ตอนที่ 10 เกิดเรื่องแล้ว
อวี้ชิงลั่วเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สนใจ นางเพียงแค่เงยหน้าเล็กน้อยมองบุรุษที่นั่งอยู่ด้านบน เอ่ยถามว่า “ค่ายกลอยู่ในลานนั่น ท่านเป็นคนสร้างหรือ?”
“หุบปาก ใครอนุญาตให้เจ้าไร้มารยาทกับนายท่านเช่นนี้?” บุรุษที่อยู่บนเก้าอี้ยังมิทันได้ตอบ จู่ ๆ ก็มีเสียงจากด้านหลังเสาข้าง ๆ ดังตำหนิด้วยน้ำเสียงเข้มงวดและเย็นชา
อวี้ชิงลั่วหันมองก็พบว่าด้านซ้ายมือของเสิ่นอิงมีสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ สตรีผู้มีริมฝีปากแดงฟันขาวร่างกายบอบบางและดูนุ่มนวล ราวกับไข่มุกที่ส่องแสงเป็นประกายแวววาว
หากไม่ใช่เพราะคำพูดที่นางเปล่งออกมาเฉียบคมเกินไป อวี้ชิงลั่วคงคิดว่า สตรีผู้นั้นคือแจกันดอกไม้บอบบางที่ทำให้ผู้คนรักใคร่
อวี้ชิงลั่วเบนสายตาจากการสำรวจมองนาง และหันกลับมามองบุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกครั้ง นางกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ข้าสนใจค่ายกลมาก ท่านสอนข้าได้หรือไม่?”
“สามหาว เจ้าเป็นใคร คิดไม่ถึงเลยว่าจะให้นายท่าน…”
“อูตง เงียบเสียง” ในที่สุดบุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยปากพูด เขายกนิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้อูตงที่แสดงสายตาชั่วร้ายปิดปากเงียบสนิท ทำได้เพียงแค่ถลึงมองอวี้ชิงลั่วอย่างไม่เต็มใจ
บนหน้าผากของเสิ่นอิงแอบมีเม็ดเหงื่อเย็นผุดออกมา เขาทราบดีว่านายท่านไม่ได้มีความอดทนมากมาย และเขาก็ทราบด้วยว่า หากสตรีที่อยู่ตรงหน้าพูดสิ่งที่ทำให้นายท่านรู้สึกไม่สบอารมณ์อีกแค่เพียงนิดเดียว พริบตาต่อมาอาจกลายเป็นอาหารของพยัคฆ์ทมิฬที่อยู่ข้างกายของนายท่านได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสตรีผู้นี้กล้าหาญมากเกินไป หรือเป็นเพราะไม่รู้จักกลัวจริง ๆ กันแน่ ไม่เคยมีใครกล้าพูดเช่นนี้กับนายท่านมาก่อน ต่อให้เขาและโม่เสียน หรือเหวินเทียนและเผิงอิงที่ออกไปทำธุระข้างนอกก็ยังไม่กล้าให้นายท่านสอนค่ายกลห้าธาตุแปดทิศด้วยซ้ำ นางไม่ตอบคำถามของนายท่านยังพอทน แต่ยังได้คืบจะเอาศอกอีก
เสิ่นอิงเคลื่อนตัวย้ายไปด้านข้างสองก้าวโดยไม่ทิ้งร่องรอย พยายามรักษาระยะห่างจากนางถึงจะดี
อวี้ชิงลั่วมีสายตาเฉียบคมจึงเห็นการเคลื่อนไหวของเขา นางแอบแค่นเสียงอยู่ในใจ ยังมิทันได้เอ่ยปากเย้ยหยัน ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของบุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “สอนเจ้า? เจ้าเผาค่ายกลร้อยบุษบาของข้า เจ้าก็ควรขอร้องไม่ให้ข้าฆ่าเจ้าทิ้ง มีสิทธิ์อะไรถึงได้คิดว่าข้าจะสอนสิ่งเหล่านี้กับเจ้า?”
อวี้ชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย นางรู้สึกได้ว่าเส้นเสียงของอีกฝ่ายมีความเย็นชาและข่มผู้ฟังอย่างเห็นได้ชัด ครั้นเสียงดังมาถึงหูของนาง กลับฟังดูเกียจคร้านน่าดึงดูดแปลกประหลาด ช่างดูยั่วยวน
“มีสิทธิ์อะไรงั้นหรือ?” นางเลิกคิ้วและยิ้มอีกครั้ง “สิทธิ์ที่ข้าสามารถรักษาบาดแผลบนตัวของท่านได้อย่างไรเล่า”
“…” เสิ่นอิงและอูตงหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน สายตาแหลมคมพุ่งตรงไปที่นาง ราวกับหากนางขยับแม้แต่นิดเดียว พวกเขาก็พร้อมที่จะลงมือกำจัดนางได้อย่างไม่ลังเล
เมื่อเห็นพวกเขาตั้งท่าเป็นศัตรูตัวฉกรรจ์ อวี้ชิงลั่วก็กระตุกมุมปากอย่างมิอาจห้ามได้
มีอนาคตสักหน่อยไม่ได้เลยหรืออย่างไร? นางดูเหมือนผู้น้อยที่จะฉกฉวยโอกาสจากภยันตรายงั้นเหรอ? ปรักปรำนางเกินไปแล้ว
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าได้รับบาดเจ็บ?” บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง เขามั่นใจว่าลมหายใจของเขาขยับอย่างช้า ๆ และมั่นคง ไม่ได้แสดงออกถึงตำแหน่งที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสบนร่างกาย สตรีผู้นี้เข้ามาด้านในห้องแค่หนึ่งถ้วยชา เหตุใดถึงมองออกว่าเขาได้รับบาดเจ็บ?
