บทที่ 16 ชนบางอย่างเข้า

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“ซื่อจื่อ เด็กสาวอัจฉริยะที่พวกท่านกล่าวถึงกันอยู่นี้คือผู้ใดหรือ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่อาจทนต่อความสงสัยได้นานนัก นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “บางทีท่านพ่อของข้าอาจช่วยท่านหาตัวนางได้” 

มู่หรงฉางเฟิงจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าเองก็อยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วย เขารีบแนะนำอีกฝ่ายทันที “ท่านอาจารย์ขอรับ นี่คือผู้บัญชาการกองทัพ ใต้เท้าเฮ่อเหลียนขอรับ” 

“คนที่รับผิดชอบเรื่องกองทัพโดยตรงมาตลอดคือท่านมหาปุโรหิตมิใช่รึ เปลี่ยนคนมาแทนเช่นนี้จะสามารถควบคุมกองทัพได้หรือ” ตู๋เทียนยังคงหมกมุ่นอยู่กับการตามหาตัวเด็กสาวผู้นั้น เขาจึงเผลอพูดเช่นนั้นออกไปโดยไม่ได้คิดให้ดีเสียก่อน 

รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนกวงเย่าแข็งค้าง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะประหม่าว่า “ข้าเป็นแค่เพียงผู้ให้คำปรึกษาเท่านั้นขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยพบท่านอาจารย์มาครั้งหนึ่งแล้วครั้งนี้ที่มู่หรงซื่อจื่อพาข้ามาพบท่านอาจารย์ด้วยก็หวังว่าท่านจะยอมรับบุตรสาวของข้าเป็นศิษย์ขอรับ” 

ยามนี้ตู๋เทียนเพิ่งจะรู้ตัวว่าใช้คำพูดผิดไป ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเฮ่อเหลียนกวงเย่าไปตรงๆ ได้ เขาจึงทำเพียงตบหน้าผากตัวเอง แล้วตอบว่า “ดูสมองข้าสิ ยิ่งนานวันก็ยิ่งใช้การไม่ได้ แก่แล้วแก่เลยจริงๆ พอเจอใครเข้า ประเดี๋ยวเดียวก็ลืมเสียแล้ว” 

“แล้วเรื่องบุตรสาวข้าล่ะขอรับ” เฮ่อเหลียนกวงเย่าถามด้วยความไม่มั่นใจ 

ตู๋เทียนมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่ายอีกครั้ง “ในเมื่อลูกศิษย์ของข้าเป็นผู้แนะนำมาเอง ฝีมือของนางคงจะไม่ธรรมดาเป็นแน่” 

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็แสดงความพึงพอใจออกมาอย่างปิดไม่มิด 

ตู๋เทียนคิดกับตัวเองว่า [เด็กสาวผู้นี้ก็เป็นอีกคนที่มากล้นไปด้วยความหยิ่งยโส] แล้วส่ายหน้า จากนั้นจึงกล่าวต่อว่า “แต่พูดตามตรง คนที่ข้าอยากได้เป็นศิษย์ในเวลานี้คือเด็กสาวที่เพิ่งพูดถึงกันเมื่อครู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้ข้าหาได้สนใจคนอื่นไม่” 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ผู้ซึ่งไม่เคยถูกใครปฏิเสธมาก่อน ความมุ่งร้ายฉายวาบขึ้นในดวงตาของนางทันที [ไม่ว่าเด็กสาวผู้นั้นจะเป็นใคร แต่นางจะสามารถมาเทียบกับข้าได้อย่างไร] 

ถึงแม้นางจะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา นางทำเพียงยิ้มอย่างอ่อนหวานและพูดว่า “เจียวเอ๋อร์อยากพบพี่สาวคนนั้นที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงยิ่งนัก” 

“ฮ่าๆ ผู้เฒ่าคนนี้เองก็อยากพบเด็กสาวคนนั้นอีกครั้งเหมือนกัน แต่น่าเสียดายนักที่ข้ารู้เพียงว่านางอายุราวสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น นอกนั้นข้าก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางอีกเลย ฝีมือของนางน่าประทับใจอย่างมาก แต่นางกลับหายเข้ากลีบเมฆไปเสียอย่างนั้น ทั้งที่ชุดที่นางสวมก็น่าจะมาจากตระกูลผู้ดีสักตระกูลแท้ๆ ทำไมถึงยังหาตัวนางไม่พบกันนะ” ตู๋เทียนพึมพำกับตัวเอง แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าไม่ใช่เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยหายตัวเข้ากลีบเมฆไปหรอก แต่เป็นเพราะมู่หรงฉางเฟิงต่างหากที่ตัดเฮ่อเหลียนเวยเวยออกไปจากตัวเลือกตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้นต่อให้มู่หรงฉางเฟิงพลิกทั้งจักรวรรดิเพื่อค้นหา เขาก็จะไม่มีทางหาตัวอัจฉริยะที่หอเฟิ่งหวงในวันนั้นเจอ 

