ตอนที่ 17 ต้องสู้ถึงจะรอด (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 17 ต้องสู้ถึงจะรอด (2)

มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังตามหลังมา ไม่ต้องหันหลังไปดูก็พอรู้ว่าอันธพาลผู้นั้นได้ตกลงไปในหลุมพรางเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกหนักอึ้งในใจได้ถูกกำจัดออกไปในที่สุด

สถานการณ์นี้เรียกได้ว่าต้องสู้ถึงจะรอด!

นางไม่มีทางเลือก หากลงจากเขา ความเร็วของนางก็คงสู้เขาไม่ได้และไม่นานก็ต้องถูกเขาจับตัวไว้แน่ มีเพียงการวิ่งขึ้นไปบนเขาเท่านั้น สำหรับนางแล้วการล่ออันธพาลผู้นี้ไปที่หลุมพรางถือเป็นการป้องกันตัวและโต้กลับที่ดีที่สุด

ตอนนั้นที่นางลุกขึ้นมา ก็ได้คำนวณระยะทางและตำแหน่งของหลุมพรางไว้เป็นอย่างดี สิ่งที่นางรอคอยก็คือเสียงกรีดร้องอันแสนหวานนี้

มั่วเชียนเสวี่ยรู้ว่าอันธพาลผู้นั้นตกลงไปในหลุมพรางแล้ว แต่ก็ไม่ได้กลับไปตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนและไม่คิดจะหยุดวิ่งด้วย นางหันกลับไปอีกทีก็ตอนที่วิ่งลงจากเขาไปแล้ว

ไม่นานก็วิ่งมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน มั่วเชียนเสวี่ยเปียกโชกไปทั้งตัว นางทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมา จัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบอย่างเงียบๆ แล้วจึงเดินตรงกลับไปที่บ้าน

ที่หน้าประตูเรือนปรากฎร่างสง่างามไร้ผู้ใดเทียบยืนอยู่ นัยน์ตาแดงก่ำพร้อมด้วยน้ำตาเอ่อล้นแทบจะไหลรินลงมา

เมื่อเห็นร่างผอมบาง หนิงเซ่าชิงก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างวิตกกังวล แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าที่แลดูสับสนของนาง เขาจึงกล่าวออกไปอย่างโมโหปนห่วงใย “เจ้าไปที่ใดมากันแน่ เหตุใดถึงเพิ่งจะกลับมา”

พอเขาตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นนาง จึงนึกว่านางอาจจะไปเที่ยวเล่นอยู่บ้านคนอื่นเลยไม่ได้สนใจ ทว่ารอแล้วรอเล่านางก็ยังไม่กลับมาสักที เขาร้อนใจจนทนไม่ไหวเลยออกไปตามหาทั่วทั้งหมู่บ้าน แต่กลับหานางไม่พบ หัวใจของเขาจึงได้จมดิ่งสู่ก้นบึ้ง

มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าคำบ่นของเขาจะน่าฟังได้ถึงเพียงนี้และในครั้งนี้นางก็อยากจะโผเข้าไปร้องไห้ในอ้อมกอดที่สง่างามนั้นจริงๆ

นางเกือบจะไม่มีหน้ามาพบกับเขาแล้ว!

มั่วเชียนเสวี่ยอยากเล่ารายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง แต่พออ้าปากพูดกลับเป็น “ข้าไปเก็บเห็ดมา แต่เพราะไม่ชำนาญทาง ดังนั้นจึงกลับมาช้าหน่อย”

หนิงเซ่าชิงมองหลังที่แบกตะกร้าเอาไว้ของนาง ทั้งรู้สึกเป็นห่วงและโกรธ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความไม่สบายใจ เขาช่วยนางยกตะกร้าออกจากหลังด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ดึงตัวนางเข้าไปในบ้าน

เขาถอนหายใจอยู่เป็นเวลานาน แล้วจึงค่อยๆ กล่าวออกมาเบาๆ “ครอบครัวของเด็กๆ ส่งเงินค่าเล่าเรียนมาให้แล้วนี่ หากเจ้าคิดว่ามันยังน้อยไป ข้าจะไปขอให้หัวหน้าหมู่บ้านเพิ่มให้อีก”

ให้คนที่เห็นหน้าตาสำคัญกว่าอะไรไปขอเงินเพิ่ม เรื่องนี้ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวมากแค่ไหนกัน

มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมอง นางเห็นความเหงาอันโดดเดี่ยวแผ่ซ่านออกมาจากหนิงเซ่าชิง นัยน์ตาแดงก่ำ ในใจเจ็บปวดขึ้นมาทันใด เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ความเหน็ดเหนื่อยที่เผชิญมาทั้งหมดก็ถือว่าคุ้มค่า

นางจะให้สามีผู้ที่สง่าผ่าเผยของตนไปก้มหัวเพื่อขอเงินอันน้อยนิดเหล่านั้นได้อย่างไร

ค่าเล่าเรียนที่ผู้อื่นให้มา นางยอมรับว่ามันสมน้ำสมเนื้อแล้ว ขอให้เพิ่มเงินก็คือการขอร้องวิงวอน