“อ๋อ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ตอนที่เพิ่งเข้ามา ข้าได้กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ก็เท่านั้น”
กลิ่นคาวเลือด?
ไม่เพียงแค่บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แม้แต่เสิ่นอิงและอูตงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ภายในห้องโถงมีไม้จันทน์วางอยู่ ต่อให้มีกลิ่นจริง ๆ กลิ่นที่ลอยแตะปลายจมูกก็เป็นกลิ่นของไม้จันทน์ พวกเขาไม่ได้กลิ่นคาวเลือดแม้แต่น้อย
จมูกของสตรีผู้นี้…ไวต่อกลิ่นขนาดนั้นจริง ๆ รึ?
อูตงยิ้มเยาะ “พูดจาเรื่อยเปื่อย ข้าเป็นคนพันบาดแผลของนายท่านด้วยมือข้าเอง บนร่างกายของเขาไม่มีคราบเลือดแม้แต่น้อย ไหนเลยจะมีกลิ่นคาวเลือด ข้าว่า ที่เจ้าบุกเข้ามาในจวนโม่ก็เป็นเพราะมีแผนอย่างอื่น บางที เจ้าอาจอยู่กลุ่มเดียวกับคนที่ทำร้ายนายท่าน เจ้า…”
“อูตง!!!” เสิ่นอิงตำหนิเสียงเย็น นัยน์ตาปรากฏความมิเห็นด้วยอย่างมาก คำพูดเหล่านี้สามารถพูดตามใจชอบได้งั้นหรือ? นี่เป็นการสารภาพออกมาเองโดยไม่ได้ถูกบีบบังคับต่างหากเล่า
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น ในที่สุดสายตาของนางก็มองไปที่อูตง นางกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นคนรักษาบาดแผลให้นายท่านของเจ้านี่เอง มิแปลกใจที่ตอนนี้จะยังอ่อนแอขนาดนี้ หมอเถื่อนสินะ”
ระหว่างที่นางพูดก็ส่ายหน้าไปด้วย ทั้งยังถอนหายใจให้เห็นอย่างเต็มตา
คำพูดนี้ยั่วโทสะให้อูตงถึงกับหน้าแดงด้วยความขุ่นเคือง นางแทบจะปรี่เข้าไปตบหน้าของอวี้ชิงลั่ว เพียงแต่เสิ่นอิงที่อยู่ด้านหน้าขวางไว้ ทำให้นางมิอาจขยับตัวได้แม้แต่ครึ่งก้าว ส่วนนายท่านกลับมิปริปากพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว แม้แต่เอ่ยปากตำหนิสตรีผู้นี้ก็ไม่มี สิ่งนี้ทำให้โทสะภายในใจของนางรุนแรงยิ่งขึ้น นางแค่นเสียงยิ้มเยาะอย่างเหลืออด “เจ้าบอกว่าข้าเป็นหมอเถื่อน? แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร? ตอนนี้เจ้าเป็นผู้กระทำผิดที่บุกรุกเข้ามาในจวนโม่ทั้งยังเผาทำลายค่ายกลร้อยบุษบา ตามกฎของจวนโม่ ต้องถูกลากไปเป็นอาหารของพยัคฆ์ทมิฬ เหอะ เจ้ายังมีเวลามาตัดสินทักษะทางการแพทย์ของข้าที่นี่ เป็นห่วงตัวเจ้าเองเถอะ เกรงว่าตัวเองตายเช่นไรก็ยังไม่รู้เลยกระมัง”
อวี้ชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะชื่นชมนาง สตรีผู้นี้กำลังเตือนนายท่านของนางแบบอ้อม ๆ ว่าให้สังหารนางทิ้งสินะ?
ท่าทางของนางที่มองมาที่ตนเองอย่างปฏิปักษ์และดูตื่นเต้นเช่นนี้ คงมิใช่ว่าสนใจนายท่านของตน และกลัวว่านางจะแย่งคนรักของตนเองไปหรอกกระมัง จุ๊ ๆ หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ สายตาของนางคงคับแคบเกินไปแล้ว นางดูเหมือนกับพวกหิวโซกินไม่เลือกหน้าที่พุ่งเข้าใส่บุรุษตามใจชอบงั้นหรือ?
มิว่าจะพูดอย่างไร นางก็เป็นสตรีมีบุตรแล้ว เป็นภริยาที่ดีและมารดาที่ดีเชียวนะ
“เจ้าพูดมากขนาดนี้ภายในหนเดียว เพราะอายจนโกรธสินะ? หรือละอายใจที่ทักษะทางการแพทย์ของเจ้าใช้ไม่ได้?” อวี้ชิงลั่วไม่ได้แสดงท่าทางโกรธเคือง น้ำเสียงนิ่งสงบ น้ำเสียงแหบเบา ๆ ดูน่าฟังผิดปกติ
บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองดูท่าทางนิ่งสงบของนาง เป็นเรื่องยากที่เขาจะยกมุมปากขึ้น ทั้งยังแฝงด้วยความชื่นชมจาง ๆ อยู่ในนั้น
อูตงกลับรู้สึกโมโหยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตอนนี้ที่ภายในห้องโถงยังมีนายท่านและเสิ่นอิงอยู่ นางอยู่ในจุดที่เสียเปรียบ ทั้งยังถูกอีกฝ่ายเย้ยหยันจนหน้าถอดสี
นางแอบกำหมัดข้างลำตัวจนแน่น สายตาแฝงแววโหดร้ายจาง ๆ “ทักษะทางการแพทย์ของข้าใช้ไม่ได้? ข้าเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของหมออาวุโสฉงซาน ใต้หล้านี้ ไม่มีใครกล้าพูดถึงทักษะทางการแพทย์ของลูกศิษย์หมออาวุโสฉงซาน เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร?”
หมออาวุโสฉงซาน? อวี้ชิงลั่วกะพริบตาปริบ ๆ นางรู้สึกว่าชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหู
นางหันไปมองเสิ่นอิง และถามด้วยความจริงใจ “หมออาวุโสฉงซานอะไรนี่ มีชื่อเสียงมากเลยหรือ?”
เสิ่นอิงมุมปากกระตุกอย่างรุนแรงสองหน ภายในใจครุ่นคิดว่าสตรีผู้นี้มาจากถ้ำใดกันแน่? แม้แต่หมออาวุโสฉงซานก็ยังมิรู้จัก เขาชะงักไปครู่หนึ่ง และตอบกลับไปด้วยความจริงใจว่า “ทักษะทางการแพทย์ของหมออาวุโสฉงซานมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญหรือประชาชนธรรมดา ต่างก็ยกย่องให้เขาเป็นหัวถัว [1] กลับชาติมาเกิด เพียงแต่เขาซ่อนตัวอยู่ในป่าหุบเขา ปรากฏตัวน้อยครั้ง มีคนจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสต่างก็ตามหาตัวเขา แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะตามตัวได้ อูตงเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขา ทักษะทางการแพทย์ก็ถูกถ่ายทอดมาจากหมออาวุโสฉงซาน”
เก่งกาจขนาดนี้เชียว? อวี้ชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะลูบคางตนเอง ถ้าเช่นนั้น วันหลังตนจะลองไปหาหมออาวุโสฉงซานคนนี้ดูสักหน่อย สำรวจทักษะทางการแพทย์และอื่น ๆ ดู นางเองก็รู้สึกสนใจมาก
ทว่า บุคคลที่มีความเก่งกาจเช่นนี้ เหตุใดถึงรับศิษย์ไร้ประโยชน์เช่นนี้? ทั้งยังเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวด้วย?
หากอูตงผู้นี้ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหมออาวุโสฉงซานจริง ๆ ถ้าเช่นนั้นคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหัวถัวกลับชาติมาเกิด ก็คงเป็นแค่ชื่อเสียงจอมปลอม
อูตงเห็นนางเงียบขรึมไป ภายในใจก็แอบถอนหายใจออกมา นางมิเชื่อหรอกว่าเมื่อยกชื่อเสียงของอาจารย์ของนางออกมา จะมิอาจข่มสตรีเก่งแต่ปากผู้นี้ได้ ตอนนี้นางก็อยากเห็นเช่นกัน ว่าสตรีผู้นี้จะพูดอะไรออกมาได้อีก
ตอนที่นางกำลังรอเยาะเย้ยอวี้ชิงลั่วอย่างหนักอยู่นั้น จู่ ๆ ด้านนอกก็เกิดเสียงรีบร้อนดังขึ้น
“นายท่าน นายท่าน เกิดเรื่องแล้วขอรับ”
…………………………
[1] หมอหัวถัว (华佗) หรือหมอฮูโต๋ ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ศัลยแพทย์จีนผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ปรากฏตัวในเรื่องสามก๊กตอนที่ทำการผ่าตัดแผลถูกธนูพิษให้กวนอู
สารจากผู้แปล
ไม่รู้จักซะแล้วว่าชิงลั่วเป็นใคร เก่งกว่าหมออาวุโสอะไรที่ว่านี้อีกมั้ง
ไหหม่า (海馬)