 

วันรุ่งขึ้น ดวงอาทิตย์ลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า สายลมเย็นสดชื่น 

รถม้าหรูหราจำนวนนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าออกจากเมือง ช่างเป็นภาพที่ตระการตายิ่งนักไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงที่ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเปิดเรียนของสำนักไท่ไป๋ 

บรรดาหญิงสาวจากแต่ละตระกูลต่างก็แต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างสวยสดงดงาม จะมีก็แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่แต่งกายเหมือนเช่นทุกวัน นางสะพายย่ามใส่ตำราเล่มเล็กๆ ไว้บนบ่า ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง 

หลังจากที่ก้าวพ้นประตูออกมา เฮ่อเหลียนเหมยก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ นางหันไปเขย่าแขนเฮ่อเหลียนกวงเย่า ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านคงไม่ได้คิดจะให้พี่รองกับนางขึ้นรถม้าคันเดียวกันใช่ไหมเจ้าคะ ถ้าคนอื่นมาเห็นสภาพอย่างกับขอทานของนางเข้า ข้ากับพี่รองจะหาเพื่อนที่สำนักได้อย่างไร” 

“บนรถม้าคันนี้ย่อมไม่มีที่ให้หญิงชั่วคนนั้นแน่นอน!” เฮ่อเหลียนกวงเย่าลูบศีรษะเฮ่อเหลียนเหมย “เมื่อไปถึงสำนัก เจ้ากับพี่รองก็ทำเป็นไม่รู้จักนางเสีย” 

“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ!” เฮ่อเหลียนเหมยหัวเราะเสียงใส นางหันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วส่งสายตาราวกับเป็นผู้ชนะให้อีกฝ่าย 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหาได้สนใจนางไม่ แทนที่จะมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ สู้รีบออกเดินทางให้เร็วขึ้นยังดีกว่า 

“ท่านพ่อของเจ้าประพฤติตัวเยี่ยงสัตว์ร้ายมิมีผิด ทั้งที่พวกเจ้าต่างก็เป็นลูกสาวของเขาแท้ๆ แต่พวกนางกลับได้นั่งรถม้า ในขณะที่เจ้าต้องเดินขึ้นเขาด้วยตัวเอง” น้ำเสียงอันแหบแห้งของหยวนหมิงเต็มไปด้วยความเกียจคร้านฟังดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วอย่างไม่ยี่หระ “หยวนหมิง อย่าเอาสัตว์ไปเปรียบเทียบกับชายผู้นั้นเลย เดี๋ยวพวกสัตว์จะร้องไห้เอาได้” 

“พลังปราณของเจ้าเข้มข้นถึงเพียงนี้เชียวรึ” หยวนหมิงยิ้มชั่วร้าย “เมื่อวานนี้ฝีมือของเจ้าคงก้าวหน้าขึ้นอีกแล้วล่ะสิ” 

มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นเล็กน้อย นางไม่ได้ปฏิเสธ 

หยวนหมิงหัวเราะด้วยความตื่นเต้น “เช่นนั้นก็รีบไปกันดีกว่า พอเจ้าไปถึงสำนักไท่ไป๋แล้วก็จัดการสังหารพวกมันให้เรียบซะ!” 

เฮ่อเหลียนเวยเวย “…..” 

ผู้ชายคนนี้ต้องรักการต่อสู้ฆ่าฟันมากแค่ไหนกัน ความเกลียดชัง และความเจ็บแค้นระหว่างคนจากสำนักไท่ไป๋กับนางยังไม่รุนแรงถึงเพียงนั้นเสียหน่อย… 

 

“พี่รอง ท่านดูนังคนไร้ค่านั่นแต่งตัวสิ น่าขันสิ้นดี” เฮ่อเหลียนเหมยเลิกม่านรถม้าขึ้น สีหน้าเยาะเย้ยปรากฏชัดเจน 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สั่งให้สาวใช้เปลี่ยนดอกไม้ที่อยู่บนศีรษะตนใหม่ แล้วจึงสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นนอกหน้าต่างรถม้า ดวงตาของนางเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “น้องสามอยากเห็นนางในสภาพย่ำแย่กว่านี้หรือไม่” 

“แน่นอนอยู่แล้ว!” เฮ่อเหลียนเหมยหันขวับ “พี่รองมีความคิดดีๆแล้วหรือ” 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หัวเราะเล็กน้อย “ข้าได้ยินมาว่าสำนักไท่ไป๋มีเวลาปิดประตูที่แน่นอน เมื่อพ้นเวลาปิดสำนักไปแล้ว สำนักไท่ไป๋ก็จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง พวกเราแค่ต้องไปถึงสำนักให้เร็วกว่านังคนไร้ค่านั่น แล้วก็ขวางประตูที่นางจำเป็นจะต้องผ่านเอาไว้เสีย แล้วมาดูกันว่าเมื่อถึงตอนนั้น นางจะเข้าเรียนได้อย่างไร!” 