นางไม่ขอร้องใครและก็จะไม่ยอมให้เขาไปขอร้องใครเช่นกัน นางมีสองมือสองเท้าและหนึ่งสมอง ขอเพียงมีความขยัน เรื่องทุกอย่างจะต้องดีขึ้น

มั่วเชียนเสวี่ยยึดมั่นในความคิดนี้อย่างแน่วแน่ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น กลั้นน้ำตาที่กำลังจะรินไหลและฝืนยิ้มออกมาแทน จากนั้นจึงกล่าวตอบออกไป “พอใช้แล้ว แต่เป็นเพราะข้าอยากกินเห็ดมาก ดังนั้นจึงได้ขึ้นเขาไป ครั้งหน้าจะไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก คนในหมู่บ้านหวังจยาได้ช่วยชีวิตพวกเราสองสามีภรรยาเอาไว้ เดิมทีก็นับว่าเป็นบุญคุณมากโขจะเรียกร้องมากมายได้อย่างไร ท่านเองก็รักษาร่างกายให้ดี ทำจิตใจให้สงบแล้วก็ตั้งใจสอนเด็กๆ ไปก็พอ”

เมื่อพูดเรื่องพวกนี้จบก็เห็นหนิงเซ่าชิงมองไปที่ต้นหลิวเก่าแก่ต้นนั้นโดยไม่พูดอะไร มั่วเชียนเสวี่ยจึงกล่าวถามออกไปอย่างระมัดระวัง “เมื่อวานนี้ข้าได้บอกกับท่านว่าจะทำอาหารกินเล่นออกไปขาย ท่านไม่มีความคิดเห็นอะไรบ้างหรือ”

ในยุคสมัยนี้ จะต่อต้านการค้าขายก็คงไม่ได้ ทว่าในบรรดาบัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือและพ่อค้า อันดับที่อยู่รั้งท้ายสุดก็คือพ่อค้า สถานะไม่สูงส่งอะไร ในสายตาของคนที่เล่าเรียนหนังสือจึงคิดว่าพวกพ่อค้าแม่ค้านั้นรวยเพราะเงินสกปรก

เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังของนาง หนิงเซ่าชิงก็ถอนหายใจยาว ในเมื่อตนเองให้ชีวิตที่สุขสบายกับนางไม่ได้ ดังนั้นถ้าจะอิสระกับนางบ้างก็คงไม่เป็นไร ให้นางได้อยู่สุขสบายขึ้นก็ดีเหมือนกัน ชื่อเสียงเป็นเพียงแค่สิ่งนอกกายเท่านั้น

เขาพยุงมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปนั่งด้านใน วางตะกร้าในมือลงพลางหันกลับมาพูดเสียงเบา “แล้วแต่เจ้าเถิด หากเจ้ามีความสุขก็นับว่าพอแล้ว แต่มีอยู่เงื่อนไขเดียวคือ ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนก็ต้องบอกกล่าวกับข้าก่อน อย่าให้เหมือนเช่นวันนี้อีก”

ดวงตาที่หนิงเซ่าชิงมองไปยังมั่วเชียนเสวี่ยนั้นอ่อนโยนนัก เสียงที่เปล่งออกมาก็ไพเราะดั่งเสียงเครื่องสาย

ฉากที่แสนอบอุ่นนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยยกคิ้วและมุมปากขึ้น แต่กลับทำให้หนิงเซ่าชิงได้สติ

จู่ๆ เขาก็กระแอมขึ้นมา พูดเสียงดังกว่าเดิมพร้อมกับแสดงท่าทีที่ดูเหมือนจะรำคาญ “ต่อไปข้าไม่ให้เจ้าขึ้นเขาไปคนเดียวอีกแล้วและก็จะไม่ให้เจ้ากลับมาช้าเกินไปด้วย! ยังมีอีกเรื่อง…ยามนี้ข้าหิวมากแล้ว เจ้ายังไม่ไปทำอาหารอีกหรือ”

พูดจบก็หันขวับรีบเดินเข้าไปในห้อง

คนผู้นี้เหตุใดถึงพลิกหน้าได้เร็วยิ่งกว่าพลิกตำราเสียอีก มั่วเชียนเสวี่ยมีท่าทีงวยงง พอได้ยินเสียงประตูด้านในห้องกระทบเสียงดัง นางจึงเปลี่ยนความคิดแล้วยิ้มออกมา ทำดีกับนางมันยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

หายนะนั้นยังไม่ได้ลบเลือนออกไปจากใจ แล้วนางจะขึ้นเขาไปคนเดียวอีกได้อย่างไร

ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่าที่หลังเขามีเห็ดฟางอยู่ ถ้าอยากได้เห็ดฟาง นางก็ย่อมมีวิธีการของนางอยู่แล้ว

พูดถึงเรื่องอาหารเย็น มั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ้มออกมา นางเองก็มีวิธีการกำราบชายจองหองและยากจะรับมือด้วยผู้นี้เช่นกัน

อาทิตย์อัสดงในยามเย็น พระจันทร์ยังไม่ลอยโผล่พ้นขึ้นมา

ท่ามกลางความมืดอันเงียบงัน ก็ปรากฎร่างหนึ่งขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน เขาเอียงคอเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา

“เจ้าไปก่อเรื่องที่ไหนมาอีก เหตุใดถึงได้กลับมาเอาป่านนี้”

ทันทีที่หลี่ไคสือเดินผ่านประตูเข้ามา เขาก็ตกใจที่เห็นหลี่ปานั่งอยู่กลางบ้าน

“ข้าไม่ได้ไปที่ใดก็แค่ขึ้นไปบนเขาและเดินสำรวจไปทั่ว เผื่อจะจับกระต่ายกลับมาได้สักตัวแต่ดันมาตกหลุมพรางของนายพรานเสียได้…”

หลี่ไคสือพูดไม่ทันจบ ภรรยาหลี่ปาก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องห่มร้องไห้ “ลูกเอ๋ย บอกแม่มาหน่อยว่าเจ้าไปตกหลุมพรางที่ใดกัน”

ภรรยาหลี่ปาที่เห็นใบหน้าของบุตรชายเปื้อนเลือดก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขาพลางดุด่าไปพลาง “ใครกันที่ไม่อยากอยู่เห็นโลกนี้แล้ว ถึงกล้าขุดหลุมบนภูเขา ข้าจะแช่งให้ลูกชายของมันเกิดมาโดยไม่มีรูก้น ลูกเอ๋ย เด็กดีของแม่ ยังเจ็บอยู่หรือไม่ วันหลังแม่จะไปสืบดูว่าเป็นผู้ใดที่เลอะเลือนไปขุดหลุมพรางในป่าเสียได้…”

แม้ว่าหลี่ปาจะรู้สึกสงสารจับใจ แต่เขาก็ยังบ่นอยู่ดี “เจ้าพอได้แล้ว อย่าต้องให้อับอายขายหน้าเพิ่มอีกเลย วันๆ เขาไม่ศึกษาเล่าเรียนอะไร ทั้งโง่เขลาไร้ความสามารถ วิ่งวุ่นไปทั่วเขา นั่นก็ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือที่สอนเขาได้ไม่ดี”

“หากท่านหาสะใภ้มาตบแต่งกับข้าสักคน ข้าต้องออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกไหมเล่า” หลี่ไคสือเอ่ยตัดพ้อ

“สะใภ้? แค่ชื่อเสียงของเจ้า สาวเล็กสาวใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปแปดหมู่บ้านระยะทางสิบลี้นี้ ยังต้องตกใจจนวิ่งหนีกระเจิงไปเลย เจ้ายังจะเลือกมากอีกหรือ”

พอพูดถึงเรื่องนี้ หลี่ปาก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที ในหมู่บ้านแห่งนี้ถ้าบุตรชายชื่อเสียงไม่ดีก็จะไม่มีใครยินยอมยกบุตรสาวให้มาแต่งงานด้วย คราวที่แล้วเขาไปสู่ขอบุตรสาวจากหมู่บ้านใกล้เคียง ไม่ง่ายเลยที่ผู้อื่นจะปั้นหน้าทำดีด้วย ระหว่างที่นัดดูตัวกันลูกชายคนนี้คิดว่านางผู้นั้นหน้าตาน่าเกลียดก็เลยจากไป ทิ้งให้เขาอยู่รับหน้าต่อเพียงลำพัง

“ที่ท่านหาให้ข้าครานั้นเรียกว่าลูกสะใภ้ได้หรือ นั่นมันหัวหมูชัดๆ! ข้าเห็นภรรยาของอาจารย์หนิงดูไม่เลว ตอนนั้นพี่สามแบกหนิงเหนียงจื่อผู้นั้นขึ้นหลังไป ทำไมถึงส่งไปให้เข้าหอกับคนที่ป่วยเรื้อรังเพื่อปัดเป่าความโชคร้ายนั่นเสียได้? ไม่นึกถึงคนทางนี้บ้างเลย…”

หลี่ไคสือคิดถึงเรื่องวันนี้ หากไม่ใช่เพราะหลุมพรางนั่น อีกนิดเดียวเขาก็จะคว้าตัวนางไว้ได้แล้ว ในใจเหมือนมีระลอกคลื่นอยู่กลางอก หนิงเหนียงจื่อผู้มีใบหน้าอวบอิ่มงดงาม มือเล็กๆ ทั้งสองที่โผล่ออกมาขาวผุดผ่องและนิ่มนวล ไหนจะร่างบางอ้อนแอ้นนั่นอีก…

แม้ใจจะเต้นเป็นระลอกคลื่นแต่ก็ยังรู้สึกเจ็บบนใบหน้า เขาจึงร้องโอดครวญออกมา “ท่านแม่ ช่วยเบามือหน่อย…”

ภรรยาหลี่ปาที่ทำความสะอาดบาดแผลให้เขาอยู่ครั้นได้ยินเสียงเขาร้องโอดครวญ จึงด่าขึ้นมาอีกหน “เจ้าคนเลวที่วางหลุมพรางไว้ แม่จะสาปแช่งมัน…”