจะร้องไห้เลยก็ได้

ฉันชำแหละซากของมันด้วยเครื่องมือที่ไปเอามาจากห้องทำงาน แล้วก็เอาส่วนที่จำเป็นออกมา

ถ้าพลาดตรงนี้ล่ะก็ เจ๊งแน่นอน เพราะงั้นต้องค่อยๆ… ค่อยๆ…

จากนั้น ฉันก็เอากระเพาะ, ลำไส้ แล้วก็เล็บออกมา เก็บรักษาเอาไว้ก่อน พวกมันยังเอาไปใช้ต่อได้

ขนกับเนื้อนี่มันก็เหมือนกับสัตว์ป่าตัวอื่นๆ บางทีฉันอาจจะขายมันกับคุณเอลลิสได้อยู่นะ?

ตอนนี้ ฉันเอาส่วนที่เป็นวัตถุดิบไปเก็บในห้องทำงานเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะลากส่วนเกินที่เหลือไปที่บ้านของคุณเอลลิสที่อยู่หลังข้างๆ

 

“สวัสดีค่า~”

“โอ๋ ซาราสะจัง อะไรกัน―――เป็นเหยื่อที่ตัวใหญ่น่าดูเลยนี่”

 

พอฉันตะโกนเรียกจากข้างนอก คุณเอลลิสก็ออกมาทันทีเลย แล้วก็หลุดอุทานเสียงที่ดูเคืองนิดๆ ใส่เจ้าแองเกอร์แบร์ที่ฉันเอามาด้วย

 

“พอจะซื้อเจ้านี่ต่อจากฉันหน่อยได้หรือเปล่าคะ?”

“―――อ๋า เนื้อกับขนหลังจากเอาวัตถุดิบออกไปแล้วงั้นสินะ? ไม่มีปัญหาจ้ะ”

 

คุณเอลลิสเหมือนจะทำความเข้าใจกับความหมายของคำพูดของฉันอยู่ซักพัก แต่เธอก็เข้าใจได้ทันทีเลย

 

“ช่วยได้มากเลยค่ะ ฉันคิดว่าให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนจัดการน่าจะดีกว่า―――มันยุ่งยากมากๆ เลย”

“อ๊าฮ่าฮ่า พูดอีกก็ถูกอีก! ดีล่ะ เข้าใจแล้ว! ชั้นจัดการเอง! ซัก 8,000 ว่ายังไงล่ะ?”

“ดีแล้วใช่มั้ยคะ? จะถูกกว่านั้นหน่อยก็ไม่เป็นไรนะคะ?”

“ไม่มีปัญหาเลยจ้า ถึงเนื้อดิบอาจไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่ แต่เนื้อรมควันเนี่ย ขายดีในหมู่นักเก็บสะสมเลยนะ หมู่นี้ ถ้าจัดการดีๆ ล่ะก็ อร่อยใช้ได้เลยล่ะ เนื้อนี่ก็เหมือนกัน”

“งั้นเหรอคะ? ถ้ายังงั้น เดี๋ยวฉันช่วยยกไปให้นะคะ”

“อา ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”

 

บ้านของคุณเอลลิสเอาไว้สำหรับให้พรานอยู่เท่านั้น ตัวกระท่อมสำหรับงานชำแหละจะสร้างเอาไว้ข้างหลังบ้าน

ฉันดันร่างใหญ่โตของแองเกอร์แบร์เข้าไปในกระท่อม ก่อนจะกลับมาที่บ้านของตัวเอง พลิกป้ายหน้าร้านเป็น [หากต้องการอะไร ช่วยสั่นกระดิ่งด้วยนะคะ] แล้วก็ปิดประตู

 

TN: ซากหมีแพงกว่าบ้านอีก 555