“นั่นไม่ใจดีกับนางไปหน่อยหรือ” เฮ่อเหลียนเหมยยังไม่สามารถลืมฝ่ามือที่ตบนางเมื่อสองวันก่อนได้ลง ดวงตาของนางหม่นแสง “เราตัดโอกาสของนางนั่นไปให้หมดจะดีกว่า” 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หัวเราะ “น้องสาม เจ้าไม่ได้ตั้งใจอ่านประกาศเข้ารับการศึกษาล่ะสิ ในประกาศระบุเอาไว้ว่าผู้ที่เดินทางมาไม่ทันจะถูกตัดสิทธิ์การเข้าเรียนถาวร” 

“คราวนี้นังแพศยาเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีทางรอดแน่!” เฮ่อเหลียนเหมยหัวเราะอย่างชั่วร้าย เสียงหัวเราะของนางดังก้องไปทั่วรถม้าอยู่นาน 

 

เวลาเที่ยงวัน ครึ่งทางก่อนถึงยอดเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วมองก้อนหินขนาดมหึมาที่ขวางประตูเอาไว้ คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย 

“มีหินมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” หยวนหมิงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วถามด้วยความงุนงง “หินก้อนใหญ่ขนาดนี้ไม่น่าจะกลิ้งลงมาจากภูเขาเองได้” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินวนรอบหินก้อนนั้น แววตาของนางเย็นชาเล็กน้อยเมื่อเห็นด้ายสีแดงเล็กๆ อยู่ตรงนั้น “เจ้าพูดถูก หินก้อนนี้ไม่ได้กลิ้งลงมาจากภูเขา แต่มีใครบางคนจงใจนำมันมาวางไว้ที่นี่” 

“คงเป็นพี่น้องหน้าโง่สองคนของเจ้าอีกแล้วล่ะสิ” หยวนหมิงรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ “เหตุใดพวกนางถึงชอบหาเรื่องเจ้านัก” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “พวกนางคงอิจฉาความหล่อเหลาของข้ากระมัง” 

“เฮ้อ ให้ตายเถอะ เจ้าเป็นผู้หญิงนะ ไม่ใช่ผู้ชาย!” หยวนหมิงเดินตรงเข้าไปหาหินก้อนใหญ่ แล้วขึ้นไปนอนอยู่บนนั้นด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ทีนี้เราจะทำอย่างไรดีล่ะ ข้าไม่เหลือพลังสักหยดเดียว ส่วนพลังลมปราณของเจ้าก็ยังไม่แข็งแกร่งพอ แล้วเราจะเข้าไปได้อย่างไรหากยังมีหินก้อนใหญ่ขวางทางอยู่เช่นนี้ แม่นาง ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนว่า เวลาของเจ้ามีไม่มากนัก หากไม่สามารถเอาหินก้อนนี้ออกไปให้พ้นทาง เจ้าจะไม่มีวันได้เข้าเรียนในสำนักแห่งนี้ตลอดไป!” 

เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หัวเราะออกมา “แล้วใครบอกว่าเราจำเป็นต้องเข้าทางประตูล่ะ” 

หยวนหมิง “…..” 

“เฮ้ย ๆ ๆ แม่นาง เจ้าต้องจับข้าแน่นถึงเพียงนี้เชียวรึ เจ้าตั้งใจจะปีนข้ามกำแพง หรือตั้งใจจะลวนลามข้ากันแน่!” 

“เงียบน่า!” 

น้ำเสียงอันเย่อหยิ่งและเกรี้ยวกราดของหยวนหมิงดังก้องไปทั่วทุกทิศทุกทาง เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าลง พลางใช้สายตาข่มขู่เขา จากนั้นจึงทะยานตัวขึ้นแล้วกระโดดลงไปทันที โดยไม่คิดทีจะตรวจสอบพื้นดินที่อยู่เบื้องหลังของกำแพงอีกฟากให้ดีเสียก่อน! 

โครม! 

ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง…